ความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ “สึนามิ” โศกนาฏกรรมที่เพิ่งเกิดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น หรือ เขต Tohoku มีความรุนแรงถึงระดับ 9.0 ริกเตอร์ นับเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 5 ของโลก คลื่นสึนามิครั้งนี้ความเร็วถึง 800 กม.ต่อชั่วโมง ความสูงถึง 10 เมตร ส่งผลให้จังหวัดมิยางิและจังหวัดฟุคุชิมาได้รับความเสียหายอย่างหนัก รายงานล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นกว่า 10,000 คน ประกอบกับรายชื่อผู้สูญหายอีก 17,541 คน
สึนามินับเป็นภัยพิบัติที่เกิดจากอำนาจทางธรรมชาติก่อให้เกิดหายนะเป็นภัยคุมคามที่ร้ายแรงที่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินในวงกว้างรองลงมาจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุไซโคลน
ความเสียหายครั้งมโหฬารนี้นอกจากทรัพย์สินอาคาร สิ่งปลูกสร้าง ถนนหนทาง โทรศัพท์ ประปา ไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน รถยนต์ เรือโดยสาร รถไฟฟ้า เครื่องบินฯลฯจะพังพินาศยับเยินแล้ว แรงกระแทกจากแผ่นดินไหวทำให้ระบบทำความเย็นและดักจับธาตุซีเซียมของเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมาพังใช้การไม่ได้เกิดระเบิด
แรงระเบิดทำให้เตาปฏิมากรณ์ตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการหลอมละลายซึ่งนั่นจะนำไปสู่การแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีสู่ชั้นบรรยากาศโลกในปริมาณมหาศาล ระดับสารกัมมันตภาพรังสีในอากาศบริเวณภายในรัศมีรอบๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ-ไดอิจิ อยู่ในขั้นเป็นอันตรายยิ่งต่อร่างกายมนุษย์
ธนาคารโลกประมาณการณ์ว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิครั้งนี้จะสูงถึง 2.35 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าต้นทุนความเสียหายของเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบเมื่อปี 2538 ที่ระดับ 1 แสนล้านดอลลาร์ และคาดว่าบริษัทประกันจะมีต้นทุนในการจ่ายค่าชดเชยเป็นวงเงินสูงถึง 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์
ภาพโศกนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าสร้อยของญี่ปุ่นถูกแพร่ทางสื่อต่างๆ ใครเลยจะคิดว่าประเทศซึ่งก้าวล้ำนำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจะต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้
นอกจากภาพปรักหักพังของอาคาร ถนน เรือลำใหญ่ รถยนต์ เครื่องบินถูกลากซัดดูดกลืนจากคลื่นยักษ์พังพินาศย่อยยับแล้ว สื่อมวลชนได้แพร่ภาพชาวญี่ปุ่นเข้าคิวซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในภาวะหนีตาย ภาพการเข้าคิวรับถุงยังชีพของบริจาคอย่างเป็นระเบียบ และภาพขบวนรถหนีตายเรียงเป็นทิวแถวยาวเหยียดโดยไม่มีใครเอะอะโวยวาย ไม่มีรถคันไหนขับแซงกันเลยทั้งที่เลนส์ข้างๆ ก็โล่งว่าง เป็นภาพที่น่านำมาเป็นแบบอย่างด้านการบ่มเพาะประชากรด้านการรักษาระเบียบวินัยยิ่งนัก
คนญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ที่ได้ชื่อว่ามีระเบียบวินัย และตรงต่อเวลาเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะซื้อของ หรืออะไร คนญี่ปุ่นจะเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ช่วงเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิยิ่งทำให้เราได้เห็นภาพเหล่านี้มากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ลำบากเดือดร้อนขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ระเบียบวินัยของเขาหย่อนยานลงเลยแม้แต่น้อย หากเป็นในประเทศอื่นเราอาจเห็นภาพความวุ่นวายของผู้คนที่เห็นแก่ตัวต้องการเอาชีวิตรอด หรือข่าวในบางประเทศเมื่อคราน้ำมันปาล์มขาดตลาดยังปรากฏข่าวประชาชนบางส่วนยิ่งกันซื้อแค่น้ำมันปาล์มคนละไม่กี่ขวดถึงขั้นทะเลาะชกต่อยกันให้ชวนหัว และในหลายประเทศเวลาเกิดภัยพิบัติแบบนี้ เราจะได้ยินข่าวการปล้นสะดม ลักเล็กขโมยน้อยอยู่บ่อยๆ แต่เหตุการณ์เช่นว่านี้ไม่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น
คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของคนญี่ปุ่นที่น่ายกย่องคือ "ความเป็นชาตินิยม" ชาวญี่ปุ่นจะรักชาติ รักวัฒนธรรมของตนเอง เราจะเห็นว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีอันก้าวหน้าทันสมัย ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมเก่าแก่แต่ครั้งโบร่ำโบราณก็ยังคงได้รับการอนุรักษ์สืบทอดแก่อนุชนตามลำดับ
ชาวญี่ปุ่นต้องช่วยตัวเองให้อยู่รอดท่ามกลางภัยพิบัติมาหลายพันปี ทั้งจากสภาพอากาศเหน็บหนาว พายุถล่ม แผ่นดินไหว น้ำท่วม เขาสั่งสอนให้ลูกหลานเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติเนื่องจากทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งบรรพชนว่าใต้พื้นพิภพที่ตนอาศัยอยู่มีสภาพแปรปรวนเช่นไร เด็กญี่ปุ่นต้องเรียนรู้วิธีหลบภัยทั้งเวลาเกิดเหตุขณะอาศัยอยู่ภายในตัวอาคารหรือเวลาที่ควรวิ่งสู่ที่สูงเมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัย และถูกบ่มเพาะระเบียบวินัยที่ควรปฏิบัติในกิจวัตรประจำวัน
เหตุสะเทือนขวัญจากภัยพิบัติที่คนญี่ปุ่นต้องประสบครั้งนี้ นอกจากได้เรียนรู้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวอันโหดร้ายที่มนุษย์ต้องยอมศิโรราบให้กับพลังอำนาจของธรรมชาติแล้ว ยังได้ประจักษ์ถึงความศิวิไลซ์ของชาวญี่ปุ่นที่ควรค่าแก่การยกย่องยิ่งนัก