คอลัมน์ เหล็กใน
ครึ่งแรกของปี 2553 การขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่ธรรมดาเพราะ 2 ไตรมาสที่ผ่านมาเฉลี่ย 10%
โดยเฉพาะไตรมาสแรกของปีอยู่ที่ 12%
แม้อาจจะมีภาพลวงติดอยู่บ้างเล็กน้อยเนื่องจากปี 2552 เศรษฐกิจไทยหดตัวประมาณ 2.3%
แต่ก็ยังเป็นสัญญาณที่ดี
พร้อม กับภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกผงกหัวขึ้นมาได้ โดยเฉพาะพี่เบิ้มสหรัฐ ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึงขนาดพยายามแตะเบรกก็แล้ว ยังหยุดความร้อนแรงไม่อยู่
ทำให้ตอนนี้จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว
ดูเหมือนทุกอย่างจะสดใสกาววาว
ทางหนึ่งก็ดีใจว่าเมืองไทยเริ่มฟื้นจากปัญหาที่รุมเร้ามานานนับปี
แต่ อีกทางก็อดหวั่นวิตกไม่ได้ว่าคนไทยอาจจะลืมความยากลำบากในช่วงวิกฤต "ต้มยำกุ้ง" เมื่อ 10 กว่าปีก่อน หรือวิกฤต "แฮมเบอร์เกอร์" เมื่อเร็วๆ นี้
ช่วง "ต้มยำกุ้ง" คนไทยโดนเต็มๆ หน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน
ส่วน "แฮมเบอร์เกอร์" จะโดนหางเลขเกี่ยวกับปัญหาการส่งออก และตลาดทุนที่ต่างชาติเทขายหุ้นและตราสารหนี้อื่นๆ
ทั้ง 2 วิกฤตมีคนไทยตกงานนับล้าน ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
บวกกับปัญหาทางการเมือง-การม็อบ ที่ช่วยทุบให้อาการหนักขึ้น
ดูเหมือนตอนนี้พอเริ่มฟื้นยืนขึ้นมาได้บ้าง ทั้งยอดขายสินค้า ตัวเลขการส่งออก-นำเข้า ฯลฯ
พร้อมกับตัวเลขแรงงานที่ต้องการมากขึ้นในหลายๆ อุตสาหกรรม
สิ่งที่จะตามมาคือความหลงระเริงในรายได้ที่มากขึ้น และเงินที่หาได้ง่ายขึ้น
เรา จึงเห็นยอดจองอสังหาริมทรัพย์มีตัวเลขที่สูงลิ่ว ในจำนวนนี้มีบางส่วนที่เก็งกำไร คล้ายๆ ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ตัวเลขยังไม่มากจนน่าห่วง
รวมไปถึงธนาคารยังมีหนี้เสียน้อยอยู่ เรียกว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่ระมัดระวังตัวเองอย่างมาก เพราะเข็ดจากวิกฤตเดิม
ส่วนประชาชนคนทำงานโดยเฉพาะพวกเด็กรุ่นใหม่ ที่ทำงานมาไม่ถึง 10 ปี กลัวว่าจะหลงระเริงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีเงินจับจ่ายสบายมือ
ตัดสินใจสร้างหนี้ก้อนใหญ่ให้ตัวเองอย่างง่ายๆ เพราะมองแค่เงินรายได้ในปัจจุบัน และวาดฝันว่าจะได้มากขึ้นในอนาคต
ของอย่างนี้มันไม่แน่ ทางที่ดียึด "เศรษฐกิจพอเพียง" ไว้เป็นคาถาป้องกันตัวจะดีที่สุด
เพราะเศรษฐกิจโลก หรือเศรษฐกิจไทยที่เจ๊งๆ กันมา ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเรื่องเดียว
คือใช้จ่ายเกินตัว หรือ "ไม่พอเพียง" นั่นแหละ