บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คดีก่อการร้ายในประเทศไทย ถึงทางแยกแล้ว!!!โดย วาทตะวัน สุพรรณเภสัช

ที่มา vattavan

วันนี้ ชาติไทยเราได้เดินทางมา ถึงอีกบทหนึ่ง
ของความแตกแยกของผู้คนในประเทศ
ที่แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน คือ
ฝ่าย‘ขบวนการของคนเสื้อเหลือง’ และ
ผู้สนับสนุนกับ‘ขบวนการของคนเสื้อแดง’กับผู้สนับสนุน

แม้ว่าพวกเสื้อเหลืองจะเกิดก่อน และแสดงอิทธิฤทธิ์
ก่อกวนรัฐบาลพรรคของคุณทักษิณ
(ที่แม้ตัวจะโดนรัฐประหารต้องออกนอกประเทศไป แต่ก็ยังดันชนะการเลือกตั้งอีก)
ด้วยการยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และการปิดล้อมรัฐสภา
ส่วนฝ่ายเสื้อแดงนั้นมาทีหลัง แต่ผู้คนสนับสนุนก็ไม่น้อยหน้า
ส่วนใครจะมีคนหนุนมากกว่า ก็ต้องไปดูที่การเลือกตั้ง
เพราะฝ่ายเสื้อเหลืองก็ตั้งพรรคของตัวแล้ว อยู่ที่ว่า
ประชาชนจะเลือกผู้สมัครจากพรรคไหน เข้าสภาได้มากกว่ากัน
แต่ที่แน่ๆ...ทั้งสองฝ่ายยังมี
‘ชนักติดหลัง’ เหมือนกันคือ คดีความเรื่อง ... “ก่อการร้าย”

ตรงนี้ผู้เขียนอยากจะทบทวน ให้ท่านผู้อ่านฟังว่า

ในคดีความเรื่องก่อการร้ายนั้น คอลัมน์ของ“วาทตะวัน” แหละครับ
ที่ชี้ประเด็นให้เห็นก่อนสื่อไหนๆในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุหรือโทรทัศน์ ว่า
การยึดสนามบินที่ปักษ์ใต้นั้น เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย
โดยผมได้แสดงความเห็นเป็นบทความ ลงทั้งเว็บไซด์ www.vattavan.com
และหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’ รายวันด้วย
ซึ่งได้เตือนพรรคของนายมาร์ค มุกควาย ด้วยชื่อของบทความ
ที่สื่อความหมายชัดเจน ตรงไปตรงมา ว่า
“ประชาธิปัตย์จงฟัง อย่าให้คนเขาลือกันว่าเป็น...
พรรคก่อการร้าย!!!”

(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=82)
ผมมีเหตุผลอะไร ทำไมจึงพูดออกมาอย่างมั่นใจว่า
ประชาธิปัตย์จะถูกลือว่าเป็น “พรรคก่อการร้าย” ได้อย่างไรนั้น
โดยเขียนเอาไว้นานเกือบจะสองปีแล้ว คือ
เขียนตั้งแต่ 12 กันยายน 2551 ท่านผู้อ่านที่สงสัย
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ทันที
หลังจากนั้นแล้ว
เมื่อขบวนการพันธมารได้เข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง
ผมได้เขียนบทความอีกชิ้นหนึ่ง ลงทั้ง น.ส.พ.ประชาทรรศน์
และเว็บไซด์ www.vattavan.com อีกครั้งเมื่อ 4 ธันวาคม 2551
ชื่อของบทความ ก็ตรงไปตรงมาอีกคือ
จำลอง ศรีเมือง กบฏและผู้นำการก่อการร้าย....
ต้องโดนนนนน?!?

