สถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้าน จ.ศรีสะเกษ เขา พระวิหาร มีความตึงเครียดมากขึ้นทุกวัน ความสัมพันธ์ ทางการทูตก็ดูจะลดน้อยถอยลง การดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศของ คุณกษิต ภิรมย์ โดยเฉพาะกับชาติในอาเซียนด้วยกัน หละหลวมอย่างไร คงไม่ต้องมานั่งอธิบายกันให้เมื่อยตุ้ม โดยมรรยาทแล้ว การแสดงออกทางการทูตจะมีพิธีการปฏิบัติ
แต่ถึงขนาดผู้นำประเทศเพื่อนบ้านออกมา แสดงความไม่พอใจอย่างตรงไปตรงมา แสดงว่า เหลือจะทน การสร้างความสัมพันธ์หรือภาษาฝรั่งที่ว่า รีเลชั่นชิพ ยังขาดประสบการณ์ พูดไปแล้วเด็กทั้งนั้น
พฤติกรรมทั้งก่อนและหลังที่คุณกษิตเข้ามารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ แก้ไขไม่ได้ อย่าว่าแต่ นายกฯฮุน เซน ของกัมพูชา เอาแค่ ฮอร์นัมฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ก็ยังหมางเมิน
ไม่เห็นประเทศไทยอยู่ในสายตา
วันนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับท่าทีของนายกฯกัมพูชาว่า เป็นเรื่องของการเมืองภายในของกัมพูชา ไม่ให้ความสำคัญในการที่จะไปเจรจาด้วย
จบเห่
นายกฯอภิสิทธิ์อาจจะอยากจะแสดง ศักยภาพของภาวะผู้นำประเทศไทย จะถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ ต้องคิดให้รอบคอบ เรื่อง ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา กำลังถูกเพ่งเล็งจากองค์กรสากล ระดับประเทศ อาทิ สหประชาชาติ หรือยูเนสโก
อนาคตข้อบาดหมางจะแรงขึ้นเรื่อยๆจนไปสู่ การตัดสินในระบบสากล ผลพวงที่ตามมาย่อมกระทบกับประเทศไทยแน่นอน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้ถึงกับต้องทำสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาเลย
เคยสังเกตไหมว่า ความร้าวฉานในบ้านเรา ทั้งภายในและภายนอก ทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ
ดูเป็นขบวนการอย่างไรพิกล ความร่วมมือ การลงทุนร่วมกันในภูมิภาคนี้ ความหวังที่จะสร้างเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงก็ดูจะริบหรี่เต็มที
อย่าลืมว่าปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน มีตัวแทนคนไทยไปนั่งทำหน้าที่อยู่ทนโท่ แต่ไม่สามารถที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นมาได้ตรงกันข้าม กลับสร้างความขัดแย้งมากขึ้น ปรากฏว่าทั้งความสมานฉันท์ในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนบ้านติดลบ หรือรัฐบาลชุดนี้จะยึดหลักการที่ว่า
ความร้าวฉานคืองานของเรา.
หมัดเหล็ก