โดย จอม เพชรประดับ
เงื่อนไข สำคัญของการปฏิรูปประเทศ นั่นก็คือ การปฏิรูปสื่อ และสื่อที่สมควรจะต้องปฏิรูปมากที่สุดคือ สื่อโทรทัศน์ โดยเฉพาะโทรทัศน์กระแสหลัก เพราะถูกตั้งคำถามจากสังคมอย่างมากว่า เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้ง จนเกิดเป็นสงครามระหว่างประชาชนเหมือนที่ผ่านมา และกำลังรอวันปะทุขึ้นอีกครั้งในอนาคต
แต่ความตื่นตัวของคนทำ สื่อโทรทัศน์กระแสหลัก ในการที่จะลุกขึ้นมาพิจารณา ทบทวนตัวเอง เพื่อค้นหาข้อบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ จนกลายเป็นจำเลยในเหตุแห่งการจุดเชื้อไฟสงครามให้เกิดขึ้นนั้นมาจากอะไร หรือเป็นเพราะอะไร กลับมีน้อยมาก
คนทำสื่อโทรทัศน์ยังคงปฏิบัติ ตัว ปฏิบัติงาน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกอาลัยไยดีกับหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งแห่งเหตุหายนะนั้น
เทียบเปรียบกับสื่อ สิ่งพิมพ์ ที่มีความตื่นตัว ถกเถียงกันถึงการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่สื่อสิ่งพิมพ์ ถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่ได้มีปัญหามากนัก หรือไม่ได้เป็นเหตุแห่งปัญหาที่สังคมตั้งคำถาม
การทำสื่อ โทรทัศน์กระแสหลัก ไม่ใช่ล้มเหลวหรือมีปัญหา เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมและครอบงำของฝ่ายรัฐ ฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ประการสำคัญ อยู่ที่สำนึกและความรับผิดชอบของคนทำสื่อโทรทัศน์เองด้วย
จะ บอกว่าคนทำโทรทัศน์ ไม่มี "กึ๋น" อย่างที่ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ มักกล่าวอ้างอยู่เสมอนั้น คงไม่ใช่ พวกเรามี "กึ๋น" แต่พวกเราขาดความ "กล้า" ที่จะทำให้ "กึ๋น" ปรากฏต่อสาธารณชน โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม ความกล้าหาญแห่งสำนึกความรับผิดชอบในวิชาชีพ ที่ยึดหลักความถูกต้องเป็นธรรม
คนทำสื่อโทรทัศน์ ยังติดอยู่กับดักแห่งผลประโยชน์และอำนาจ ไม่ต่างอะไรกับผู้คนที่คอยจะฉกฉวยโอกาสเพื่อแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจ จากวิชาชีพของตัวเอง เช่นเดียวกับนักปกครอง นักการเมือง และข้าราชการที่บ้าอำนาจ หาประโยชน์จนเกินความพอดี กลายเป็นการทำลายจรรยาบรรณหรือคุณธรรมแห่งวิชาชีพ และได้ทำลายบ้านเมืองและสังคมอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
หากคนทำ สื่อโทรทัศน์ไม่สามารถสร้าง "กึ๋น" ความรับผิดชอบแห่งวิชาชีพให้ปรากฏต่อสาธารณชนได้ คนทำสื่อโทรทัศน์ ก็ไม่ต่างอะไรกับกลุ่มอำนาจ ที่เป็นเผด็จการซ่อนรูป ภายใต้เสื้อคลุมแห่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แม้ว่าการปฏิบัติ หน้าที่ของคนทำสื่อโทรทัศน์ จะถูกยึดโยงเข้ากับอำนาจรัฐ อำนาจทุน และอำนาจของฝ่ายการเมืองจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน แต่จิตสำนึกของคนทำสื่อโทรทัศน์ ไม่ควรจะถูกยึดโยงและครอบงำไปกับคนกลุ่มนี้
เฉพาะอย่างยิ่งในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน ที่เห็นถึงความอ่อนแอ ฉ้อฉล และการทุจริต คิดไม่ซื่อ ของกลุ่มคนนี้มากขึ้น และยิ่งชัดเจนมากขึ้น
การปฏิรูปสื่อในสังคมไทย จึงควรจะเริ่มต้นปฏิรูปจิตสำนึกของคนทำสื่อกระแสหลัก เป็นอันดับแรก
คน ทำสื่อกระแสหลัก จะต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการถูกครอบงำ การถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและทางการค้า เพียงเพราะหวังที่จะได้ประโยชน์ ได้อำนาจ และการยอมรับจากคนเพียงไม่กี่กลุ่มในสังคม พาตัวเองให้ก้าวพ้นจากโครงสร้างแห่งอำนาจนิยมที่ครอบงำสังคมไทยมาช้านาน ให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากความเชื่อ ค่านิยมที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในความแตกต่างและความหลากหลาย
