พรรคเพื่อไทยคว้าชัยมาได้แค่ 1 ที่นั่งในเขต 2 ขอนแก่น แต่แพ้ถึง 4 เขต
โดยเฉพาะเขต 3 สุรินทร์ และเขต 6 นครราชสีมา ที่พ่ายให้กับพรรคภูมิใจ ไทย ไม่เพียงเป็นประเด็นให้พรรคคู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์นำมาขยายผลครึกโครม
นักวิเคราะห์การเมือง ตลอดจนสื่อมวลชนยังมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า
'กระแสทักษิณ' ในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งเคยเป็นฐานเสียงเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทยและพลัง ประชาชน
เริ่มสั่นคลอนและมีช่องโหว่ให้คู่แข่งเบียดแทรก
แม้แต่สมาชิกเพื่อไทยโดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสานเองก็เริ่มรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายดังกล่าวเช่นกัน
เป็นที่มาของข่าวสะพัด ส่วนหนึ่งอาจหาลู่ทางขยับขยายย้ายไปสังกัดพรรคอื่นในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เดือดร้อนถึงนายใหญ่ในต่างประเทศต้องรีบวิดีโอลิงก์มาปลอบขวัญ
อ้างว่าการที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาเพราะเห็นว่าถึงจะได้ส.ส.เพิ่มเข้ามา 3-4 ที่นั่งในตอนนี้ก็ไม่คุ้มทุน เนื่อง จากใกล้ยุบสภา เก็บกระสุนไว้กราดยิงทีเดียวในการเลือกตั้งใหญ่น่าจะคุ้มค่ากว่า
อีกทั้งยังเป็นการล่อให้พรรคคู่แข่งแบไต๋ออกมาให้หมด
และที่เป็นเหตุเป็นผลมากที่สุดคือหากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งซ่อมผลร้ายที่ตามมาก็คือโปรแกรมยุบสภาที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำหนดไว้ต้นปีหน้า อาจต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้กำชับลูกพรรคให้กอดคอกันสู้ต่อไป ช่วยดูแลคนเสื้อแดง โดยไม่ต้องห่วงเรื่องท่อน้ำเลี้ยง
อย่างไรก็ตามคำชี้แจงของนายใหญ่ ไม่ต่างจากการกวาดขยะซุกใต้พรม สะกดความแตกตื่นขวัญเสียของลูกพรรคไว้ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ขณะที่ปัญหาแท้จริงในพรรคไม่ได้รับการพูดถึง
สภาพความเป็นพรรค 'ไร้หัว' ดูเหมือนเป็นปัญหาของพรรคเพื่อไทยมาตลอด
อย่างที่รู้กัน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นั้นก็เป็นเพียงหัวหน้าพรรคแต่ในนาม
ที่ผ่านมาถึงจะมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคหลายครั้ง เพื่อกระจายอำนาจไปยังมุ้งต่างๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
พรรคเพื่อไทยยังคงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน
นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับ'ทักษิณ'เพียงคนเดียว โดยใช้อำนาจผูกขาดผ่านญาติพี่น้องตระกูลชินวัตร
ขณะเดียวกันหัวหน้ากลุ่มหรือมุ้งต่างๆ ก็พยายามแสดงตัวเป็น 'สายตรงนายใหญ่' จับกลุ่มนั่งเครื่องบินไปดูไบเป็นว่าเล่น
จวบจนกระทั่งประชาธิปัตย์รอดพ้นจาก 2 คดียุบพรรคมาได้ ต่อด้วยคิวเลือกตั้งซ่อม 5 เขต 5 จังหวัดที่ผลออกมาเป็นบวกสำหรับซีกรัฐบาล
ข้อดีของการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมอย่างหนึ่ง คือเป็นสัญญาณเตือนให้พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องกลับมาพิจารณาทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง
ไม่ให้พรรคถอยหลังลงคลองไปมากกว่านี้
โดยมีการบ้านข้อแรกคือการควานหาตัวผู้นำพรรค 'ตัวจริง' ที่จะมาทำหน้าที่ผู้ท้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในอนาคตให้ได้
ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ไม่ใช่แค่ความรู้ความสามารถต้องเป็นที่ยอมรับของสังคมและสมาชิกพรรคที่แบ่งเป็นหลายก๊กหลายกลุ่ม
แต่ยังต้องได้รับการสนับสนุนจากนายใหญ่ในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดอีกด้วย
และจากรายชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ตอนนี้
ถึงนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ จะอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ทั้งด้านความรู้ความสามารถและท่อน้ำเลี้ยงปริศนาที่กำลังมาแรง
แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะผ่านเงื่อนไขข้อที่สามไปได้หรือไม่
เพราะเริ่มมีข่าวเกี่ยวกับการวางตัว'นายหญิงเล็ก' ออกมาตีคู่กับชื่อ'เฮียมิ่ง'บ้างแล้วเช่นกัน
กล่าวกันว่าถึงที่สุดแล้วโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะกลับคืนสู่อำนาจยังเปิดกว้างอยู่ ไม่ได้ปิดประตูตายไปเสียทีเดียว
อย่างแรกจะต้องรอดูผลกรณีนายสุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค นำคณะ 10 ส.ส.ที่ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนนายมิ่งขวัญ บินไปพบพ.ต.ท. ทักษิณ ที่ดูไบ
เพื่อหารือความชัดเจนในเรื่องหัว หน้าพรรคคนใหม่ การวางนโยบายหาเสียงและท่อน้ำเลี้ยงช่วงเลือกตั้ง
รวมถึงการจัดระบบบริหารจัดการภายในพรรคใหม่ ว่าจะสามารถปลด แอกจากตระกูล'ชินวัตร'ได้จริงหรือไม่
พรรคเพื่อไทยต้องยอมรับว่าวันนี้'ทักษิณ' ไม่ใช่จุดขายของพรรคอีกต่อไป
การนำประเด็น'พาทักษิณกลับบ้าน' มาชูเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งยังอาจทำให้พรรคเพื่อไทยต้องถูกสกัดกั้นอย่างหนักจากมือที่มองไม่เห็น
ที่จะไม่ยอมให้ทักษิณได้กลับมาอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้สิ่งที่จะเป็นตัวขยายโอกาสให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ก็คืออาการเดินสะดุดขาตัวเองของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเปิดเผยความจริงในสำนวนคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม และคดีการเสียชีวิตของนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น ที่กำลังเป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาล
และล่าสุดกรณีการตัดหน้ากันเองในการประกาศนโยบายประชาวิวัฒน์ จนเป็นสาเหตุให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ
ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่าเรื่องจะบานปลายไปในทิศทางใด และจะส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มากน้อยแค่ไหน
เมื่อรัฐบาลพลาดให้จังๆ แบบนี้แล้ว
ก็อยู่ที่ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยจะฟื้นตัวได้ทันนาทีทองช่วงสั้นๆ นี้หรือไม่