(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=112)
บทความดังกล่าว ผมเริ่มด้วยการอ้างถึงบทความแรก ดังต่อไปนี้

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2551 หลังจากที่
แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ได้ทำการยึดสนามบินภาคใต้ ก่อความเดือดร้อนให้นักท่องเที่ยว ผู้คนตระหนกตกใจ
ผมได้เขียนลงในประชาทรรศน์ ใช้ชื่อบทความ ว่า
“ประชาธิปัตย์จงฟัง อย่าให้คนเขาลือกันว่าเป็น...พรรคก่อการร้าย!!!”
ตอนหนึ่งได้เขียนเอาไว้ ดังนี้...
....การเดินเกมการเมืองนอกสภา ของพรรคประชาธิปัตย์
ดังที่ได้แจงให้ฟังกันนี้ ได้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมา ในบ้านเมืองนั้น
ยังไม่ร้ายกาจเท่ากับเสียงร่ำลือกันหนาหู
เรื่องพรรคเก่าแก่นี้ ตกเป็นที่ต้องสงสัยของผู้คน ว่า
อยู่เบื้องหลัง...การยึดสนามบิน ที่ภาคใต้ของประเทศ!
นี่เป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร แต่มาถึงวันนี้ ผู้คนบ้านเราพูดถึงราวกับว่า
มันเป็นเรื่องไม่ใหญ่ และไม่แตกต่างอะไรกับการกระทำความผิด
ของบรรดาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 8 คน ที่ตกเป็นผู้ต้องหา
ในการบุกเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT
เรื่องอย่างนี้ ฝรั่งต่างด้าวท้าวต่างแดนถือว่า
"เป็นเรื่องใหญ่นัก ยอมกันไม่ได้!" เพราะการใช้กำลัง
เข้ายึด "สนามบิน-นานาชาติ" นั้น สังคมระหว่างประเทศ
เขาถือว่า เป็นการ
"ก่อการร้าย!"
หรือพูดให้เต็มยศหน่อย คือ "การก่อการร้ายสากล!!"
เดิมประเทศของเรานั้น ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
แต่ปัจจุบันนี้ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1
บัญญัติให้การกระทำลักษณะนี้ เป็นการ "ก่อการร้าย" เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ
ดังนั้น หากการสอบสวนอย่างจริงจัง แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
การยึดสนามบินครั้งนี้ หากมีพรรคการเมืองใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นก๊วนเก่าแก่ หรือกลุ่มการเมืองใหม่ที่ไหนก็ตาม ดันไปหนุนหลัง
การกระทำเช่นว่านั้นเข้าแล้ว แม้คนไทยจะให้ความสำคัญน้อย
...แต่โลกอารยะ ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!


ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผมยังได้เขียนอธิบายความเพิ่มเติมอีกด้วยว่า
ข้อหาก่อการร้ายนั้น
เป็นความผิดมูลฐานของกฎหมายฟอกเงิน
ที่เพิ่งเพิ่มเข้าไปใหม่เป็น ความมูลฐานที่ 8 ซึ่งจะต้องติดตามมา ด้วยการ...
ยึดทรัพย์ ของทั้งผู้ก่อการ ผู้ร่วมหรือสนับสนุน การกระทำความผิด!
ไม่รู้ว่า นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน รวมทั้งนายทุน นายธนาคาร
ที่กำลังถูกระแวงสงสัยว่า ได้มีส่วนในการสนับสนุนการก่อการร้าย นั้น
สำเหนียกกัน บ้างหรือเปล่า?

ที่ต้องหยิบมาทบทวนกัน เพราะเวลาผ่านไปเนิ่นนานพอสมควร
เชื่อว่าหลายท่านคงจะลืมไปแล้ว เลยต้องนำมาทบทวนกันอีกครั้ง
ต้องขอเรียนว่า
การที่ผมยกเรื่อง “การก่อการร้าย” มากล่าวอ้างในครั้งนั้น
ก็ด้วยมีความประสงค์ ที่จะให้มีการดำเนินคดี กับผู้ฐานก่อการร้าย
ด้วยการยึดสนามบินในภาคใต้ และผมรู้ด้วยว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจปักษ์ใต้ ในเขตพื้นที่ที่มีการยึดสนามบินไว้นั้น
ได้ตั้งรูปสำนวนการสอบสวน เอาไว้แล้วด้วย

ดังนั้น ต้องขอเรียกร้องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้
ผู้บัญชาการตำรวจฯ มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจคนใดคนหนึ่ง
รับผิดชอบไปดำเนินการสอบสวน เช่นเดียวกับคดียึดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งบัดนี้...
ผู้ต้องหาพวกพันธมาร ที่ตำรวจออกหมายเรียก
เริ่มทยอยมอบตัวกันเป็นจำนวนมากแล้ว
ส่วนหัวโจกก็พยายามเล่น “ลูกยื้อ” แอ๊คอาร์ทไปตามประสา
ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เพียงแต่
ผมและท่านผู้อ่าน ในฐานะคนดูก็ต้องทำใจ
เพราะอย่างไรเสีย ท้ายที่สุดแล้ว
คนพวกนี้ก็ต้องเดินเข้าสู่กระบวนการทางศาล อย่างแน่นอน
หลีกเลี่ยงไปไม่ได้...เด็ดขาด!

การที่ผมเรียกร้องให้ดำเนินคดีข้อหา “ก่อการร้าย”
กับผู้ยึดสนามบินภาคใต้ด้วยนั้น ก็เพราะเห็นว่าเป็นความผิดชัดแจ้ง
พยานหลักฐานครบถ้วน ทั้งพยานบุคคล และวัตถุพยาน สมบูรณ์
ไม่แพ้คดีผู้ก่อการร้าย ยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง
อีกทั้งการสอบสวนคดียึดสนามบินในต่างจังหวัด
จะทำให้พี่น้องประชาชนเห็นชัดว่า
คดีผู้ก่อการร้าย ยึดสนามบินภาคใต้นั้น
พรรคการเมืองหรือนักการเมืองพรรคใด ที่เป็นหัวโจก
อีกทั้งยังเป็นการขจัดข้อครหา ที่พูดกันว่า
คดีเสื้อแดงเร่งฟ้อง
คดีพันธมาร ดองเปรี้ยวดองเค็ม!


ตอนนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า การดำเนินคดีกับพวก
พันธมารนั้น อาจไม่ได้รับผลอะไรเลย
เพราะขนาดคนจงใจขับรถทับตำรวจ พยายามฆ่าชัดๆ ยังไม่ต้องติดคุกเลย
ชาวบ้านเขาพูดกัน อย่างนี้นะครับ!
คดีพยายามฆ่าตำรวจที่ว่านี้ ผมเชื่อว่า
อย่างไรเสียพนักงานอัยการคงจะต้องอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลย
ให้หนักกว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
เพราะเป็นเรื่องใหญ่ กระทบกับความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากในประเทศ
พลเมืองเหล่านั้นเห็นหลักฐานการกระทำความผิด
ที่มีบันทึกไว้เป็นวีดิทัศน์อย่างชัดเจนแล้ว สังคมก็เห็นพ้องต้องกันว่า
ผู้กระทำความผิดอย่างนี้ สมควรที่จะต้องได้รับโทษจำคุกให้เป็นเยี่ยงอย่าง
จึงต้องพยายามให้ศาลสูง เห็นตรงกับวิญญูชนในประเทศนี้!
ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาตำรวจ ก็ต้องเอาใจใส่
หากเกรงว่าพนักงานอัยการจะไม่อุทธรณ์ ก็ต้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และผู้เสียหาย ต้องทำคำร้องถึงพนักงานอัยการโดยตรง
โดยแจ้งความประสงค์ว่า
ในฐานะที่ตัวเป็นผู้บังคับบัญชา (และตัวผู้เสียหายเองด้วย)
ต้องร้องขอให้พนักงานอัยการพิจารณาอุทธรณ์
ให้ศาลลงโทษสถานหนักกับจำเลยด้วย
เพราะสังคมจะปล่อยให้ไอ้คนพยายามฆ่าตำรวจชัดๆอย่างนี้
มันลอยนวลไป...ไม่ได้หรอกครับ!!

