บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฆ่าคนมือเปล่าก็ได้ถ้านายสั่ง...ผิดกฎใช้กำลัง มือสังหารชิบหาย-นายคนสั่งมีโทษหนักถึงประหารชีวิต

ที่มา Thai E-News




คลิปข่าว สื่อมวลชนให้การยัน ทหารยิงประชาชน ส่วนตัวแทนทหารอ้างทำตามกฎสากลในการสลายการชุมนุมแล้ว

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์*
23 มีนาคม 2554
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:เทือกทำหล่นเปิดโฉม2มือสไนเปอร์สังหารเสื้อแดง

การที่ทหารอ้างว่าใช้กำลังสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นไปตามหลักสากล เรามาดูว่า จริงหรือเท็จ

กฎการใช้กำลัง กฎการปฏิบัติการ หรือกฎการปะทะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Rule of Engagement (ROE) ซึ่งเป็นหลักสากล ทหารไทยแม้จะอ้างว่ามีกฎหมายอะไรก็ตาม ก็ยังต้องทำตามกฎสากลเช่นว่านี้ มิฉะนั้นแล้วในข้อบังคับของทหารเองก็นับว่าเป็นความผิด

ดังนั้น มวลชนก็ควรรู้และใช้ประโยชน์ต่อกฎการใช้กำลังนี้ให้เป็น

กฎการใช้กำลังนั้น มีข้อยกเว้นแต่เพียงว่าหากมีอันตรายต่อทหารหรือหน่วยทหาร ก็สามารถป้องกันตัวได้โดยชอบ ซึ่งทหารมักนำมาอ้างบ่อยๆ แต่เพราะทหารมักไม่ค่อยเข้าใจเรื่องกฎหมาย อ่านหนังสือน้อย ฟังแต่ผู้บังคับบัญชาที่ไม่มีความรู้

ความผิดพลาดต่างๆในเรื่องของกฎเกณฑ์นี้จึงอาจเกิดขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การตัดสินประหารชีวิตผู้บังคับหน่วยทหาร และผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นนั้นในที่สุด ดังนั้น มวลชนจึงควรรู้และใช้ประโยชน์กฎการใช้กำลังนี้ให้เป็นเช่นกัน

กฎการใช้กำลังส่วนแรกขอยกมาจากบทความของ ร้อยโท อริย วิมุติสุนทร นายทหารพระธรรมนูญ กรม 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยในกรุงเทพฯ ที่จะใช้ปฏิบัติการกับฝ่ายเสื้อแดงในครั้งนี้ด้วย โดยจะขอหยิบยกมาเฉพาะที่น่าสนใจดังนี้

“...แนวทางปฏิบัติทั่วไป ในการใช้กำลัง

๑. หากเป็นไปได้ ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากการใช้กำลัง

๒. หากจำเป็นให้ใช้กำลัง ให้น้อยที่สุด

๓. พิจารณาระดับกำลัง

๓.๑ การโน้มน้าวด้วยวาจา

๓.๒ เทคนิคการป้องกันตัวแบบไม่ใช้อาวุธ

๓.๓ สิ่งระคายเคืองที่เป็นละอองสารเคมี เช่น แก๊ซน้ำตา ฯลฯ

๓.๔ การใช้กระบองของสารวัตรทหาร

๓.๕ การใช้สุนัขทหาร

๓.๖ การแสดงให้เห็นอาวุธสังหาร

๓.๗ การใช้กำลังที่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

๔. ห้ามมิให้ใช้การยิงเตือน (warning shots) สาเหตุ เนื่องจากในสถานการณ์ที่มีความสับสนนั้น เสียงที่ดัง มาจากการยิงเตือนนั้น อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดไปได้หลายทาง เช่น เข้าใจว่าเกิดการปะทะขึ้นแล้ว หรือผู้ถูกยิงเตือนเข้าใจว่ากำลังถูกทำการยิง ฯลฯ ซึ่งมักจะส่งผลให้บุคคลอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่ถูกยิงเตือนนั้น รู้สึกถึง “ภัย” ที่อาจจะเกิดขึ้น และด้วยสัญชาตญาณจะพยายามที่จะหลบหลีกออกจากบริเวณดัง กล่าว ( getaway from the area) ให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งจะยิ่งทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้จากผล การศึกษา การใช้การยิงเตือน ยังมักจะก่อให้เกิดอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้า ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ กระสุนก็จะต้องไปตกยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งอาจถูกคนหรือทรัพย์สินเสียหาย หากเป็นการยิงขึ้นฟ้าไปตรงๆ ก็จะพบว่ากระสุนจะตกกลับมาถูกคนหรือทรัพย์สินในบริเวณที่ทำการยิงขึ้นไปนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น การยิงปืนเฉลิมฉลองในงานเทศกาลต่างๆ เมื่อมีคนตายหรือบาดเจ็บ มักจะพบว่าเกิดจากกระสุนที่ตกลงมานั่นเอง หรือกรณีการยิงปืนลงพื้นนั้น ยิ่งพบว่ามีอันตรายมาขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเราไม่ทราบเลยว่ากระสุนจะแฉลบไปทางใด และจะถูกใครได้รับบาดเจ็บบ้าง

๕. หากเวลาและสถานการณ์อำนวย บุคคลที่แสดงอาการเป็นภัย ควรได้รับการเตือนและได้รับโอกาสที่จะหยุดการกระทำที่เป็นภัยนั้น

๖. ใช้การเปิดเผยให้เห็นว่าพาอาวุธเท่านั้น การชักอาวุธปืนออกมาจากซองปืน จริงๆนั้น ใช้เฉพาะกรณีมีเหตุผลอันสมควรที่จะเชื่อได้ว่าอาจจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธ เท่านั้น...”


ในส่วนแรกนี้ จะเห็นได้ว่าทหารไม่ได้รับอนุญาตให้ถือปืนในลักษณะพร้อมยิงตั้งแต่แรก (คงต้องสะพายปืนเฉย) และห้ามการยิงเตือน การยิงลงพื้นหรือกรณีใดๆที่จะทำให้พลเรือนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จริงอยู่ไม่ได้ห้ามการใช้อาวุธสังหาร แต่จะทำได้ต่อเมื่อมีอันตรายถึงชีวิตของทหารเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากการชุมนุมสามารถป้องกันการสร้างสถานการณ์ได้ดีพอ เหตุและเงื่อนไขที่ทหารจะใช้อาวุธนั้นจะไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นแม้มีเหตุจากที่อื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพลเรือนที่อยู่ตรงหน้าทหารจะเป็นภัยถึงชีวิตเช่นนั้นเหมือนกัน

ถ้ามาถึงกวาดล้างทันทีตามที่อ้างว่า"ทุกอย่างทำได้ตามที่นายสั่ง" ก็เป็นความผิดสำเร็จทันที ดังนั้นแกนนำต้องจัดตั้งมวลชนที่ชำนาญการใช้กล้องดังกล่าวไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อถ่ายทำเหตุการณ์ต่างๆอย่างคนที่รู้สถานการณ์ไม่ใช่ขอร้องโดยทั่วไปเหมือนที่ผ่านมาและต้องเป็นช่างภาพที่รู้มุมของการถ่ายและบันทึกภาพสำคัญๆตามเงื่อนไขที่ได้กล่าวถึงมาแล้วนี้ด้วย

ในกรณีที่จะใช้อาวุธสังหาร จะทำได้อย่างไร ร้อยโท อริย ฯ กล่าวต่อไปว่า

“...แนวทางทั่วไปในการ ใช้กำลังที่อันตรายถึงชีวิต

๑. ยิงเพื่อให้ผู้ที่ถูก ยิงหมดความสามารถ

๒. ยิงโดยคำนึงถึงผู้ที่ไม่เป็นภัยที่อยู่ข้างเคียง

๓. ใช้กำลังทหารเฉพาะเมื่อจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น กล่าวคือ

๓.๑ เมื่อใช้วิธีที่อันตรายน้อยกว่าแล้วไม่เป็นผล

๓.๒ ไม่เพิ่มความเสี่ยงแก่ผู้ที่ไม่เป็นภัย

๓.๓ มีความจำเป็นสมเหตุสมผลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์

การใช้กำลังสังหารจะ กระทำเฉพาะเพื่อ

๑. ป้องกันตัวจากอันตรายอันจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างรุนแรง

๒. ป้องกันอาชญากรรมที่อันตรายถึงชีวิตหรือบาดเจ็บขั้นร้ายแรง

๓. ป้องกันการขโมยหรือ การก่อวินาศกรรมต่อทรัพย์สินอันมีค่าต่อความมั่นคงของชาติ

๔. ป้องกันการขโมยหรือ การก่อวินาศกรรมต่อทรัพยากรที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงได้

๕. ป้องกันความเสียหาย ของสาธารณูปโภคที่สำคัญ

๖. จับกุมบุคคลที่ก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามเฉพาะหน้า

๗. ป้องกันการหลบหนีของ นักโทษที่ก่ออาชญากรรมเกี่ยวข้องกับภัยคุกคาม

เฉพาะหน้า ...”


*********

คราวนี้ก็ต้องบอกว่า หากไม่เป็นไปตามหลักสากล โทษของทหารที่ใช้กำลังปราบปรามประชาชนนั้น หนักถึงขั้นประหารชีวิตครับ

หลังจากกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยนาซีเยอรมันแล้ว โลกก็ได้ตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง

ต่อมามีกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีตยูโกสลาเวียและรวันดาที่โด่งดังไปทั่วโลกแล้ว และผู้นำทั้งสองประเทศที่ได้สั่งฆ่าประชาชนก็ได้รับโทษไปแล้วเช่นเดียวกับกรณีของเขมรแดง

ที่น่าสนใจคือเจ้าของสื่อในประเทศรวันดา ที่ยุยงให้มีการฆ่าประชาชนเผ่าอื่นด้วยหลักฐานที่บอกว่าคนเผ่าอื่นนั้นเป็นเหมือนแมลงสาปก็ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว

ขอย้ำอีกทีว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง และประการสำคัญคือทหารที่เกี่ยวข้องกับกรณีเช่นนี้ จะมีความผิดอย่างไรก็ขอให้ติดตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ให้ดี

ขอเตือนด้วยความปรารถนาดีกว่า ไม่มีอำนาจใดๆในประเทศนั้นๆจะต่อต้านอำนาจของชุมชนระหว่างประเทศได้ ทหารที่กระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศโดยปราศจากการคุ้มครองจากอำนาจมืดใดๆ และไม่แน่อำนาจมืดใดๆนั้นก็อาจกำลังต่อคิวขึ้นศาลต่อจากเหล่าทหารหรืออาจจะนำหน้าถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้วก็ได้

เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้ดำน้ำหรืออำกันเล่น จะขอแปลแบบสรุปความในแต่ละมาตราให้พอเข้าใจ
Article 28

Responsibility of commanders and other superiors

ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นอื่นๆ

In addition to other grounds of criminal responsibility under this Statute for crimes within the jurisdiction of the Court:

A military commander or person effectively acting as a military commander shall be criminally responsible for crimes within the jurisdiction of the Court committed by forces under his or her effective command and control, or effective authority and control as the case may be, as a result of his or her failure to exercise control properly over such forces, where:
ผู้บังคับหน่วยทหาร หรือผู้ใดที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บังคับหน่วยทหาร จะรับผิดทางอาญาเมื่อกำลังทหารนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของตน หรือ เกิดจากความล้มเหลวในการควบคุมอย่างเหมาะสมต่อกำลังนั้น


(i) That military commander or person either knew or, owing to the circumstances at the time, should have known that the forces were committing or about to commit such crimes; and

ผู้บังคับหน่วยทหารหรือบุคคลใดนั้นไม่ว่าจะรู้หรือรับผิดชอบในเวลานั้น ควรทราบว่ากำลังของตนกำลังกระทำอาชญากรรม

(ii) That military commander or person failed to take all necessary and reasonable measures within his or her power to prevent or repress their commission or to submit the matter to the competent authorities for investigation and prosecution.
ผู้บังคับหน่วยทหารหรือบุคคลใดนั้น ล้มเหลวในการวางมาตรการที่จำเป็นทั้งหมดและรับผิดชอบภายใต้อำนาจเพื่อป้องกัน หรืออดกลั้นต่อภาระที่ได้รับ หรือเสนอกรณีนั้นต่อผู้มีอำนาจหน้าที่สำหรับการสอบสวนและฟ้องร้อง

(b) With respect to superior and subordinate relationships not described in paragraph (a), a superior shall be criminally responsible for crimes within the jurisdiction of the Court committed by subordinates under his or her effective authority and control, as a result of his or her failure to exercise control properly over such subordinates, where:

ตามวรรคแรก จากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจะรับผิดทางอาญาสำหรับอาชญากรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา ภายใต้การควบคุมของตน เนื่องจากความล้มเหลวในการแสดงการควบคุมที่เหมาะสมต่อผู้ใต้บังคับบัญชานั้น เมื่อ


(i) The superior either knew, or consciously disregarded information which clearly indicated, that the subordinates were committing or about to commit such crimes;

ผู้บังคับบัญชาได้ทราบหรือไม่สนใจข้อมูลอย่างที่วิญญูชนพึงทำ ซึ่งแสดงชัดว่า ผู้ใต้บังคับบัญชากระทำหรือกำลังจะกระทำอาชญากรรม

(ii) The crimes concerned activities that were within the effective responsibility and control of the superior; and

อาชญากรรมนั้นเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการภายใต้ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชานั้น และ

(iii) The superior failed to take all necessary and reasonable measures within his or her power to prevent or repress their commission or to submit the matter to the competent authorities for investigation and prosecution.

ผู้บังคับบัญชาล้มเหลวที่จะมีมาตรการที่จำเป็นและมีเหตุผล ภายใต้อำนาจของตนในการป้องกันและอดกลั้นต่อการทำภารกิจ หรือส่งกรณีนั้นให้กับหน่วยงานผู้มีอำนาจในการสอบสวนและฟ้องร้อง

Article 33

Superior orders and prescription of law

1. The fact that a crime within the jurisdiction of the Court has been committed by a person pursuant to an order of a Government or of a superior, whether military or civilian, shall not relieve that person of criminal responsibility unless:

ความจริงที่ว่าอาชญากรรมที่ได้กระทำโดยบุคคลที่กระทำตามคำสั่งของรัฐบาลหรือผู้บังคับบัญชา ไมว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม จะไม่สามารถนำมาอ้างได้จากความรับผิดทางอาญา ยกเว้น

(a) The person was under a legal obligation to obey orders of the Government or the superior in question;

บุคคลนั้นอยู่ภายใต้ความผูกพันที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาลหรือผู้บังคับบัญชา (ประเทศไทยมีข้อยกเว้นไว้ว่า ทหารจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การนำอาวุธสงครามมาใช้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเพราะเกินกว่าเหตุของการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งเปรียบได้กับตำรวจ ดังนั้น ทหารจะไม่สามารถยกข้ออ้างนี้มาเพื่อพ้นผิดได้)

(b) The person did not know that the order was unlawful; and

บุคคลนั้นไม่รู้ว่า คำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ (กรณีนี้ทหารไทยไม่ได้รับการยกเว้นจาก ข้อบังคับทหารที่ระบุไว้แล้ว)

(c) The order was not manifestly unlawful.

คำสั่งนั้นไม่แน่ชัดว่าผิดกฎหมายหรือไม่ (ทหารไทยผิดกฎหมายตั้งแต่นำอาวุธสงครามออกมาใช้กับประชาชนซึ่งไม่ใช่คู่สงครามแล้ว)

2. For the purposes of this article, orders to commit genocide or crimes against humanity are manifestly unlawful.

กรณีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ(กรณีนี้คือประชาชนคนไทยซึ่งชุมชนระหว่างประเทศถือว่าเป็นมนุษยชาติ ไม่ใช่ทาสของใคร) เป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง (ซึ่งหมายความว่า ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับการเอาอาวุธมายิงใส่ประชาชนต้องผิดกฎหมายในทุกกรณี)


มาตราที่ยกขึ้นมานี้มาจากสนธิสัญญากรุงโรม (Rome Statue) นักกฎหมายระหว่างประเทศจะทราบดี ส่วนศาลที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้จะเป็นศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal court : ICC) และได้มีการตัดสินประหารชีวิตผู้นำของประเทศต่างๆมามากแล้ว

อำนาจอำมาตย์ที่เป็นสิ่งโบราณเปรียบเสมือนสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์นั้นคุ้นเคยแต่การกดขี่ประชาชนด้วยอำนาจภายในประเทศ สนธิสัญญากรุงโรมที่ยกมาให้พิจารณานี้ แม้ว่าจะยังไม่มีใครนำมาใช้กับประเทศไทย แต่คราวนี้อาจเป็นครั้งแรก

และความจริงก็คือมีการตัดสินมาแล้วหลายครั้งล้วนแต่เป็นเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติทั้งสิ้นและโทษที่ตัดสินมักเป็นการประหารชีวิต

***************

หมายเหตุ : เพื่อให้เห็นภาพของ กฎการใช้กำลังที่เป็นสากล จึงจะขอนำแนวทางของกองทัพสหรัฐในโซมาเลียมาพ่วงไว้ให้ผู้ที่ชอบอ่านภาษาอังกฤษ ได้พิจารณาโดยจะไม่แปลความเพราะมีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว

ROE Card

Rules of Engagement
Joint Task Force for Somalia Relief Operations
Ground Forces

Nothing in these rules of engagement limits your right to take appropriate action to defend yourself and your unit.

1. You have the right to use force to defend yourself against attacks or threats of attack.

2. Hostile fire may be returned effectively and promptly to stop a hostile act.

3. When US forces are attacked by unarmed hostile elements, mobs, and/or rioters, US forces should use the minimum force necessary under the circumstances and proportional to the threat.

4. You may not seize the property of others to accomplish your mission.

5. Detention of civilians is authorized for security reasons or in self-defense.

Remember

· The United States is not at war.

· Treat all persons with dignity and respect.

· Use minimum force to carry out the mission.

· Always be prepared to act in self-defense.

Rules of Engagement for
Operation Provide Comfort
(As Authorized by JCS [EUCOM Dir 55-47])

1. All military operations will be conducted in accordance with the laws of war.

2. The use of armed force will be utilized as a measure of last resort only.

3. Nothing in these rules negates or otherwise overrides a commander's obligation to take all necessary and appropriate actions for his unit's self-defense.

4. US forces will not fire unless fired upon unless there is clear evidence of hostile intent.

Hostile Intent - The threat of imminent use of force by an Iraqi force or other foreign force, terrorist group, or individuals against the United States, US forces, US citizens, or Kurdish or other refugees located above the 38th parallel or otherwise located within a US or allied safe haven refugee area. When the on-scene commander determines, based on convincing evidence, that hostile intent is present, the right exists to use proportional force to deter or neutralize the threat.

Hostile Act - Includes armed force directly to preclude or impede the missions and/or duties of US or allied forces.

5. Response to hostile fire directly threatening US or allied care shall be rapid and directed at the source of hostile fire using only the force necessary to eliminate the threat. Other foreign forces as (such as reconnaissance aircraft) that have shown an active integration with the attacking force may be engaged. Use the minimum amount of force necessary to control the situation.

6. You may fire into Iraqi territory in response to hostile fire.

7. You may fire into another nation's territory in response to hostile fire only if the cognizant government is unable or unwilling to stop that force's hostile acts effectively or promptly.

8. Surface-to-air missiles will engage hostile aircraft flying north of the 36th parallel.

9. Surface-to-air missiles will engage hostile aircraft south of the 36th parallel only when they demonstrate hostile intent or commit hostile acts. Except in cases of self-defense, authorization for such engagements rests with the designated air defense commander. Warning bursts may be fired ahead of foreign aircraft to deter hostile acts.

10. In the event US forces are attacked or threatened by unarmed hostile elements, mobs, or rioters, the responsibility for the protection of US forces rests with the US commanding officer. The on-scene commander will employ the following measures to overcome the threat:

a. Warning to demonstrators.

b. Show of force, including the use of riot control formations.

c. Warning shots fired over the heads of hostile elements.

d. Other reasonable use of force necessary under the circumstances and proportional to the threat.

11. Use the following guidelines when applying these rules:

a. Use of force only to protect lives.

b. Use of minimum force necessary.

c. Pursuit will not be taken to retaliate; however, immediate pursuit may begin and continue for as long as there is an immediate threat to US forces. In the absence of JCS approval, US forces should not pursue any hostile force into another nation's territory.

d. If necessary and proportional, use all available weapons to deter, neutralize, or destroy the threat as required.


ที่มา: ผนวก FM 100-23 APPENDIX - D

*******

เรียบเรียงจาก บทความของคุณPegasus 2 เรื่องคือ

-แกนนำและมวลชนควรรู้กฎการใช้กำลังของทหาร เพื่อพลิกสถานการณ์เอาชนะอำมาตย์

-ขอเตือนทหารอย่าเสี่ยงดีกว่า:ปราบประชาชนโทษถึงประหาร

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker