บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

‘สุวัจน์’ไม่ธรรมดา แรงเชียร์สะเทือน ปชป.

ที่มา บางกอกทูเดย์

‘สุวัจน์’ไม่ธรรมดา แรงเชียร์สะเทือน ปชป.



หากผนึก 3P ขึ้นมาจริงๆ ... กดดันรัฐบาลแน่
โบราณบอกว่า ห้ามไฟไม่ให้มีควัน เป็นเรื่องยากแล้ว

แต่การห้ามไม่ให้คนคิดเปลี่ยนแปลง ในยามที่เบื่อหน่าย นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า

ซึ่งไม่ว่าจะพยายามโฆษณาชวนเชื่อสักเพียงใด จะมีสำนักโพลรับงานรช่วยเชียร์สักเพียงไหน รวมไปถึงแม้ว่าจะมีกองทัพโอบอุ้มกระเตงใส่เอวมากเท่าใดก็ตาม

แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของประชาชนได้ ไม่ว่าจะพยายามสร้างภาพสักเพียงใดก็ตาม

ถึงวันนี้แทนที่รัฐบาล จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ กล่าวอ้างในเรื่องของผลงานว่ายอดเยี่ยมเพียงใดก็๋ตาม ตราบเท่าที่ประชาชนยังรับรู้ถึงความเดือดร้อนลำบากอยู่ ยังคงมีเงินรายได้ไม่เพัยงพอกับรายจ่าย

ไม่ว่าน้ำลายแตกฟองจะงักดลยุทธ์ ลูกไม้ลายครามมาก็ตาม ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนชื่นชมยอมรับได้

ก็ดูอย่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะออกรายการวิทยุ จะจัดงานแถลงผลงานว่าประสบความสำเร็จสักเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อของจริงยังมีจุดอ่อน การยอมรับที่แม้จริงก็ย่อมสะดุด

อย่างกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาแถลงข่าวผลงานรัฐบาล ในรอบ 2 ปี ซึ่งเรียกเสียงสะท้อนได้หนักหน่วงไม่ใช่น้อยในเชิงลบ

พรรคฝ่ายค้านนั้น อาจจะมองได้ว่า เป็นขั้วตรงข้ามรัฐบาล ย่อมต้องมองว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน หรือผลงานล้มเหลวอยู่แล้ว

แต่กับประชาชนทั่วไปที่โอดโอยเรื่องรายได้ลด แต่ราคาสินค้าพุ่งพรวดๆ อย่างน้ำมันปาล๋มที่ขยับขึ้นราคาพรวด แถมยังมีการกักตุนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นล้านขวด ตรงนี้ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ก้อนอิฐเป็นการตอบแทนแน่ จะหาดอกไม้สักดอกคงยาก

รวมทั้ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ที่พยายามอ้างว่าดีขึ้นมากแล้ว เอาเข้าจริงๆผู้ประกอบการต่างเบื่อหน่าย พราะรู้ดีว่า ภาพจริงๆนั้นเป็นเช่นไร

หรืออย่างเช่นนักวิชาการที่เป็นกลาง ที่เริ่มสะท้อนความเห็นแล้วว่า ผลงานรัฐบาลยังไม่เข้าตา ยังไม่โดดเด่นมากพอ เช่นกรณีของนายบุญเรือง มานะสุรการ นักวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ออกมากล่าวภายหลังรัฐบาลแถลงผลงาน 2 ปี ว่า

อยากเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ

ทั้งนี้เพราะถึงแม้ว่าผลงานภาพรวมจะเข้าตาประชาชน แต่เป็นการเจาะจงเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลจากนโยบาย

อาทิ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี แม้จะได้ผลในการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองอย่างทั่วถึง แต่ในเชิงคุณภาพแล้วคุณภาพนักเรียนนั้นด้อยลงมาก เนื่องจากมีความแตกต่างคุณภาพการเรียนการสอนระหว่างโรงเรียน

ทางด้านนโยบายการสาธารณสุขนั้นถือเป็นการมองที่ปลายเหตุ การรักษา 30 บาท หรือรักษาฟรีนั้น เป็นการรักษาพยาบาล แต่การป้องกันโรคที่เป็นต้นเหตุกลับไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง

ขณะที่ด้านเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตทางจีดีพีสูงเป็นที่พอใจของรัฐบาล มองว่ารัฐบาลค่อนข้างดูในภาพของมหภาค แต่ในส่วนของภาพจุลภาค ตัวเลขจีดีพีที่สูงขึ้นรัฐบาลควรมองว่าเงินในกระเป๋าประชาชนเพิ่มขึ้นหรือ ไม่

ความรู้สึกในทำนองนี้แหละ ที่กระตุ้นหรือบีบคั้นให้ประชาชนต้องการที่จะลิ้มลองของใหม่กันเป็นแถว

เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลอาจจะเน้นการโหนทหาร จนไม่แคร์ว่าสังคมจะรู้สึกอย่างไร

แต่วันนี้คงไม่สามารถมองข้าม หรือเพิกเฉยได้อีกต่อไปแล้ว

ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ในเดือนธันวาคมนี้ จึงได้มีกระบวนการอยากห็นรัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลประเทศชาติ และประชาชนอย่างจริงจัง โดยไม่ Fake เสียที