ในการฟ้องร้องแกนนำ น.ป.ช. ต่อศาล และฝ่ายผู้ต้องหาแสดงความไม่พอใจ
เพราะคิดว่า พนักงานอัยการไม่ให้ความเป็นธรรม
เพราะก่อนหน้านั้น ฝ่ายผู้ต้องหา
ก็ได้ยื่นคำร้อง ขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการไปแล้ว
โดยขอให้สอบสวนพยานฝ่ายตนเพิ่มเติม และขอนำพยานหลักฐานอื่น
ที่อยู่นอกเหนือจากหลักฐานของกรมสอบสวนพิเศษ
ให้พนักงานอัยการทำการรวบรวมเพิ่มในสำนวนการสอบสวน
เพื่อจะได้ใช้พิจารณาประกอบในชั้นพนักงานอัยการ แต่...
ฝ่ายอัยการไม่ตอบสนอง กลับเร่งเรื่องยื่นฟ้องคดีต่อศาลเลย!
ตรงนี้แหละครับ ที่ฝ่าย น.ป.ช.
แสดงความไม่พอใจ ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการ
และเรื่องการดำเนินการที่เป็นสองมาตรฐาน
ระหว่างคดีของเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ก็ถูกหยิบยกมาพูดกันอีก
สั่งสมความไม่พอใจให้ กับฝ่ายเสื้อแดงมากยิ่งขึ้น!!
ผมได้สดับตรับฟังมาว่า
คนเสื้อแดงได้มีการนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
พูดจาปรับทุกข์ระหว่างกันในจังหวัดของตัว
และมีบางส่วนก็ข้ามจังหวัดไปคุยกันแบบเปิดเผย ไม่แยแส
หรือยำเกรงต่อคำสั่ง ศอฉ. และมีกิจกรรมสัมพันธ์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทำให้ทางรัฐบาลและฝ่ายทหาร
ที่เคยคิดว่าขบวนการเสื้อแดงน่าจะ “ฝ่อ” ไป แต่แท้ที่จริงแล้ว...
กลับเติบโตและดูจะแข็งแกร่ง มีพลังมากกว่าเดิมด้วย!!!

มีการโจษจันกันว่า ทางรัฐมนตรียุติธรรมเข้าแทรกแซง
ด้วยการมีหนังสือเร่งรัดคดีไปยังพนักงานอัยการ บ้างก็บอกว่า
เป็นเพราะทางรัฐบาลร้องขอในทางลับ ให้พนักงานอัยการเร่งฟ้องไปก่อน
แต่มีอีกกระแสข่าวว่า
หากอัยการสูงสุดไม่เร่งฟ้องคดีคนเสื้อแดง
ตัวนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดเองนั่นแหละ
จะเป็นฝ่ายถูก ป.ป.ช.ชี้มูล ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา
ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของป.ป.ช.
ซึ่งผู้คนที่ติดตามข้อเขียนของผมมาโดยตลอด ก็พอจะเดาได้ว่า
คณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น...อยู่ข้างไหน!?

