เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้ฟังศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ
ปาฐกถาในการสัมมนาทางวิชาการของสมาคมปรัชญาและศาสนาแห่งประเทศไทย
พูดตอนหนึ่ง (ประมาณ) ว่า
“วิชาปรัชญากำลังจะตายไปจากอุดมศึกษาไทย
เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าปรัชญาคืออะไร
มองว่าวิชาปรัชญาไม่มีประโยชน์
การวิจัยทางปรัชญาที่ใช้วิธีวิจัยทางมนุษยศาสตร์โดยการกำหนดประเด็นปัญหาทาง
ปรัชญา สำรวจข้อโต้แย้งทางปรัชญา ตีความ วิเคราะห์ วิจารณ์ ความคิด
ทฤษฏีปรัชญาต่างๆนั้น
ผู้มีอำนาจในการอนุมัติทุนวิจัยในหน่วยงานระดับชาติมองว่า
วิธีแบบนี้ไม่ใช่วิธีวิจัย เพราะไม่ได้ใช้หลักสถิติ
อีกทั้งผู้เรียนก็น้อยลง
ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งต้องยกเลิกวิชาปรัชญาไปโดยปริยาย”
ในช่วงแลกเปลี่ยน อาจารย์บางคนบอกว่านักศึกษามักจะบ่นว่า
“เรียนปรัชญาน่าเบื่อ ไม่รู้เรื่อง” อาจารย์สอนปรัชญาก็มักจะตอบทันทีว่า
“ปรัชญามันต้องไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้เรื่องก็ไม่ใช่ปรัชญา” (ฮา)
อีกอย่างนักศึกษาเรียนปรัชญาไปแล้วก็ไม่รู้จะไปทำงานอะไร
เพราะไม่มีอาชีพรองรับ ฯลฯ
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาทางปรัชญา
(เคยไปครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม) แต่ก็เห็นได้ชัดว่า
คนในวงวิชาการด้านปรัชญายังพูดถึงปัญหาเดิมๆ ของตัวเองมาหลายสิบปี
(เช่นเดียวกับคนในแวดวงศาสนา) มันคือปัญหา “ความมั่นคง” ของวิชาปรัชญา
และ/หรือสถานภาพของอาจารย์ นักวิชาการด้านปรัชญา
แต่ไม่ค่อยได้เห็นการถกเถียงว่า “ปรัชญาทำหน้าที่อะไรในสังคมไทยปัจจุบัน?”
(หรือผมอาจอยู่ “ชายขอบ” เกินไปเลยไม่รู้ว่าเขาก็เถียงเรื่องนี้กันอยู่)
โดยเฉพาะ 80 ปี
ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยที่
ยังหา “จุดลงตัว” ไม่ได้
ในสภาวะที่ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ยิ่งนานวันขึ้นมันยิ่งสะท้อนปัญหาพื้นฐานทาง
ปรัชญาเด่นชัดมากขึ้นๆ ตั้งแต่ปัญหาพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เสรีภาพ
ความเสมอภาค ความยุติธรรม ความหมายของ “คน” หรือ “ประชาชน”
ในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ ปัญหาอุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์
VS.อุดมการณ์ประชาธิปไตย ปัญหาความเป็นไทย VS.ความเป็นสากล
ปัญหาว่าศาสนาครอบงำ ลดทอน
หรือส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และศีลธรรมทางสังคม
รวมทั้ง “ปัญหามโนธรรมทางสังคม”
ที่ดูเหมือนจะสรุปความขัดแย้งทางการเมืองกันง่ายๆ แค่ว่า
การนองเลือดครั้งต่างๆ ที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดของแกนนำที่พาคนไปตาย
น่าเห็นใจนักศึกษาประชาชนที่ถูกปลุกปั่นให้กลายเป็น “เหยื่อ”
ของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
แต่ขาดความเอาใจใส่อย่างลึกซึ้งจริงจังต่อประเด็นมนุษยธรรม
และการอ้างอิงหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนเพื่อกดดันให้รัฐบาล
และกลุ่มอำนาจนอกระบบที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังรับผิดชอบทางกฎหมายและ
ศีลธรรมทางสังคม
ถามว่า ท่ามกลางปัญหายากๆ และซับซ้อนต่างๆ นั้น
“ปรัชญา” และ/หรือนักวิชาการด้านปรัชญาในบ้านเราทำหน้าที่อะไร?