และหนึ่งในทางเลือกที่สังคมต้องการให้มาเป็นรัฐบาลแทนนั้น ได้มีการจับตามอง เอาสปแตไลท์ส่อง ก็คือนักการเมืองที่ถดูดีกว่า นายอภิสิทธิ์ และพลพรรคทั้งหลาย

โดยมองกันว่า หนึ่งในผู้ที่น่าสนใจ ก็คือ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา นั่นเอง

กระแสข่าวก็เลยกระฉ่อนเป็นอย่างมาก เรื่องการรวมพรรค ระหว่างพรรครวมชาติพัฒนา กับพรรคเพื่อแผ่นดิน และคณะ 3 จี

แม้ว่าจะมีการออกตัว ถ่อมตัวไปแล้ว แต่กระแสข่าวก็ยังไม่หยุด สะท้อนถึงความเบื่อหน่ายราคาคุยของรัฐบาล และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเสียที

งานนี้รัฐบาลเสียรังวัด และขาดบารมีไปไม่ใช่น้อย

ฉะนั้นมองข้ามเกม ไปจนกระทั่งถึงปีหน้า แม้จะพยามยื้อสักเพียงใดก็ตาม ดูแล้วพรรคประชาธิปัตย์ คงเลี่ยงยากในเรื่องการเลือกตั้งครั้งใหม่

ซึ่งนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) ที่กล้าระบุว่า ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งค่อนข้างแน่นอน

เห็นจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์

และเป็นเทอมสุดท้ายของสภา ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมจะมีการเลือกตั้ง

เพราะสถานการณ์ต่างๆ ก็ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องหนึ่งของการชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา ถือเป็นการลดเงื่อนไขของความขัดแย้ง

“ถ้าปีหน้าการเลือกตั้งเรียบร้อย จะเป็นปีที่ดีของเศรษฐกิจของประเทศ และจะได้รับการยอมรับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและนักท่องเที่ยว”

อีกทั้งนายสุวัจน์ได้มีการออกตัวถึงการควบรวมกับกลุ่ม 3 พีว่า อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เพราะส่วนตัวไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง

โดยการเมืองทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า เสถียรภาพการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองก็คือพื้นฐานของเสถียรภาพของการเมือง

ซึ่งนายสุวัจน์ระบุเลยว่า ฉะนั้นถ้าพรรคการเมืองสามารถสร้างความปรองดองกันได้ รวบรวมกันให้เป็นปึกแผ่นและมีเสถียรภาพ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ

“สัญญาณการเมืองเรื่องการเลือกตั้งก็ค่อนข้างชัดเจน จากนี้ไปคงมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ของการเมือง เช่น บางพรรคการเมืองอาจมีการปรับฐาน หรือพูดคุยกัน หรือเริ่มมีการกำหนดนโยบายต่างๆ เพื่อเตรียมหาเสียงเลือกตั้ง แต่ว่าพรรคใดจะรวมกับพรรคใด คงเป็นเรื่องของอุดมการณ์นโยบายที่ผู้บริหารพรรคคงจะพูดคุยกันต่อไป”

อย่างไรก็ตามด้วยลีลาการเมืองชั้นเยี่ยม นายสุวัจน์ยอมรับว่า ความคืบหน้าของการรวมพรรครวมชาติพัฒนากับพรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่ม 3 พีนั้น เป็นเรื่องของผู้บริหารพรรคของแต่พรรคที่จะพูดคุยกัน

ตอนนี้มองว่าบางทีการเมืองก็เป็นเบี้ยหัวแตก พรรคเล็ก พรรคน้อยก็เยอะ อย่างดูรัฐบาลบางทีก็ 5 พรรค 6 พรรค หรือบางทีก็จะมีกลุ่มการเมืองที่ซ้อนอยู่ในระบบพรรคการเมือง บางทีก็ก่อให้เกิดความสับสน และไม่เป็นผลดีต่อภาพพจน์ของพรรคการเมืองหรือต่อองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง

“ฉะนั้นผมคิดว่าถ้ามีการรวมตัวกัน และสร้างความเข้มแข็ง แต่ขอให้การรวมตัวนั้นอยู่บนพื้นฐานของนโยบายที่สังคมให้การยอมรับก็น่าสนับ สนุน ถ้ามีการรวมตัวกันในทางที่ดีจะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองต่อประเทศ” นายสุวัจน์กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด

ดังนั้นหากมองข้ามชอต คงต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่การปฏิเสธแบบเด็ดขาด แต่เป็นลักษณะของการโยนหินถามทางมากกว่า

และแม้ว่าจะไม่มีหมอดูมาเชียร์เหมือนกับบางคน แต่บอกได้เลยว่า ราศรีของนายสุวัจน์เปล่งปลั่งขึ้นไม่น้อย

คงต้องรอดูของจริงว่า เมื่อนายสุจน์ จับขั้วพันธมิตรกับ 3 เกลอ กลุ่ม 3 ปีขึ้นมาจริงๆแล้ว

จะเป็นการปูทางถนนการเมืองไปสู่จุดหมายใดกันแน่???

แต่ที่แน่ๆ นายอภิสิทธิ์นั่นแลหะที่จะต้อนอนสะดุ้งมาที่สุด

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker