จริงๆ แล้วหากทุกฝ่าย ล้วนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างที่พูดกันแล้วจริงๆ ต้องเลิกที่จะมองกันในแง่มุมของอคติบังตาแต่ควรจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย และแก้ไขปัญหาซึ่งผู้มีบารมีที่หากจะทำแล้วไม่ได้ยากเย็นในการไกล่เกลี่ยเลย ก็คือ พล.อ.เปรมนั่นเอง ที่หากลงมือไกล่เกลี่ยให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายแล้ว ทำได้ไม่ยากแน่นอน
เพราะฤกษ์ผานาทีในการตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี รวมทั้งฤกษ์ในการตั้งศาลหลักเมือง ถูกกำหนดให้อิงความสำคัญไปที่ “ทหาร” ตลอดระยะเวลาที่ล้มลุกคลุกคลานของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข นับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาชะตากรรมของนักการเมืองไทยจึงต้องมีบรรดา “นายทหารใหญ่” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยตลอดหากจังหวะใดที่นายทหารใหญ่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นนายทหารประชาธิปไตย บรรยากาศการเมืองก็จะเริงร่าสดใสแต่หากอยู่ในช่วงของนายทหารใหญ่ที่ยึดติดกับ “อำนาจ” และเชื่อมั่นว่าอำนาจในมือเป็นศูนย์กลางของการควบคุมกลไกทางการเมือง นักการเมืองในยุคนั้นก็ต้องจ๋อยไปตามระเบียบมาวันนี้วังวนของทหารและนักการเมือง ยังคงเป็นกงเกวียนกำเกวียนย่ำรอยมากว่า 4 ปี นับจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมาบ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงทุกวันนี้ บรรดานายทหารใหญ่ โดยเฉพาะนายทหารคณะมนตรีแห่งชาติ หรือ คมช. ภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหายุ่งเหยิงในทุกวันนี้ระหว่างนักการเมือง ทหาร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และแม้แต่กระทั่งอำมาตยาธิปไตย ล้วนแล้วแต่ปะทุขึ้นมาขัดแย้งกันอย่างหนักหลังรัฐประหารของ คมช.ทั้งสิ้นขนาดว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจำเป็นต้องกลับมาทำงานการเมือง เดินหน้าเข้าพรรคเพื่อไทย หวังช่วยแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ยังเจอแรงกระเพื่อมเพราะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้ออกมาพูดว่า ให้ระวังเรื่องการทรยศต่อชาติ เล่นเอาบิ๊กจิ๋วถึงกับงงเต็ก แค่เข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทย จะมองไกลไปถึงเรื่องขนาดทรยศต่อชาติได้อย่างไรคนละเรื่องเดียวกันเลย
แต่ พล.อ.ชวลิต ก็น้อมรับคำพูดอย่างสุภาพและโดยสงบ“ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว ท่านไม่มีอะไร เราจำเป็นจะต้องรับฟังผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านอบรมสั่งสอนก็จะต้องรับฟัง เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เป็นห่วง การที่แสดงความเป็นห่วงออกมาด้วยวาจา ที่ค่อนข้างจะสะท้อนถึงจิตใจที่เป็นห่วงมากก็จะต้องเข้าใจอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะมาว่าเรา ทั้งนี้เมื่อท่านพูดหนักๆ พูดแรงๆ แสดงว่าท่านห่วงเรามาก ท่านยิ่งพูดหนัก พูดแรง แสดงว่าท่านยิ่งห่วงใยเรา”พล.อ.ชวลิต ยืนยันว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อชาติ เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย พล.อ.เปรม เป็นคนที่เสียสละทำงานให้กับบ้านเมืองมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จนถึงวันนี้อายุจนจะ 90 ปีแล้ว ท่านยังไม่ทิ้ง และตนยังไม่ถึง 80 ปี จะทิ้งได้อย่างไร ดังนั้นจะต้องทำงานให้กับบ้านกับเมือง และเมื่อ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจเดินหน้ากลับมาทำงานการเมือง เพราะทิ้งบ้านทิ้งเมืองไม่ได้ จึงทำให้นายทหารใหญ่หลายๆ คนพากันขยับมาทำงานการเมืองเคียงคู่ไปกับ พล.อ.ชวลิตด้วยทำไปทำมา พรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่เกิดจากก๊วนการเมืองต่างๆ เคยเชื่อ เคยปรามาสว่าเจอมือขยันมาช่วยขยี้รอบด้านแบบนี้... อยู่ยากแน่... เสร็จแน่โดยเฉพาะเมื่อ คมช.ซึ่งเป็นสายพันธุ์ทหารใหญ่ ประกาศลั่นว่าจะใช้แผน 4 ขั้นสลายให้สิ้นซากให้ได้ ดังนั้นเมื่อมีกลุ่มนายทหารปรปักษ์ จะอยู่รอดได้ก็คงเก่งเกินไปแล้ว... ขืนรอดก็เสียหน้าอดีตนายทหารใหญ่หลายคนที่ตั้งใจ “ขยี้”หมดแต่มาวันนี้ พรรคเพื่อไทยกลับไม่เพียงไม่เดี้ยง ไม่ทรุดอย่างที่กลุ่มอำนาจบางกลุ่มต้องการ แต่หลังจากบิ๊กจิ๋วเข้าไปเป็นประธานพรรค ดันมี “นายทหาร” ตบเท้าเข้าไปตาม จนปาเข้าไปจะร่วมๆ 20-30 คนแล้วสนุกล่ะงานนี้เพราะบรรดานายทหาร ข้าราชการ หรือบุคคลที่เดินหน้าเข้ามาเติมเต็มในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองรวมทั้งมีพรรคพวก เพื่อนฝูง รุ่นพี่รุ่นน้อง ทั้งในแวดวงสีเขียว สีกากี เต็มพรึ่ดไปหมด
ราศรีของพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่พรรคที่ถือกำเนิดจากก๊วนการเมืองจะอหังการ์ว่าจะทำให้สูญพันธุ์จากแผ่นดินอีสานได้นั้น... คงต้องกลับไปนอนก่ายหน้าผากทบทวนกลยุทธ์กันใหม่แล้ว แน่ไม่แน่ ก็เล่นเอา พล.อ.สนธิ คมช. ใหญ่ ต้องออกมาแก้ต่างว่าการที่ พล.อ.ชวลิต เข้าพรรคเพื่อไทย และ ในเร็วๆ นี้ ที่มีกระแสว่า นายทหารเตรียมรุ่น10 เพื่อนร่วมรุ่น ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกหลายคน เตรียมแห่เข้าสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย ด้วยนั้น จะไม่ทำให้กองทัพเกิดความแตกแยกหรือสูญเสียความเป็นปึกแผ่นไปแน่นอน เพราะนายทหารเหล่านั้น ส่วนใหญ่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ย่อมมีอิสระในฐานะราษฎรเต็มขั้น ที่จะไปทำอะไรก็ได้ส่วนการที่ พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก และ นายทหารผู้มีความใกล้ชิด กับ คมช. สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น ขอไม่ออกความเห็นเช่นเดียวกับพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ อดีตสมาชิก คมช. ที่พูดเหมือนกันเป๊ะว่า กองทัพจะไม่เกิดปัญหาความไม่สามัคคีจากเรื่องดังกล่าวแน่ เพราะนายทหารเหล่านั้นออกจากราชการไปแล้วอดีต คมช. ใหญ่ พากันมองว่าเป็นเรื่องของนายทหารที่เกษียณแล้ว เช่นเดียวกับกลุ่ม คมช.นั่นเอง เพราะฉะนั้นทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่ากันซึ่งหากนายทหารทุกคน มีหัวใจประชาธิปไตยที่แท้จริง และรักชาติอย่างแท้จริงเท่ากันทุกคนก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกับประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาวาระซ่อนเร้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน จะได้หมดสิ้นไปเสียทีแผนบันใด 4 ขั้น ลับ ลวง พราง ที่เป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยกของบ้านเมืองในเวลานี้ จะได้จบเห่ไปเสียที บ้านเมืองจะได้กลับมาเดินหน้าได้อีกครั้งเพราะตราบใดก็ตามที่ “อคติ” ยังคงมีอยู่ในกลุ่มบุคลที่กุมกลไกอำนาจ แล้วยังมองเห็นว่า พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายตรงข้าม ปัญหาก็คงไม่มีทางจบ เนื่องจากนับวัน กลุ่มประชาชนที่เข้ามาร่วมทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ แบบ non stop ตรงนี้แหละที่กลุ่มทหารขั้ว คมช. และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จะทำอย่างไร
ก็ขนาดมุมมองของ พล.อ.เปรม ที่พูดถึงพรรคเพื่อไทย ทางพรรคเพื่อไทยยังอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์โดยมีเนื้อหา ถึงการให้สัมภาษณ์ของพล.อ.เปรมเป็นการดูถูกเหยียดหยามพรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเสียหายเพราะเหมือนเป็นการสื่อความหมายว่าหากใครเข้าพรรคเพื่อไทยจะเป็นคนทรยศต่อชาติ อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพรรคการเมืองที่ชั่วร้าย มีนโยบายเป้าหมายทำลายประเทศ ทั้งที่เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีนโยบายรักษาระบอบประชาธิปไตย จงรักภักดีต่อสถานบัน จึงรู้สึกเสียใจอย่างมากที่พล.อ.เปรมออกมาพูดเช่นนี้กรณีที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ทั้งในส่วนของอดีตทหารขั้ว คมช. กับอดีตทหารที่ตบเท้าพรรคเพื่อไทย และอดีตนายทหารระดับรัฐบุรุษอย่าง พล.อ.เปรม ยังสะท้อนถึงความแตกต่างทางมุมมอง ที่พร้อมจะทำให้การแก้ไขปัญหาของประเทศชาติไม่ง่ายจริงๆ แล้วหากทุกฝ่าย ล้วนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างที่พูดกันแล้วจริงๆ ต้องเลิกที่จะมองกันในแง่มุมของอคติบังตาแต่ควรจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย และแก้ไขปัญหาซึ่งคงหมายความว่า...ถึงเวลาที่ “พล.อ.เปรม” ควรจะต้องตัดสินใจทำอะไรซักอย่างเพื่อชาติ!!ซึ่งผู้มีบารมีที่หากจะทำแล้วไม่ได้ยากเย็นในการไกล่เกลี่ยเลย ก็คือ พล.อ.เปรมนั่นเอง ที่หากลงมือไกล่เกลี่ยให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายแล้ว ทำได้ไม่ยากแน่นอนจริงอยู่ว่า ด้วยบทบาทของประธานองคมนตรี ย่อมไม่มีหน้าที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ในภาวะที่บ้านเมืองประสบปัญหา จะด้วยเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ในเมื่อ พล.อ.เปรมยืนยันในความรักและเทิดทูนต่อ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดการทำหน้าที่เพื่อแก้ไขปัญหาขณะนี้ คงไม่มีใครเหมาะสมไปกว่า พล.อ.เปรม กระมัง??ถ้า พล.อ.เปรม ยื่นมือเข้ามาลบล้างอคติที่เกิดขึ้นในแผ่นดินในเวลานี้ นี่แหละคือบทบาทของ “รัฐบุรุษที่แท้จริง” ที่ต้องทำให้ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้า
ตท.9-10-บิ๊กขรก.เข้าเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยยังคงทยอยเปิดตัวสมาชิกใหม่อย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 16 ต.ค.) ได้เปิดตัวนายทหาร-นายตำรวจ-ข้าราชการระดับสูง โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค แถลงเปิดตัว พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 9 (ตท.9) พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายวิเชียร รัตนพีระพงศ์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยทั้งหมดได้ร่วมแถลงข่าวการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีแกนนำ และ ส.ส.พรรคให้การต้อนรับอย่างคึกคัก ด้วยการสวมเสื้อพรรคและมอบดอกไม้ให้สมาชิกใหม่พล.อ.จิรเดช เปิดเผยถึงสาเหตุที่ตัดสินใจมาทำงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทยว่า เห็นว่านโยบายของพรรคทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี สามารถจับต้องได้ ประกอบกับมีเพื่อนสนิทที่อยู่พรรคเพื่อไทยชักชวน จึงตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง และยืนยันว่าไม่ใช่การกลับขั้ว จากที่เคยอยู่ในคณะปฏิวัติในเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงแม่ทัพน้อย ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น