เรื่องนี้นั้น ผมเองยังเห็นไม่สอดคล้องด้วยนัก
เพราะอัยการสูงสุดคนนี้ เท่าที่ติดตามมา ก็ทราบว่า
ตัวเขาหลุดจากข้อกล่าวหา
เรื่องการทุจริตกรณีทางด่วน มาครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลืออีกเรื่องหนึ่ง
และยังคงอยู่ในกำมือของ ป.ป.ช. ผมเองยังไม่ได้ยินความก้าวหน้าเพิ่มเติม
ในเรื่องดังกล่าว ว่ามีผลกดดันตัวนายจุลสิงห์ฯเท่าใด เพียงแต่ผมคิดว่า
หากมีเรื่องค้างพิจารณาที่ ป.ป.ช.เช่นว่าจริง
ตัวนายจุลสิงห์ฯเองก็คงไม่เป็นห่วงเท่าไหร่ ทั้งนี้ผมดูจากการที่เจ้าตัว
ได้สำแดงความเป็นตัวเอง ด้วยการกล้า ‘หัก’ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในเรื่องคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ และคดีทุจริตรถและเรือดับเพลิง กทม.อันอื้ฉาว
จนเป็นเหตุให้ ป.ป.ช. ประกาศจะต้องฟ้องคดีทั้งสองนี้เอง
ด้วยการว่าจ้างสภาทนายความ ดำเนินการเช่นเดียวกับคดีกล้ายาง
(ที่เขาลือว่า ค่าทนายแพงลิบลิ่ว!)
ความจริงเรื่องนี้ จะเป็นไปตามที่คาดกัน
หรือจะเป็นเพียงละครตบตาชาวบ้าน
ตัวอัยการสูงสุดคือนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ เองเท่านั้น
ที่ทราบดีกว่าใครๆ!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เวลาที่บ้านเมืองของเรา แตกแยกกันอย่างรุนแรงนั้น
การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
อันมีผลกระทบกับกลุ่มขัดแย้งจะต้องถูกจับจ้อง
เพราะอาจถูกใจฝ่ายหนึ่ง
แต่กลายเป็นเรื่องไม่ถูกใจ หรือ ‘ผิดใจ’ กับอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยง่าย
เมื่อบ้านเมืองของเรา ไร้ซึ่งความสามัคคี
ผู้คนแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายชัดเจนอย่างนี้ ไม่มีใครฟังใคร
เพราะเวลานี้ ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้เลือกข้างกันแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว
ดังนั้น หากเห็นคดีก่อการร้ายของฝ่ายหนึ่ง
มีการเร่งรีบทำการสอบสวน และพนักงานอัยการก็สั่งฟ้องอย่างรวดเร็ว
โดยไม่สนใจ
ที่จะดำเนินการตามคำร้องขอความเป็นธรรมของฝ่ายที่ตกเป็นฝ่ายผู้ต้องหา
แต่การดำเนินคดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายพันธมารตกเป็นผู้ต้องหา
มีการดำเนินการอย่างล่าช้า
เพราะมีเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกัน แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น
มีการเลื่อนการสั่งคดีกันไปแล้ว ก็เลื่อนกันอีกแบบซ้ำซาก
คดีจึงอืดไม่ไปถึงไหน เหมือนเข็นเรือเกลือตอนติดแห้ง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม แม้คดีจะล่าช้า
เพราะโรคเลื่อน หรือเล่ห์การถ่วงคดี
หรือเพราะมีตัวช่วยที่มีอิทธิฤทธิ์พิเศษ อย่างที่เห็นกันก็ตามที
แต่คดีคดีก่อการร้ายของฝ่ายพันธมาร ก็เดินมาถึงทางแยกสำคัญจนได้ในที่สุด




ผมเชื่อว่า
พยานหลักฐานแจ้งชัดที่จะยืนยันความผิด เช่น
แถลงการณ์ทุกฉบับของพันธมารเสื้อเหลือง
บวกกับภาพที่ปรากฏทางจอโทรทัศน์ของพวกเขาเอง
เมื่อมาถึงจนบัดนี้ ได้กลายเป็นพยานหลักฐาน
มัดพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาพอที่จะไปพิสูจน์ความจริงกันบนศาลแล้ว
แม้คดีของฝ่ายพันธมาร
ได้เดินทางมาตามเส้นทางกระบวนการยุติธรรม อย่างล่าช้า
โอ้เอ้ศาลาราย แต่ในที่สุดก็ต้องมาถึง ‘ทางแยกบังคับ’
ให้ต้องเดินทางไปบรรจบบนศาลสถิตยุติธรรม
เฉกเช่นเดียวกับคดีของแกนนำ น.ป.ช. ที่ออกเดินทางทีหลัง
แต่ก็ไปศาลถึงก่อน!
การมีคดีคาโรงคาศาลในห้วงหนึ่งของชีวิต
ซึ่งอาจต้องกินเวลานานพอสมควร ชีวิตก็จะไม่ปกติ
ใครจะปากแข็ง โอ่ว่าตนนั้นไม่เกรงคุก ไม่กลัวตะราง
แต่พอโดนจำคุกจริงๆไปก่อนสักคดี แถมคดีอื่นทยอยตามมาด้วยนั้น


เห็นหาย ‘ปากดี’ ทุกรายไปเอง!!

...................

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker