บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เมื่อฮุน เซนแข็งกร้าว

ที่มา มติชน

บทนำมติชน



ท่าทีอันแข็งกร้าวของสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเกียวโดและสำนักข่าวเอเอฟพีที่เป็นข่าวออกไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 28 กันยายนไม่ใช่แค่การพูดจาที่รัฐบาลไทยจะทำเป็นหูทวนลมหรือมองเป็นเรื่องเล็กน้อยประเภทขอกันกินมากกว่านี้ หากแต่นี่คือ การส่งสัญญาณให้รู้ว่า รัฐบาลกัมพูชากำลังโกรธและไม่พอใจไทยเป็นอย่างมากซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมวลชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำโดยนายวีระ สมความคิด เดินทางเข้าไปในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปอ่านแถลงการณ์บริเวณผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินคดีกับราษฎรกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้งบ้านเรือนในพื้นที่ทับซ้อน

จากคำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฯฮุน เซน พอจะสรุปได้ว่า 1.สมเด็จฯฮุน เซน อาจไม่เดินทางมาเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมนี้ที่ไทยจัดขึ้นแต่จะมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเข้าร่วมประชุมแทน 2.สมเด็จฯฮุน เซน จะไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรใกล้กับปราสาทพระวิหารตราบเท่าฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่ที่ฝ่ายไทยเขียนขึ้นเอง 3.ความขัดแย้งตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยมาจากปัญหาการเมืองภายในของไทย 4.สมเด็จฯฮุน เซน มีคำสั่งให้ทหารกัมพูชายิงพลเรือนหรือทหารไทยได้ทันที หากบุกรุกเข้ามายังบริเวณพื้นที่พิพาทของกัมพูชา 5.สมเด็จฯฮุน เซน จะยกกรณีพิพาทเข้าสู่ที่ประชุมอาเซียน รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หากกัมพูชาถูกไทยรุกราน

เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ได้แสดงท่าทีก้าวร้าวต่อรัฐบาลกัมพูชาเพราะไทยไม่ใช่ประเทศที่ต้องการทำสงคราม อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้สมเด็จฯฮุน เซนไม่รู้สึกต้องเกรงใจทั้งๆ ที่ประชากรของกัมพูชามีเพียง 5 ล้านคน ในขณะที่ไทยมีมากถึง 60 กว่าล้านคนและในฐานะที่มีพรมแดนติดกัน ควรจะค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเพราะถึงอย่างไรเสีย ไทยกัมพูชาก็ต้องอยู่ใกล้ชิดติดกันและประชาชนสองประเทศก็ไปมาหาสู่หรือทำธุรกิจ ค้าขาย ประกอบกับข้อพิพาทในเรื่องเขตแดนทั้งบนดินและในทะเลก็ยังต้องอาศัยกาลเวลาในการเจรจา ทำความตกลงว่าพื้นที่ตรงไหนเป็นของใคร ขณะที่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาเพียงประเทศเดียวต่อองค์การยูเนสโกยังไม่เรียบร้อยซึ่งกัมพูชาควรจะแสดงไมตรีจิตเพื่อความร่วมมือของ 2 ประเทศจะได้พัฒนาไป อันจะนำไปสู่ความภูมิใจร่วมกันและช่วยเหลือกันทั้งคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นหลัง

ความไม่เป็นเอกภาพของไทยทั้งในส่วนของประชาชนและรัฐบาลที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ เป็นสาเหตุที่ทำให้สมเด็จฯฮุน เซน เลือกเอาการแสดงท่าทีข่มขู่และดำเนินนโยบายเชิงรุก ทั้งการทูต การทหารและมวลชน เป็นยุทธวิธีโดยคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชามากกว่า ในขณะที่รัฐบาลไทยสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เคยไปลงนามในข้อตกลงร่วมกับกัมพูชา ยอมรับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลก ต่อมารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ได้แจ้งขอยกเลิกแถลงการณ์ร่วมนั้นอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เมื่อการเมืองไทยเป็นเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่รัฐบาลกัมพูชาโดยสมเด็จฯฮุน เซนจะเกรี้ยวกราดไทยอยู่เรื่อยๆ และบางครั้งก็มีการกระทบกระทั่งตามชายแดน

เป็นไปไม่ได้ที่นายอภิสิทธิ์จะไปเรียกร้องหรือวิงวอนให้รัฐบาลกัมพูชาต้องค่อยๆ เจรจาเพื่อหาข้อยุติในข้อพิพาทต่างๆ โดยให้กัมพูชายอมปฏิบัติตามข้อตกลงที่ไทยกับกัมพูชาทำกันไว้เมื่อปี 2543 หรือแม้แต่การบอกให้รัฐบาลกัมพูชานำประชาชนของตนออกจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร รวมไปถึงการเจรจาหาเส้นแบ่งพื้นที่ในทะเลซึ่งมีก๊าซธรรมชาติมหาศาล ดังนั้น การดำเนินนโยบายทางการทูต การทหารและมวลชนโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เพียงแต่ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความเข้มแข็ง ทั้งนี้ ต้องแสดงให้คนไทยซึ่งหลายฝักหลายฝ่ายและชาวโลกได้เห็นว่า ไทยนั้นรักสงบ แต่เมื่อถึงคราวรบก็ไม่ขลาด บทเรียนสอนให้รู้ว่าถ้าการทหารไม่เข้มแข็ง อำนาจต่อรองทางการทูตจะไม่มีน้ำหนักและไม่สามารถหาทางออกได้

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker