ร้องเรียกขวัญที่พรากพลัดกระจัดกระจาย
หลังฝุ่นควันตลบสงบลง
เมืองทั้งเมืองยังคงเงียบสงัด
ยินเพียงเสียงสะอื้นเศร้าเข้าโอบรัด
ร้องเรียกขวัญที่พรากพลัดกระจัดกระจาย
ตอกลิ่มซ้ำย้ำโศกโลกมนุษย์
จิตใจดำต่ำทรุดสุดรับได้
อาศัยซากตึกพังบังความตาย
กี่ซากศพกองก่ายใต้ซากตึก
หน้าไหนหรือใครคือฆาตกร
มันหลบซ่อนในเถื่อนถ้ำไร้สำนึก
มันลอยหน้าสาไถไม่รู้สึก
และคักคึกหยันเยาะหัวเราะร่า
หนึ่งร้อยคืนผ่านผัน “วันฆ่าไพร่!”
กว่าร้อยศพแดดิ้นไปอย่างไร้ค่า
เลือดไหลโลมธรณินสิ้นราคา
ซ้ำร้ายยังตราหน้าว่าโง่งม
พวกเขาตายในยุคโลกตาลปัด
เพื่อนเคียงไหล่เคยไล่ฟัดกลับเสพสม
ร่วมสังวาสศักดินาเกลือกอาจม
ทิ้งอุดมการณ์กล้า “มหากวี”
ความตายช่างแตกต่างร่างเลือดโชก
หรือเศร้าโศกในเบื้องลึกสำนึกนี้
ต้องเป็นเหลืองทองอำพันเลือดชั้นดี
ต่อมกวีจึงปริแตกแหลกร้าวใจ
หนึ่งร้อยวันผ่านพ้นบนทางสู้
มวลชนย่อมเรียนรู้ศัตรูใหม่
ก้าวย่างอย่างสุขุมซุ่มเดินไกล
วิญญาณไพร่กระซิบว่า “อย่าหลงทาง”
ทุกคนล้วนควรรักษาชีวิต
แม้บ้านเมืองมืดมิดดวงจิตสว่าง
ยกระดับสำนึกลึกและกว้าง
มิเคว้งคว้างคล้องใจกล้าประชาชน
แถวทหารแน่นหนาดั่งกำแพงนคร
คำสั่งแผ่วเบา อ่อนโยนและจริงจังเพียงประโยคเดียว คุไฟรักชาติ
ก่อกำเนิดตำนานวีรชนไพร่
บนแผ่นดินที่ไขว่คว้าหาความยุติธรรมยากยิ่ง
ดั่งเรายืนอยู่กันคนละโลก ?
ดวงวิญญาณผู้กล้าจักต้องสังเวยอีกกี่ครั้ง อีกกี่ศพ
หากจะมีสิ่งใดทดแทนชีวิตวีรชนทุกวีรกรรมจากอดีตอันเจ็บปวด
สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่า มีความหมาย ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากร่างอันถมทับประวัติศาสตร์แห่งการกดขี่
เป็นพลังมหานทีที่ไม่มีใครหน้าไหนทัดทานได้
เพื่อนผู้กล้า...
สั่งสมบทเรียนและรอเวลาสั่งสอนมันให้รู้ว่า
บัลลังก์แห่งการสูบเลือดสูบเนื้อประชาชน
ทลายลงแล้ว !!!
“หลังฝุ่นควันตลบสงบลง
เมืองทั้งเมืองยังคงเงียบสงัด
ยินเพียงเสียงสะอื้นเศร้าเข้าโอบรัด
ร้องเรียกขวัญที่พรากพลัดกระจัดกระจาย”
บทกวีโดย ดาว วัญ กุ๋ย