คน ทำสื่อโทรทัศน์ จะต้องตั้งคำถามกับตัวเองให้มากขึ้นว่า กำลังรับใช้ใคร ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ คนทำสื่อโทรทัศน์ จะต้องยอมรับความผิดพลาดที่ได้ร่วมกันก่อขึ้นในหลายๆ กรณีในช่วงแห่งวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา
ที่สำคัญ คนทำสื่อโทรทัศน์ จะต้องเข้าใจว่า สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านที่จะค่อยๆ เต็มรูปแบบมากขึ้น นับจากนี้ สังคมไทยในยามนี้ อาจจะเรียกได้ว่า "ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก และแยกแผ่นดิน" เกือบจะสมบูรณ์ตามที่บรรพบุรุษได้ตักเตือนและห้ามปรามเอาไว้แล้ว
ความ ไม่เป็นเอกภาพ ขาคความสามัคคี แต่ละก๊วน แต่ละกลุ่ม ต่างรบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ บ้านเมืองพังทลายเสียหายมามากเกินไปแล้ว ความเปราะบางที่รอวันแตกสลายนี้ ไม่ควรจะถูกซ้ำเติมจากคนทำสื่อโทรทัศน์อีกต่อไป
ดัง นั้น ขอเรียกร้องให้ คนทำสื่อโทรทัศน์ ตระหนักถึงบริบทที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ หากเห็นถึงความผันแปรที่หาความแน่นอนไม่ได้ รออยู่ข้างหน้า คนทำสื่อโทรทัศน์ ก็ควรที่จะปรับตัว สร้างสำนึกใหม่ ปรับความคิด และหาทิศทางการนำเสนอข่าวสาร ในอันที่จะเสริมสร้างให้การเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ของบ้านเมืองไทย เป็นไปอย่างสันติและราบรื่น
หลักการ และแนวคิดการทำข่าวแบบเดิมๆ ที่ไม่ได้ช่วยให้คนไทยทั้งประเทศได้ตื่นรู้ ว่าบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในชะตากรรมเช่นไร นอกจากจะไม่ช่วยเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่น และปลอดภัยกับทุกคน ทุกฝ่ายแล้ว ยังจะเป็นการเพิ่มความเปราะบาง และเพิ่มความหายนะให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมืองของเรามากขึ้นไปอีก
สํา นึกใหม่ในการทำสื่อโทรทัศน์ หากทำได้ ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของคนทำสื่อโทรทัศน์ ซึ่งแน่นอน ต้องอาศัยความกล้าหาญและเสียสละอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่บริบทสังคมเปลี่ยนแปลงไป แต่บริบทโครงสร้างของสื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์ ยังคงเหมือนเดิม แต่ข้อเรียกร้องนี้ ไม่ได้คาดหวังที่จะให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลักของสื่อโทรทัศน์ใน ทันที หรือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กรสื่อโดยรวม
แต่คาดหวัง ในตัวคนทำสื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์เป็นสำคัญ เพราะการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใด จะเป็นจริงได้ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงจากตัวเราเองก่อนเสมอ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการปฏิรูปประเทศ กุญแจของความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายการเมือง ฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายผู้มีอำนาจที่กำลังรบพุ่งกันอยู่ในบ้านเมือง
แต่อยู่ ที่ประชาชนและสังคม ที่จะพิสูจน์ความเข้มแข็ง แสดงพลังลุกขึ้นมาท้าทาย ทวงสิทธิของการเป็นเจ้าของประเทศ ในอันที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างบ้านแปงเมือง ปรับเปลี่ยนบ้านเมืองไทย ให้เกิดความมั่นคง มีเอกภาพ สร้างหลักเกณฑ์ กติกาที่มีความเป็นธรรม ซื่อสัตย์ ซื่อตรง เพื่อให้เป็นเสาหลัก ที่จะคอยค้ำยัน ความเป็นประเทศไทยให้มั่นคงสืบไป
คนทำสื่อโทรทัศน์ ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นจะต้องปลดแอกตัวเองออกจากโครงสร้างอำนาจที่คดโกงและฉ้อฉล มาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาสังคม เพื่อปฏิรูปประเทศและบ้านเมืองของเรา ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
แต่ หากคนทำสื่อโทรทัศน์ ยังไม่เข้าใจในบริบทของสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่เกิดสำนึกใหม่ ในการทำหน้าที่ ฐานะสื่อกระแสหลัก เส้นทางการเปลี่ยนผ่านประเทศตามแนวทางปฏิรูป ก็คงจะเป็นเส้นทางที่มีแต่ความมืดมนอยู่ต่อไป