หากปรัชญาไม่ทำ
หรือไม่สามารถจะทำอะไรในเชิงช่วยให้สังคมกระจ่างชัดในประเด็นปัญหาพื้นฐาน
และข้อโต้แย้งต่างๆ
เกี่ยวกับเรื่องอุดมการณ์ทางสังคมการเมืองที่ส่งเสริมศักดิ์ศรีของมนุษย์
เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรมเป็นต้นได้เลย
ปรัชญาก็สมควรตายไปจากสังคมนี้มิใช่หรือ? การตีโพยตีพายว่าคนอื่นๆ
ไม่รู้จัก และไม่เห็นประโยชน์ของปรัชญาย่อมเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย
สำหรับผมแล้ว เราอาจมองปรัชญาเป็นสองส่วนหลักๆ คือ ส่วนที่เป็น
“ความคิดทางปรัชญา” กับส่วนที่เป็น “ทักษะทางปรัชญา”
ส่วนแรกคือแนวคิดหรือทฤษฎีของนักปรัชญาหรือสกุลปรัชญาสำนักต่างๆ
ส่วนหลังคือวิธีการทางปรัชญาได้แก่ “วิภาษณ์วิธี” (dialectic)
บางทีเราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “กิจกรรมทางปรัชญา” คือ
การที่เราใช้วิธีคิดเชิงวิพากษ์มาทำความกระจ่างในประเด็นปัญหาทางความคิดที่
ยุ่งยากซับซ้อน การริเริ่มประเด็นปัญหาพื้นฐานและข้อโต้แย้งต่างๆ
การวิเคราะห์หักล้างข้อโต้แย้งต่างๆ ตลอดถึงการเสนอความคิดใหม่
หรือทางเลือกใหม่ สรุปคือส่วนที่เป็นทักษะทางปรัชญาช่วยให้เราคิดอะไรชัดเจน
เป็นระบบ สมเหตุสมผล ไม่สับสนหรือขัดแย้งในตัวเอง
โดยปกติเมื่อเราผ่านการศึกษาทางปรัชญาแล้ว “ความคิดทางปรัชญา”
ที่ประทับใจเราจะไม่มีวันตายไปจากเรา เช่น ความคิดเรื่องธรรมชาติของเหตุผล
อารมณ์ คุณค่าของชีวิต เสรีภาพ ความยุติธรรม ฯลฯ
ส่วนทักษะทางปรัชญานั้นก็ไม่มีวันตายไปจากเรา เหมือนทักษะอื่นๆ
เช่นการปั่นจักรยาน เป็นต้นที่จะตายไปพร้อมกับชีวิตเรา
ปัญหาอยู่ที่ว่า วิธีการเรียนการสอนปรัชญาในบ้านเรานำไปสู่การสร้าง
“รอยประทับ” ของความคิดทางปรัชญาที่แจ่มชัดลงในห้วงคำนึง
การคุ่นคิดอย่างลึกซึ้งของผู้เรียนหรือไม่
ทำให้ผู้เรียนมีทักษะทางปรัชญาที่สามารถนำไปใช้ “จับปลากินเอง”
หรือไปจับประเด็นปัญหาซึ่งพบเห็นได้ในสังคม
ในชีวิตประจำวันขึ้นมาวิเคราะห์วิพากษ์เชิงปรัชญาได้เพียงใด
รวมทั้งนักวิชาการในแวดวงปรัชญาได้ใช้ทักษะทางปรัชญามาทำความกระจ่างใน
ปัญหาพื้นฐานต่างๆ ในทางสังคมการเมืองเป็นต้นอย่างไร
คือถ้าเราทำให้ปรัชญามีชีวิต ปรัชญาก็จะไม่ตาย
แต่ถ้าจำกัดพื้นที่ให้ปรัชญาอยู่แค่ในห้องเรียนแคบๆ
เอาไว้เรียนกันตามที่พูดๆ กันว่า “ปรัชญามันต้องเรียนไม่รู้เรื่อง
ถ้ารู้เรื่องก็ไม่ใช่ปรัชญา” ก็บอกได้เลยครับว่า ปรัชญาตายแน่ๆ (รีบจองศาลา
เตรียมฌาปกิจได้เลย)
ทำไมปรัชญาทั้งส่วนที่เป็น “ความคิดทางปรัชญา” กับส่วนที่เป็น
“ทักษะทางปรัชญา” จึงไม่ตายไปจากสังคมตะวันตก
คงไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาเรียนกันทั้งระดับมัธยมและอุดมศึกษาเท่านั้น
ที่สำคัญว่านั้นคือถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า คนตะวันตกเขามี “character
ทางปรัชญา” ที่ปรากฏออกมาในบุคลิกภาพของเขาตั้งแต่การมองความหมาย
คุณค่าของชีวิต การเคารพสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง
อดทนต่อความเห็นต่าง มีความคิดเชิงวิพากษ์ ต้องการคำตอบปัญหาต่างๆ
ที่อ้างอิงความรู้ ความเป็นเหตุเป็นผล ฯลฯ
ซึ่งบุคลิกภาพเช่นนี้มันถูกวางรากฐานและมีพัฒนาการคลี่คลายมาเป็นพันๆ ปี
อย่างน้อยก็ตั้งแต่ยุคภูมิปัญญากรีกเป็นต้นมาที่ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ผู้
ซึ่งใช้เสรีภาพและเหตุผลของตนเองอย่างเต็มศักยภาพในการแสวงหาการมีชีวิตที่
มีคุณค่า การสร้างหลักปรัชญา อุดมการณ์ และระบบสังคมการเมืองที่ยุติธรรม
ที่จริงปรัชญาไม่ควรจะตาย
เพราะมีปัญหาให้ปรัชญาไปร่วมถกเถียงด้วยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น
โพสต์ในเฟซบุ๊กของ “ตี้” นิติพงษ์ ห่อนาค ที่ว่า
“แผ่นดินสยามครั้งที่ยังอยู่ในพระหัตถ์ปิยกษัตริย์
ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีประปา เลิกทาสได้อย่างนิ่มนวล มีรถไฟพร้อมญี่ปุ่น
ฯลฯ ต่อเมื่อแผ่นดินอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน เปลี่ยนมือกันไปมา
ก็ก้าวหน้าตามที่เห็นแล อดคิดไม่ได้ว่า ถ้ายังไม่เปลี่ยนการปกครอง
ป่านนี้อาจมี 6G ใช้แล้วก็ได้...กษัตริย์ไทย บารมีพระมากพ้น รำพันโดยแท้”
แค่โพสต์นี้ก็ชวนให้ถกเถียงทางปรัชญาได้มากมายเลยครับ
ถ้าคนในวงวิชาการปรัชญามองเห็นจริงๆ ว่า ปรัชญายังมีคุณค่าต่อสังคม
นำทักษะทางปรัชญามาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนที่ถูกครอบงำ กดขี่ให้มากขึ้น
ปรัชญาก็จะไม่ตาย!