หากผนึก 3P ขึ้นมาจริงๆ ... กดดันรัฐบาลแน่
โบราณบอกว่า ห้ามไฟไม่ให้มีควัน เป็นเรื่องยากแล้ว
แต่การห้ามไม่ให้คนคิดเปลี่ยนแปลง ในยามที่เบื่อหน่าย นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า
ซึ่งไม่ว่าจะพยายามโฆษณาชวนเชื่อสักเพียงใด จะมีสำนักโพลรับงานรช่วยเชียร์สักเพียงไหน รวมไปถึงแม้ว่าจะมีกองทัพโอบอุ้มกระเตงใส่เอวมากเท่าใดก็ตาม
แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของประชาชนได้ ไม่ว่าจะพยายามสร้างภาพสักเพียงใดก็ตาม
ถึงวันนี้แทนที่รัฐบาล จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ กล่าวอ้างในเรื่องของผลงานว่ายอดเยี่ยมเพียงใดก็๋ตาม ตราบเท่าที่ประชาชนยังรับรู้ถึงความเดือดร้อนลำบากอยู่ ยังคงมีเงินรายได้ไม่เพัยงพอกับรายจ่าย
ไม่ว่าน้ำลายแตกฟองจะงักดลยุทธ์ ลูกไม้ลายครามมาก็ตาม ก็ยากที่จะทำให้ประชาชนชื่นชมยอมรับได้
ก็ดูอย่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะออกรายการวิทยุ จะจัดงานแถลงผลงานว่าประสบความสำเร็จสักเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อของจริงยังมีจุดอ่อน การยอมรับที่แม้จริงก็ย่อมสะดุด
อย่างกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาแถลงข่าวผลงานรัฐบาล ในรอบ 2 ปี ซึ่งเรียกเสียงสะท้อนได้หนักหน่วงไม่ใช่น้อยในเชิงลบ
พรรคฝ่ายค้านนั้น อาจจะมองได้ว่า เป็นขั้วตรงข้ามรัฐบาล ย่อมต้องมองว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน หรือผลงานล้มเหลวอยู่แล้ว
แต่กับประชาชนทั่วไปที่โอดโอยเรื่องรายได้ลด แต่ราคาสินค้าพุ่งพรวดๆ อย่างน้ำมันปาล๋มที่ขยับขึ้นราคาพรวด แถมยังมีการกักตุนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นล้านขวด ตรงนี้ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ก้อนอิฐเป็นการตอบแทนแน่ จะหาดอกไม้สักดอกคงยาก
รวมทั้ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ที่พยายามอ้างว่าดีขึ้นมากแล้ว เอาเข้าจริงๆผู้ประกอบการต่างเบื่อหน่าย พราะรู้ดีว่า ภาพจริงๆนั้นเป็นเช่นไร
หรืออย่างเช่นนักวิชาการที่เป็นกลาง ที่เริ่มสะท้อนความเห็นแล้วว่า ผลงานรัฐบาลยังไม่เข้าตา ยังไม่โดดเด่นมากพอ เช่นกรณีของนายบุญเรือง มานะสุรการ นักวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ที่ออกมากล่าวภายหลังรัฐบาลแถลงผลงาน 2 ปี ว่า
อยากเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ทั้งนี้เพราะถึงแม้ว่าผลงานภาพรวมจะเข้าตาประชาชน แต่เป็นการเจาะจงเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลจากนโยบาย
อาทิ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี แม้จะได้ผลในการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองอย่างทั่วถึง แต่ในเชิงคุณภาพแล้วคุณภาพนักเรียนนั้นด้อยลงมาก เนื่องจากมีความแตกต่างคุณภาพการเรียนการสอนระหว่างโรงเรียน
ทางด้านนโยบายการสาธารณสุขนั้นถือเป็นการมองที่ปลายเหตุ การรักษา 30 บาท หรือรักษาฟรีนั้น เป็นการรักษาพยาบาล แต่การป้องกันโรคที่เป็นต้นเหตุกลับไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง
ขณะที่ด้านเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตทางจีดีพีสูงเป็นที่พอใจของรัฐบาล มองว่ารัฐบาลค่อนข้างดูในภาพของมหภาค แต่ในส่วนของภาพจุลภาค ตัวเลขจีดีพีที่สูงขึ้นรัฐบาลควรมองว่าเงินในกระเป๋าประชาชนเพิ่มขึ้นหรือ ไม่
ความรู้สึกในทำนองนี้แหละ ที่กระตุ้นหรือบีบคั้นให้ประชาชนต้องการที่จะลิ้มลองของใหม่กันเป็นแถว
เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลอาจจะเน้นการโหนทหาร จนไม่แคร์ว่าสังคมจะรู้สึกอย่างไร
แต่วันนี้คงไม่สามารถมองข้าม หรือเพิกเฉยได้อีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ในเดือนธันวาคมนี้ จึงได้มีกระบวนการอยากห็นรัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลประเทศชาติ และประชาชนอย่างจริงจัง โดยไม่ Fake เสียที
และหนึ่งในทางเลือกที่สังคมต้องการให้มาเป็นรัฐบาลแทนนั้น ได้มีการจับตามอง เอาสปแตไลท์ส่อง ก็คือนักการเมืองที่ถดูดีกว่า นายอภิสิทธิ์ และพลพรรคทั้งหลาย
โดยมองกันว่า หนึ่งในผู้ที่น่าสนใจ ก็คือ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา นั่นเอง
กระแสข่าวก็เลยกระฉ่อนเป็นอย่างมาก เรื่องการรวมพรรค ระหว่างพรรครวมชาติพัฒนา กับพรรคเพื่อแผ่นดิน และคณะ 3 จี
แม้ว่าจะมีการออกตัว ถ่อมตัวไปแล้ว แต่กระแสข่าวก็ยังไม่หยุด สะท้อนถึงความเบื่อหน่ายราคาคุยของรัฐบาล และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเสียที
งานนี้รัฐบาลเสียรังวัด และขาดบารมีไปไม่ใช่น้อย
ฉะนั้นมองข้ามเกม ไปจนกระทั่งถึงปีหน้า แม้จะพยามยื้อสักเพียงใดก็ตาม ดูแล้วพรรคประชาธิปัตย์ คงเลี่ยงยากในเรื่องการเลือกตั้งครั้งใหม่
ซึ่งนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) ที่กล้าระบุว่า ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งค่อนข้างแน่นอน
เห็นจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์
และเป็นเทอมสุดท้ายของสภา ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมจะมีการเลือกตั้ง
เพราะสถานการณ์ต่างๆ ก็ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องหนึ่งของการชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา ถือเป็นการลดเงื่อนไขของความขัดแย้ง
“ถ้าปีหน้าการเลือกตั้งเรียบร้อย จะเป็นปีที่ดีของเศรษฐกิจของประเทศ และจะได้รับการยอมรับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและนักท่องเที่ยว”
อีกทั้งนายสุวัจน์ได้มีการออกตัวถึงการควบรวมกับกลุ่ม 3 พีว่า อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เพราะส่วนตัวไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง
โดยการเมืองทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า เสถียรภาพการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ความเข้มแข็งของพรรคการเมืองก็คือพื้นฐานของเสถียรภาพของการเมือง
ซึ่งนายสุวัจน์ระบุเลยว่า ฉะนั้นถ้าพรรคการเมืองสามารถสร้างความปรองดองกันได้ รวบรวมกันให้เป็นปึกแผ่นและมีเสถียรภาพ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
“สัญญาณการเมืองเรื่องการเลือกตั้งก็ค่อนข้างชัดเจน จากนี้ไปคงมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ของการเมือง เช่น บางพรรคการเมืองอาจมีการปรับฐาน หรือพูดคุยกัน หรือเริ่มมีการกำหนดนโยบายต่างๆ เพื่อเตรียมหาเสียงเลือกตั้ง แต่ว่าพรรคใดจะรวมกับพรรคใด คงเป็นเรื่องของอุดมการณ์นโยบายที่ผู้บริหารพรรคคงจะพูดคุยกันต่อไป”
อย่างไรก็ตามด้วยลีลาการเมืองชั้นเยี่ยม นายสุวัจน์ยอมรับว่า ความคืบหน้าของการรวมพรรครวมชาติพัฒนากับพรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่ม 3 พีนั้น เป็นเรื่องของผู้บริหารพรรคของแต่พรรคที่จะพูดคุยกัน
ตอนนี้มองว่าบางทีการเมืองก็เป็นเบี้ยหัวแตก พรรคเล็ก พรรคน้อยก็เยอะ อย่างดูรัฐบาลบางทีก็ 5 พรรค 6 พรรค หรือบางทีก็จะมีกลุ่มการเมืองที่ซ้อนอยู่ในระบบพรรคการเมือง บางทีก็ก่อให้เกิดความสับสน และไม่เป็นผลดีต่อภาพพจน์ของพรรคการเมืองหรือต่อองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง
“ฉะนั้นผมคิดว่าถ้ามีการรวมตัวกัน และสร้างความเข้มแข็ง แต่ขอให้การรวมตัวนั้นอยู่บนพื้นฐานของนโยบายที่สังคมให้การยอมรับก็น่าสนับ สนุน ถ้ามีการรวมตัวกันในทางที่ดีจะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองต่อประเทศ” นายสุวัจน์กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิด
ดังนั้นหากมองข้ามชอต คงต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่การปฏิเสธแบบเด็ดขาด แต่เป็นลักษณะของการโยนหินถามทางมากกว่า
และแม้ว่าจะไม่มีหมอดูมาเชียร์เหมือนกับบางคน แต่บอกได้เลยว่า ราศรีของนายสุวัจน์เปล่งปลั่งขึ้นไม่น้อย
คงต้องรอดูของจริงว่า เมื่อนายสุจน์ จับขั้วพันธมิตรกับ 3 เกลอ กลุ่ม 3 ปีขึ้นมาจริงๆแล้ว
จะเป็นการปูทางถนนการเมืองไปสู่จุดหมายใดกันแน่???
แต่ที่แน่ๆ นายอภิสิทธิ์นั่นแลหะที่จะต้อนอนสะดุ้งมาที่สุด