คอลัมน์ รายงานพิเศษ
เอ่ยถึง "ประชานิยม" ไม่มีใครไม่รู้จัก
เป็น โครงการที่เน้นแต่เรื่องการลด แลก แจก แถม มุ่งหวังที่ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เหมาะสม หรือฐานะทางการเงินการคลัง
เพียงแค่เสียงชมอย่างทั่วถึง คะแนนเสียงและผลการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านี้พอ
โครงการ ประชานิยมต่างๆ มีมานานแล้ว แต่รัฐบาลในยุคที่ผ่านมาเลือกจะนำมาใช้ในบางเรื่อง ไม่พร่ำเพรื่อ เพราะหากมากเกิน อาจส่งผลกระทบต่อสังคมและคนในสังคมได้อย่างง่าย
ที่ โด่งดังมากๆ เห็นจะได้แก่โครงการเงินผัน ในรัฐบาลยุค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แม้ภายหลังจะดำเนินโครงการนี้ในชื่อต่างๆ แต่ไม่โด่งดังเท่า
แต่ ที่ กล่าวขวัญกันมาก ถึงกับยกย่องให้เป็นเจ้าพ่อประชานิยม เพราะผุดโครงการขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่จำเป็นต้องนึกถึงงบประมาณและฐานะการคลังของประเทศ เพียงแต่ประชาชนส่วนใหญ่พอใจ นั่นคือ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของโครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการพักชำระหนี้ โครงการเอสเอ็มแอล โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
แทบทุกโครงการได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก
หลายคนบอกว่าไม่เคยได้รับเงินได้รับประโยชน์โดยตรงจากรัฐบาลเช่นนี้มาก่อน
หลายคนบอกว่ารัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหนก็ช่าง ขอเพียงแต่ตนได้บ้างก็พอ
โครงการประชานิยม จึงได้รับความพอใจเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับคนที่ไม่พอใจรัฐบาลเพิ่มขึ้นด้วย
คนที่ไม่พอใจเหล่านี้มองว่ารัฐบาลใช้โครงการประชานิยม เป็นเครื่องมือเพื่อปกปิดบางสิ่งบางอย่างไว้ นำเอาขยะของรัฐบาลซุกไว้ใต้พรม
สมัยรัฐบาลทักษิณ เคยสำรวจความคิดเห็นของคนในสังคม บอกโกงก็ได้ ขอเพียงรัฐบาลทำงานให้กับประชาชนได้บ้างก็พอ
ความคิดเห็นเช่นนี้ที่เป็นตัวส่งเสริมแนวคิดประชานิยมให้เพิ่มมากขึ้น
โกง ได้ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ปลูกฝังให้เยาวชนหลงเพ้อ คลั่งไคล้ในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อการโกง กลายเป็นวัฒนธรรมที่น่ากลัวของสังคมในอนาคต
บางคนเห็นว่ารัฐกำลังทำลายระบบวินัยการเงิน
บางคนบอกว่ารัฐบาลกำลังสร้างค่านิยมที่ผิด
แล้วรัฐบาลทักษิณก็จากไป
รัฐบาล ใหม่ที่เข้ามาแทนที่ เริ่มตั้งแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คุณสมัคร สุนทรเวช คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทุกรัฐบาลไม่สามารถก้าวข้ามฝ่าปัญหาในความนิยมของโครงการประชานิยมไปได้
ทุก รัฐบาลจำเป็นต้องมีโครงการในลักษณะนี้อยู่ด้วย เพียงเพื่อบอกให้รู้ว่าเรายืนอยู่ข้างประชาชน เลือกตั้งครั้งหน้า อย่าลืมเลือกคนที่ยืนอยู่ข้างประชาชน
แต่ทุกรัฐบาลยังไม่น่ากลัว ยังเป็นประชานิยมในปริมาณไม่มากนัก
หากแต่พอมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน ที่มี คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ
โครงการประชานิยมต่างๆ กลับเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยมี มากกว่ารัฐบาลไหนๆ
ตั้งแต่ การต่ออายุโครงการช่วยเหลือประชาชนด้านค่าครองชีพ รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี ไฟฟ้าฟรี น้ำประปาฟรี โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการชุมชนพอเพียง โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการไทยเข้มแข็ง โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
หลัง สุดภายใต้ชื่อ ประชาวิวัฒน์ รัฐบาลยิ่งเข็นโครงการในลักษณะประชานิยมมากขึ้นไปอีก คราวนี้หลายคนว่าไปกันใหญ่ ทั้งขยายเวลารถเมล์ รถไฟ น้ำประปา ไฟฟ้าฟรี โครงการแทรกแซงราคาน้ำมันดีเซล โครงการกองทุนเงินออมแห่งชาติ โครงการบัตรลดหนี้ ขยายเงินกู้กองทุนหมู่บ้าน จัดตั้งหมอหนี้ ขึ้นเงินเดือนให้ฝ่ายต่างๆ
รัฐบาลกำลังเดินตามรอยในสิ่งที่รัฐบาลทักษิณเคยทำ โดยที่บอกให้สาธารณะรู้ว่าตนทำมากกว่า ให้มากกว่า
มี ใครบางคนบอกไว้ว่า โครงการประชานิยมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในอดีตทำ หรือรัฐบาลปัจจุบันกำลังทำ ทั้งหมดส่งผลให้ทำลายคุณค่าความเป็นคน ทำลายคุณค่าความเป็นมนุษย์ เพราะรัฐบาลอยู่ในฐานะผู้ให้ แต่เป็นการให้ที่ไม่มีเหตุผล
หมอรักษาโรค กำลังฉีดยาให้สังคม แต่น่าเสียดายที่ฉีดยาผิด
ความจริงแล้ว การดำเนินงานตามโครงการในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นประชานิยมนั้นไม่ผิด
แม้จะเรียกชื่อโครงการเหล่านั้นแตกต่างกันออกไป จะเป็นประชานิยม หรือรัฐสวัสดิการ หรือประชาภิวัฒน์ หรือประชาวิวัฒน์
เพราะสำคัญที่สุดคือแก่นของโครงการเหมือนกัน
เน้น ที่เงิน การกระจายเงิน โดยเชื่อว่าหากเราสามารถอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบได้มากเพียงไร (โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ) จะสร้างความอยู่ดีมีสุขให้คนในสังคมได้อย่างถ้วนหน้า
"เงิน" จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของระบบ
"เงิน" สร้างความอยู่ดีกินดีได้ในสังคม
ลืมคิดไปว่า จริงแล้ว คนสำคัญกว่าเงิน การพัฒนาคนมีความหมายมากกว่าการพัฒนาเงิน การนำเงินเข้าระบบถูกแล้ว แต่ต้องดูถึงวิธีการด้วย
ประธานาธิบดี สหรัฐ จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ เคยกล่าว วาทะไว้ ซึ่งถือเป็นประโยคอมตะสำหรับการพัฒนาจิตใจคนว่า "อย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรกับคุณ แต่จงถามว่าคุณจะให้อะไรกับประเทศชาติบ้าง"
การที่รัฐบาลหยิบยื่นแต่เงินให้ประชาชน เท่ากับฝึกให้ประชาชนรอคอยและรู้จักแต่การแบมือขอรัฐบาล
ความหวังของประชาชนจึงขึ้นอยู่กับการให้ของรัฐบาล
รัฐบาลหยุดให้ ประชาชนสิ้นหวัง
ความขยัน มุมานะทำมาหากิน อดออมเพื่อเก็บทรัพย์สินไว้ใช้ในอนาคต ดูจะไม่สอดคล้องกับวิธีการที่รัฐกำลังกระทำอยู่
ดู เหมือนเจตนาดี แต่จริงแล้วกลับสร้างผลร้ายให้ราษฎรมากกว่า แม้จะเป็นผลประโยชน์ของคนหมู่มากก็จริง แต่เป็นเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น ระยะยาวกลับไม่ใช่
ไม่ผิด นักหากจะบอกว่ารัฐกำลังได้ชื่อเสียงบางส่วนจากประชาชนเพียงด้านเดียว เหมือนกับคิดว่าตนเองจะเอาตัวรอด แต่ลืมคิดไปว่าประชาชนจะรอดหรือเปล่า
นำเพียงเนื้อปลาให้ แต่ไม่สอนให้รู้จักวิธีตกปลา ชาวบ้านจึงรอคอยแต่เนื้อปลาอยู่ร่ำไป
ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ที่ไหน ความพอประมาณ ความมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน หลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียงอยู่แค่เพียงหน้ากระดาษ สิ่งที่รัฐบาลน่าจะนำมาใช้กลับละเลย
ภูมิสังคม ซึ่งหมายถึงภูมิปัญญา และภูมิศาสตร์ อันเป็นสิ่งที่ในหลวงทรงปฏิบัติให้เห็น พร้อมที่จะลอกเลียนแบบได้ แต่กลับไปเต้นตามโลกแห่งความฟุ้งเฟ้อ
เศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่ดูเป็นเรื่องไกลตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องที่เราทำได้โดยทันที กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน
หรือรัฐกำลังทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก
ประเทศไทย พื้นที่ส่วนใหญ่คือชนบท และชนบทยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ชนบทยังมีพื้นที่ที่เราเติมเต็มได้ในหลายเรื่อง
คนในชนบทต้องการโอกาส
โอกาส ของการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เพราะมีที่ดินอีกมากที่รกร้างว่างเปล่า การบุกรุกยึดครองของนายทุน ความไม่เสมอภาคของการครอบครองที่ดิน
โอกาส ของการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง การกำจัดวัชพืช ขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขิน การฟื้นฟูและจัดสรรน้ำ อยากใช้น้ำแต่ไม่มีน้ำให้ใช้ ปล่อยทิ้งไว้อาจกลายเป็นสงครามแย่งน้ำ
โอกาสของการลดต้นทุนการผลิต ทั้งเครื่องจักรและสารเคมี ทั้งหมดกลายเป็นปัจจัยสำคัญของการผลิตที่ทำให้ต้นทุนสูงมากขึ้น
โอกาสของการเพิ่มผลผลิต แมลงที่ทำลายพืช รวมถึงโรคพืชหลากหลายรูปแบบ กำลังรอคอยการกำจัดที่ถูกวิธี
โอกาส ในการสร้างตลาด เป็นตลาดที่ถาวรที่รองรับเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เป็นตลาดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนการจัดงานมหกรรมสินค้าโอท็อปเพียงปีละครั้ง ไม่ใช่ตลาดของคนแค่หยิบมือเดียว แต่เป็นตลาดของเกษตรกรทุกคน
เราสร้างโอกาสต่างๆ เหล่านี้ได้ หากตั้งใจ
และเราสร้างโอกาสเหล่านี้ได้หากไม่หลงทาง และไม่ตกเป็นทาสของเงินมากกว่าที่ควรจะเป็น
ดูเหมือนรัฐบาลตั้งใจทำงาน และภูมิใจนำเสนอโครงการในรูปแบบประชาวิวัฒน์
เอารัฐบาลชุดทักษิณเป็นตัวตั้ง และพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาชนะ เพื่อบอกใครๆ ว่า ดีกว่า ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนมากกว่า
แต่รัฐบาลลืมไปว่ากำลังทำให้ผู้คนในประเทศหลงทาง ลืมมองดูคนอื่น ลืมมองดูสังคม คิดถึงแต่ตัวเอง
ผมเป็นนักการเมือง แม้จะถูกตัดสิทธิ์ แต่รู้ดีว่าเมื่อโดดลงสู่สมรภูมิการเลือกตั้ง ไม่มีใครอยากแพ้ ทุกคะแนนเสียงจึงมีความสำคัญ
สำคัญทั้งต่อชัยชนะและอนาคตทางการเมืองของตน
ถึงจะห่วงชัยชนะ แต่ผมคงไม่ห่วงจนถึงกับลืมนึกถึงอนาคตของประชาชน
คิดแต่คะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่คิดถึงผลประโยชน์ในระยะยาว คิดเพียงแค่ปัจจุบัน แต่ลืมห่วงถึงอนาคต
อนาคตของบ้านเมือง อนาคตของประเทศชาติย่อมขึ้นอยู่กับปัจจุบัน
ปัจจุบันว่าเราต้องการเงินมากน้อยเพียงใด
อย่าให้ผู้คนในประเทศหลงไปกับเงิน และกระแสประชานิยมเลย