บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

'มิ่ง’ VS ‘มาร์ค’ วันแรกก็หนักแล้ว

ที่มา บางกอกทูเดย์

'มิ่ง’ VS ‘มาร์ค’      วันแรกก็หนักแล้ว



แฉมิสเตอร์พีเคเอี่ยวน้ำมันปาล์ม
‘แม้ว’ ทวิตย้ำ ‘มาร์คแค่เด็กน้อย’
‘อ๋อย’ ให้คะแนน ‘มิ่ง’สอบผ่าน!

ซักฟอกวันแรก ฝ่ายค้านภายใต้การนำทีมของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สามารถสร้างสีสันและการยอมรับจากประชาชนได้ไม่เบา

การขอเปิดซักฟอกครั้งนี้เป็นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรมต.เป็นรายบุคคล จำนวน 9 คน ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ 2.นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง 3.นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ 4.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 5.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) 6.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย 7.นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม 8.นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 9.นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ

นอกจากนี้นายกฯและรมต.ลำดับที่ 1-8 มีพฤติการณ์ส่อทุจริตต่อหน้าที่ ผู้เสนอญัตติทั้ง 122 คนยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 เพื่อส่งป.ป.ช. ถอด ถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งหน้าที่ด้วย ยกเว้นนายกษิต รมว.ต่างประเทศ

แม้ว่าด้วยเกมของรัฐบาล ผสานรับกับทางนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะให้มีการประชุมสภาเพื่อซักฟอกทั้งหมด 4 วัน วันสุดท้ายต้องเลิกก่อนเที่ยงคืน และลงมติวันที่ 5 ของการอภิปราย... แต่ดูจากการอภิปรายวันแรก ก็ต้องถือว่าฝ่ายค้านทำได้ไม่เลวเลย

นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนคร ศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน เป็นคนกล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ บริหารราชการล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ส่อทุจริตต่อหน้าที่ ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีในรัฐบาล และบุคคลแวดล้อมกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น แสวงหาประโยชน์จากการบริหารแผ่นดินอย่างกว้างขวาง

ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า นายอภิสิทธิ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ฝ่าฝืนรัฐ ธรรมนูญ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง สั่งการทหาร พร้อมอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้อำนาจปกปิดความผิดของตนเอง

ทำลายระบบราชการ แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปล่อยให้มีแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่ง ไร้ประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ดำเนินนโยบายต่างประเทศผิดพลาดล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน และล้มเหลวการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

จึงขอเสนอชื่อนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯคนต่อไป

จากนั้นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายถึงภาพรวมโดยใช้สไลด์แสดงข้อความ และข้อมูลเต็มจอแทนภาพตนเอง เน้นการดำเนินนโยบายเรื่องปาล์มน้ำมันของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจพังทั้งระบบ ส่งผลให้ราคาข้าวของแพงเป็นประวัติการณ์

การอนุมัตินำเข้าปาล์ม 30,000 ตัน ต้องผลิตได้ 60 ล้านขวด แต่เหตุใดจึงผลิตได้เพียง 44 ล้านขวด แล้ว 16 ล้านขวดหายไปไหน ตอบง่ายๆ ขาดประสบการณ์ หรือบริหารไม่เป็น หรือกำลังปล้นประชาชนถ้วนหน้าไม่เว้นเศรษฐีหรือยาจก

การใช้เงินอุดหนุนดีเซลลิตรละ 5 บาท วันนี้เงินกองทุนน้ำมันถึงวันที่ 14 มี.ค. 2554 เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ใช้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ สิ้นเดือนมี.ค. เงินจะหมดในกระเป๋าแล้ว ขอย้ำไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นปัญหาน้ำมันดีเซลจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตแน่นอน

สำหรับกรณีเข้าไปแแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ทำให้รัฐเสียประโยชน์ 6.8 หมื่นล้านบาท

ไม่รู้ว่าผู้สูบบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร ซองละ 80 บาท ต้องด่าโคตรพ่อโคตรแม่ใคร

นายกฯหมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของรัฐบาลแล้ว

ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงด้วยสไตล์ถนัดว่า ข้อมูลของนายมิ่งขวัญก็ยังเป็นข้อมูลที่มีการตกแต่ง ตัดต่อ ตัวเลขที่พูดก็ถูก แต่ทำไมไม่เอาตัวเลขเรื่องการส่งออก กับการท่องเที่ยวปี 2553 ที่สูงเป็นประวัติการณ์มาโชว์ด้วย

