'คนไทยในแผ่นดินล้วนสีเดียวกัน'
ไม่น่าเชื่อว่าส่งท้ายปีเก่า 2553 จะมีการสร้างภาพ เรียกเรทติ้งทางการเมืองกันอย่างหนักหน่วงขนาดนี้
วิเคราะห์กันตามหลักจิตวิทยาแล้ว เชื่อว่าในปีหน้าจะเป็นปีโหดมหาหิน เพราะความจริงต่างๆจะเริ่มโผล่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ระยะเวลาที่เหลืออยู่จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ แต่การช่วงชิงการแข่งขันกลับใกล้เข้ามาทุกขณะ
มองแล้วรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องไม่ยอมพ่ายแพ้
ฉะนั้นจะต้องทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องให้สามารถเป็นรัฐบาลต่อไปให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเอาเล่ห์หรือได้ด้วยกล หรือแม้แต่จะต้องใช้มนตร์ใช้คาถา ใช้กองทัพ ใช้ทุกรูปแบบ
ปัญหาคือแม้ว่าจะมีตั๋วพิเศษ มีอำนาจหนุนหลัง แต่ในแง่มุมของประชาชนแล้ว ณ วินาทีนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังเหนื่อยสาหัส
ก็คิดดูในขณะที่ผลโพลออกมาว่า ข่าวที่ประชาชนสนใจติดตามมากที่สุดในปี 2553 พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 54.6 คือ ข่าวการเมือง สะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนจับตาดูเกมการทำลายล้างทางการเมืองในครั้งนี้อย่างเต็มที่
ซ้ำยังระบุว่า ข่าวที่ทำให้ประชาชนทุกข์ใจมากที่สุดแห่งปี 2553 พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 40.1 คือ ข่าวความแตกแยกของคนในชาติ การจลาจล เผาบ้านเผาเมือง
บอกได้เลยว่าปัญหาการเมือง ปัญหาการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองที่ผ่านมาในรอบปีนี้ เป็นสิ่งที่ประชาชนจับตามองเขม็ง
แต่แทนที่บุคคลอันดับ 1 ที่น่าชื่นชมมากที่สุดแห่งปี 2553 อันดับแรกจะเป็นนักการเมือง กลับพบว่า ร้อยละ 69.2 ระบุ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา เป็นบุคคลน่าชื่นชมมากที่สุดแห่งปี 2553 ในฐานะข้าราชการวีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินไทย
การยกย่องชื่นชมผู้จากไปเช่นนี้ สะท้อนได้ดีถึงความเบื่อหน่ายคนเป็นที่ยังอยู่ ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาล และโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ กับคนใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับโผโยกย้ายตำรวจ จนทำให้พล.ต.อ.สมเพียร ต้องเสียชีวิตในที่สุด ทั้งๆที่อุตส่าห์ขึ้นมาร้องขอชีวิตถึงทำเนียบนั้น
คนกลุ่มที่เกี่ยวข้องเรื่อของ พล.ต.อ.สมเพียร จะรู้สึกอย่างไรบ้าง???
หรือยังคงเหมือนเดิมที่ทำมา คือพยายามให้เรื่องนี้กลายเป็นเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ที่จางหายไปจากความทรงจำของประชาชน
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลย ที่ร้อยละ 61.8 ระบุว่า “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมมากที่สุดแห่งปี 2553 ด้านพิธีกรเล่าข่าว
และร้อยละ 57.3 ระบุให้ น้องหยิน “สริตา ผ่องศรี” เป็นบุคคลที่น่าชื่นชมมากที่สุดแห่งปี 2553 ด้านนักกีฬาไทย กวางโจวเกมส์
เอียนการเมืองกันเต็มๆว่างั้นเถอะ
ผลพวงของการแบ่งแยกแตกต่างทางความคิด แต่ดันมีกลุ่มขั้ววอำนาจที่เข้ามาใช้การทำลายล้าง ได้ทำให้ความรู้สึกในสังคม และสายตาของสังคมที่สะท้อนออกมา ชัดเจนว่าวิตกกังวลเรื่องการเมืองเป็นอย่างมาก
ว่านี่คือต้นตอของความแตกแยก??
ถึงได้บอกว่า ปี 2554 ที่จะมาถึง หากยังไม่สามารถสร้างความปรองดองที่แท้จริงได้ รัฐบาลนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายลำบาก
ดังนั้น การที่พระราชธรรมนิเทศ หรือ”พระพยอม กัลยาโณ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แถลงทรรศนะระบุ “คนไทยในแผ่นดินล้วนสีเดียวกัน” ออกมาเตือนตรงๆ โดยย้ำว่าไม่มีทางอื่นอีกแล้วนอกจากปรองดอง จึงเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายสมควรจะต้องฟัง เก็บไปคิด แล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
พระพยอม ได้เตือนให้ยึดหลักธรรมะ เริ่มต้นด้วยการรู้จัก 1.ใคร่ครวญ คือหัดฟังหูไว้หู อย่าเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรโดยไม่คิดใคร่ครวญ
2.ยินดี เห็นคนอื่นได้ดีให้มีมุทิตาตอบ
3.สามัคคี แม้คิดคนละอย่าง แตกต่างกันได้ แต่ไม่แตกแยก
และ 4.ขับไล่ความริษยาด้วยเมตตาธรรม
พระพยอม กล่าวว่า มีผู้กล่าวว่าว่าจุดแข็งของคนไทยคือรู้เร็ว ทำอะไรเร็ว แต่จุดอ่อนคือขาดการใคร่ครวญ ขาดวิจารณญาณ ขาดโยนิโสมนสิการ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่จะมาใคร่ครวญกันว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสงบ
“ต้องรู้จักฟังหูไว้หู อย่าเชื่อ หรือไม่เชื่ออะไรโดยไม่ได้คิดใคร่ครวญทบทวน ใครที่เคยชอบสีไหน ไม่ชอบสีไหน แม้แต่วันนี้ใครจะเกลียดอาตมา หรือไม่เกลียดอย่างไร คงถึงเวลาใคร่ครวญเรื่องเหล่านี้
แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้าม ถ้าเขาทำอะไรดี เราไม่พลอยยินดี ก็จะมีแต่อิจฉาริษยา ที่เขาเรียกว่า”ตาร้อน”เห็นเขาได้ดีแล้วทนไม่ได้ แต่ถ้าเราคิดว่าใครได้ดีและยินดีกับเขา จะเหยียบความริษยาด้วยใจที่เป็น”มุทิตา” จะปิดความริษยาได้ด้วยความยินดี”
พระพยอม ระบุด้วยว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหยุดความแตกแยกมาสร้างความสามัคคี เพราะความสามัคคีทำให้หนักเป็นเบา ยากกลายเป็นง่าย ช้ากลายเป็นเร็ว ภัยมากกลายเป็นภัยน้อย
ถ้ามัวแต่แตกแยกกันอยู่จะหาใครช่วยเรา น้ำท่วมที่ผ่านมาเขาบอกว่าละลายสีได้เยอะเลย ก็เพราะความสามัคคี เห็นใครลำบากทุกข์ยากก็รีบช่วยโดยไม่ต้องเกี่ยงว่าสีอะไร
“อย่าลืมนะว่า “ขยะหัวใจ” ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือความอาฆาต พยาบาท ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า คิดอาฆาตพยาบาทจะบรรลัย แต่ถ้าคิดให้อภัยใจจะเยือกเย็น เพราะฉะนั้นถ้าอยู่อย่างเยือกเย็น ก็ต้องฝึกฝืน ฝึกฝน ชอบให้อภัยกัน” พระพยอม ให้สติอย่างนี้
หลังการแสดงทรรศนะ พระพยอมได้นำหลักธรรมะปรองดอง “ต่างสีเดียวกัน” ซึ่งจัดทำเป็นหนังสือชุดพิเศษ มี 4 เล่ม พิมพ์สี่สี ขนาดเล็กกะทัดรัด แจกจ่ายให้กับผู้มาร่วมฟัง
พร้อมกันนี้ยังได้ฝากไปมอบให้นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมถึงผู้นำพรรคต่างๆ และแกนนำสารพัดสีด้วย
โดยระบุว่า หวังให้เป็นแนวทางนไปสร้างความปรองดองที่แท้จริงให้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จเป็นของขวัญวันปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน
ก็คงต้องรอดูผลว่า ต่างสีเดียวกันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ การไล่ล่าที่น่าสะพรึงกลัวจะยอมหยุดหรือไม่ กรณีของ “แดง คชสาร”จะเป็นกรณีสุดท้ายหรือเปล่า???
ถ้าขนาดพระมาโปรด มาขอบิณฑบาตรกันตรงๆอย่างนี้แล้ว
หากยังไม่เกิดการปรองดองที่แท้จริง รับรองได้ว่าปี 2554 ไม่ใช่ปีกระต่ายทองคำแน่!!!