วันนี้ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายจริงอย่างที่พูด ความน่าเชื่อถือของประเทศก็คงไม่มี แต่วันนี้สถาบันจัดอันดับเครดิตที่สากลให้การยอมรับสถานะของประเทศได้ปรับอันดับประเทศไทยดีขึ้น นายมิ่งขวัญทราบดีแต่ไม่พูด

ส่วนปัญหาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ นายมิ่งขวัญทำธุรกิจมาก่อนน่าจะรู้ว่าไม่สามารถเอาตัวเลขการนำเข้าของร้านค้าปลอดภาษี กับผู้สั่งนำเข้าสินค้ามาขายปกติมาเทียบกันได้

ช่วงบ่ายน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายกรณีทุจริตน้ำมันปาล์มว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจ เรียกร้องฝ่ายค้านตรวจสอบว่าใครกันแน่ที่ทุจริตและอยู่ในขบวนการสวาปาล์ม ตีท้ายครัวคนอื่น เข้าไปกินกันปากมัน ตะกละ มูมมาม กินอย่างสนุกสนาน เพราะการทุจริตครั้งนี้ฉ้อราษฎร์โดยไม่ต้องบังหลวง ไม่ต้องรอให้เก็บภาษีแล้วโกง สามารถดูดเงินในกระเป๋าคนไทย 67 ล้านคน 20 ล้านครอบครัว

แต่สมัยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ใช้วิธีสวาปาล์ม กักตุนน้ำมัน จนน้ำมันไม่เพียงพอในการอุปโภคบริโภค ราคาสูงขึ้นหาซื้อไม่ได้ เกิดจากคนกลุ่มน้อยไม่กี่คนสมคบคิดกันเอารัดเอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ มีนายกฯร่วมคิดสมคบปล้นประชาชน ถ้านายกฯต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ทำได้ง่ายนิดเดียว แต่ทำไมยังปล่อยปละละเลย ให้คนกลุ่มนี้มาตักตวงผลประโยชน์อย่างไร้ยางอาย จึงไม่สามารถไว้ใจนายกฯได้ต่อไป

น.อ.อนุดิษฐ์ มีการระบุว่าฝ่ายค้านได้ไปตรวจสอบผู้ประกอบการรายหนึ่งชื่อ มิสเตอร์พีเค พบว่า มี 2 สต๊อกที่สุราษฎร์ธานี และบางปะกงรวม 1.65 แสนตัน สามารถปล่อยออกมาได้เพื่อให้ราคาน้ำมันปาล์มลดลง พบว่ามีการปล่อยน้ำมันช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 6.3 หมื่นตัน ทั้งที่น้ำมันจะหมด ทั้งนี้วันที่ 30 ธ.ค. 2553 ราคาลิตรละ 49 บาท เดือนม.ค. 2554 ราคาลิตรละ 63.50 บาท

การปล่อยออกในช่วงที่น้ำมันหมด จึงเป็นการแสวงประโยชน์จากการบริหารสต๊อกของรัฐบาล ตรงนี้ทำไมไม่ให้ส่งไปบรรจุขวดเพื่อช่วยประชาชน ตนไม่ได้บอกว่ามิสเตอร์พีเคไปรับนายสุเทพเวลากลับสุราษฎร์ที่สนามบินหรือไม่ แต่เชื่อว่ารู้จักกันแน่ นักธุรกิจได้ทำกำไรเป็นพันๆ ล้าน จากการที่รมต.ที่รับผิดชอบดึงราคาให้สูงโดยไม่ยอมนำเข้าน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อแก้ปัญหา

นอกจากนี้ตัวนายกฯต้องรับผิดชอบด้วย เพราะวันที่ 26 ธ.ค. 2553 พูดในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ก็ส่งสัญญาณจะขึ้นราคา พ่อค้ารู้จึงเก็บหมดเพื่อให้ราคาสูงขึ้น สะท้อนว่านายกฯทำให้เกิดการกักตุน ความขาดแคลนยิ่งมากขึ้น ต่อมาเมื่อมีการนำเข้าราคาขายสูงถึง 47 บาท มีส่วนต่างกับของเดิม 9 บาท ตรงนี้ทำให้ผู้ประกอบการทำกำไรเป็นพันๆ ล้าน

ซึ่งการอภิปรายทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีการขอท้าพิสูจน์ว่าถ้ามีส่วนทุจริตเกี่ยวกับโรงงานสกัดน้ำมัน หรือโรงกลั่นน้ำมัน ขอให้ตั้งกรรมการสอบเลย ถ้ามีรายได้จากน้ำมันปาล์มแม้แต่บาทเดียวเข้ากระเป๋า จะเลิกเล่นการเมืองทันทีและตลอดชีวิตเลย

ส่วนที่มีการอ้างชื่อพีเคว่าเป็นผู้ซื้อน้ำมันปาล์มกว่า 1.5 แสนตันมากักตุนก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะได้คำนวณแล้วว่าถ้าจะต้องซื้อผลผลิตถึง 1.5 แสนตันต้องใช้เงินถึง 7 พันล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่าในทางธุรกิจ

ตลอดการอภิปรายทั้งวัน ส.ส.ฝ่ายค้านลุกขึ้นประท้วงรัฐบาลหลายครั้ง โดยอ้างว่าได้รับแจ้งจากประชาชนหลายพื้นที่ว่าไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ได้ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นเจตนาจงใจของรัฐบาลปิดกั้นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน

ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า “ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ ตอบคุณมิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ์) ใน สภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”

พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ด้วยว่า “สรุปขอแนะ นำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยว่า ผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเอง”

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็ได้โพสต์ ทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์เช่นกันว่า รัฐบาลไทยรักไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ที่ตกค้างมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้หมดก่อนกำหนด หมาย ความว่าไทยรักไทยทำให้หนี้ที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว นายอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์ มาพูดลักไก่แบบไม่น่าเชื่อ

นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เรื่องตัวเลขหนี้ สาธารณะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญ นายกฯกำลังพยายามลดความเสียหายเรื่องน้ำมันปาล์มด้วยการทำให้คนลืมประเด็นแท้จริง และลืมความเดือดร้อน แต่ประชาชนไม่ลืมความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ปัญหาน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นมาเป็นเดือนๆ คนเดือดร้อนไปทั่ว โดยผู้รับผิดชอบขัดกันและนายกฯก็ทราบ

"ไทยรักไทยทำให้หนี้ที่มากเพราะประชาธิปัตย์ลดลง แต่ประชาธิปัตย์ได้ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนจึงไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย ต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็นแล้วจะพบว่าอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเอง เรื่องหนี้สาธารณะ คุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณและเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์" นายจาตุรนต์ ระบุ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในฐานะทีมวอร์รูมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ตั้งขึ้นที่ชั้น 6 อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งประกอบด้วยแกนนำพรรคและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยเป็นหลัก กล่าวประเมินผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก เมื่อวันที่ 15 มีนาคมว่า

โดยทั่วไปผู้อภิปรายทำหน้าที่ตามที่ตั้งใจและวางแผนไว้คือสามารถนำเสนอข้อมูลให้คนได้เห็นตามที่มีข้อกล่าวหาและหลีกเลี่ยงการประท้วงในสภาได้ อีกทั้งการอภิปรายยังมีข้อกล่าวหาจำนวนมากและข้ามจากรัฐมนตรีไปถึงนายกรัฐมนตรีเร็วกว่าที่คาดไว้ และนายกรัฐมนตรียังชี้แจงได้ไม่ถึง 1 ใน 4 ของข้อกล่าวหาและยังไม่รู้ว่าจะตอบเมื่อไหร่

แต่ยิ่งปล่อยไว้ประเด็นก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในขั้นนี้เข้าใจว่าน่าจะยังไม่ต้องปรับยุทธศาสตร์อะไร

ส่วนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก อาจพูดถึงรัฐมนตรีน้อย แต่ได้เลือกพูดประเด็นที่ถนัดและเป็นความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติได้ตรงประเด็นมาก คนอาจไม่ชินกับลีลา แต่ก็เข้มข้นเหมาะกับลักษณะของญัตติ แต่ทั้งนี้ต้องประเมินเมื่อนายมิ่งขวัญอภิปรายสรุปอีกที

วันแรกยังสนุกขนาดนี้ คงต้องติดตามดูวันนี้และวันต่อไป โดยเฉพาะวันสุดท้ายที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จองกฐินเอาไว้

ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะเหนื่อยขนาดไหน???

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker