(18 ต.ค.55) นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ด้านเศรษฐศาสตร์ ในฐานะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ บอร์ด กทค. กล่าวภายหลังการประชุมบอร์ด กทค. ว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 ต.ค.) จะส่งหนังสือรับรองผลการประมูลใบอนุญาต 3G คลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ให้กับผู้ชนะประมูล 3G ทั้ง 3 ราย โดยมีบริษัท เอกชนเข้าร่วมประมูล 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค ประมูลคลื่นความถี่ได้ในราคา 14,625 ล้านบาท บริษัท ดีแทค เนควอร์ค และบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ ประมูลคลื่นความถี่ไปในราคา 13,500 ล้านบาทเท่ากัน รวมทั้งสามรายประมูลคลื่นความถี่ไปในมูลค่า 41,625 ล้านบาท โดยผู้ชนะทั้ง 3 รายต้องจ่ายเงิน 3 งวด แบ่งเป็นปีแรก 50% และปีที่ 2 อยู่ที่ 25% และปีที่ 3 อยู่ที่ 25% ของเงินที่ประมูลได้ ภายใน 90 วัน และจะได้ใบอนุญาตครอบครองคลื่น 15 ปีทันทีใน 7 วัน
กรรมการ กทค. กล่าวต่อว่า การลงมติของบอร์ด กทค.เพื่อรับรองผลการประมูล 3G ครั้งนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ส่วนเงินที่ได้จากการจัดประมูลคลื่นความถี่ 3G จะนำส่งเข้ารัฐให้เร็วที่สุด แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไร เพราะต้องรอให้เอกชน 3 ราย ส่งเงินเข้ามาทั้งหมดก่อน โดยคาดการณ์ว่าจากนั้นประมาณ 3 เดือน จะสามารถนำส่งเข้ารัฐได้ อย่างไรก็ตาม หากหักค่าใช้จ่ายในการจัดประมูลประมาณ 20 ล้านกว่าบาท
ต่อข้อถามถึงการกำกับดูแลเอกชนนั้น กรรมการ กทค.กล่าวว่า ระยะแรกในการกำกับดูแล ต้องดูว่าผู้ประกอบการมีการแข่งขันกันมากหรือไม่ และต้องดูต้นทุนของผู้ประกอบการด้วย ซึ่งขณะนี้ มีต้นทุนการประกอบกิจการอยู่แล้ว ซึ่ง กสทช. ต้องเอามาดูว่าเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่ โดยคาดว่าหลังจากนี้ 6 เดือน จะสามารถบอกความชัดเจนได้ พร้อมยืนยันว่า การกำกับดูแลต้องถูกลงกว่าเดิม
สำหรับการประชุม กทค.ครั้งนี้ ประกอบด้วย 5 ราย ได้แก่ พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช. และประธาน กทค. พล.อ. สุกิจ ขมะสุนทร กสทช.ด้านการศึกษา วัฒนธรรม และพัฒนาสังคม นายสุทธิพล ทวีชัยการ กสทช.ด้านกฎหมาย นายประเสริฐ ศีลพิพัฒน์ ด้านเศรษฐศาสตร์ และ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม
โดยการประชุมเริ่มตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น. ใช้เวลารวม 4 ชั่วโมง โดยสำนักงาน กสทช. ได้ถ่ายทอดเสียงให้สื่อมวลชนรับฟัง ที่ชั้น 2 อาคารหอประชุม ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ มีการแจ้งว่าจะถ่ายทอดภาพด้วยแต่เกิดขัดข้องทางเทคนิค จึงได้แค่เสียงอย่างเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กำลังถ่ายทอดสดเสียงการประชุมนั้น มีเนื้อหาที่ถกเถียงกันซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้บอร์ด กทค. 2 คน ประกอบด้วย นายประเสริฐ และ พล.อ.สุกิจ วอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุม ทำให้ พ.อ.เศรษฐพงค์ ต้องตัดบทบอกให้ที่ประชุม กทค.ลงมติรับรองผลการประมูล 3G ของ กสทช. ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2555
ผลปรากฏว่า การลงมติรับรองผลการประมูลใบอนุญาต 3G ของ กทค. มีมติบอร์ด 4-1 โดย นพ.ประวิทย์ ไม่รับรองผล และขอดูเอกสารการเคาะราคาการประมูลทั้ง 7 ครั้งก่อน ส่งผลให้ที่ประชุมบอร์ดขอปิดเสียงถ่ายทอดสดเพื่อนำเอกสารมาอธิบายให้ นพ.ประวิทย์ ฟังประมาณ 5 นาที จึงได้เปิดเสียงถ่ายทอดสด และได้สรุปผลการลงมติรับรองการประมูล 3G ของบอร์ด กทค.
สำหรับประเด็นที่ นพ.ประวิทย์ ตั้งข้อสังเกตนั้นมีหลายเรื่อง อาทิ เรื่องราคาตั้งต้ที่ต่ำเกินไป และการออกหลักเกณฑ์ประมูลที่ไม่ทำให้เกิดการแข่งขัน รวมถึงการออกประกาศเพื่อทำประชาพิจารณ์ไม่สอดคล้องตามเวลาที่กำหนด
"สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค" ยื่นถอด กสทช. ส่อผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว
ด้าน บุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการตรวจสอบทุจริตและธรรมาภิบาลฯ วุฒิสภา โดยมี รสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน หลังพบว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. เข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (พ.ร.บ.ฮั้ว)
บุญยืน กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังมาก เพราะเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหา กสทช. ในรอบ 44 คน เพื่อส่งต่อให้วุฒิสภาคัดเลือกเหลือ 11 คน ขณะที่เลือกเข้ามาแต่ละคน นับว่ามีประวัติหน้าที่การงานดี และแสดงวิสัยทัศน์ที่ดีมาก ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แต่เมื่อเข้ามากลับเปลี่ยนไป พร้อมยืนยันว่า สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคจะไม่หยุดตรวจสอบ กสทช.แน่นอน
นอกจากนี้ บุญยืนระบุว่า สิ่งที่รับไม่ได้คือ การทำหลักเกณฑ์ก่อนการประมูลจนสามารถเอื้อให้บริษัทที่มีอยู่ในตลาดเพียงแค่ 3 ราย ได้เข้ามาประมูล โดยมองว่า นี่ไม่ได้เรียกว่า การประมูล แต่คือการประเคน มากกว่า กสทช.กำลังเล่นลิเก หรือเล่นจำอวดหน้างานศพให้สังคมดู
ด้านรสนา ประธานคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตและธรรมาภิบาลฯ วุฒิสภา กล่าวว่า กรรมาธิการได้รับเรื่องจากสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคไว้ตรวจสอบ เนื่องจากเป็นหน้าที่ที่ในความรับผิดชอบ ส่วนประเด็นที่ยื่นให้ตรวจสอบนั้น เป็นประเด็นเดียวกันกับที่สังคมเกิดข้อสงสัย โดยเฉพาะทำผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว หรือไม่ ซึ่งหากผลสอบออกมาพบว่าผิดปกติ จะต้องดูว่าจะส่งผลสอบไปให้หน่วยงานใดเอาผิดตามความรับผิดชอบ เหมือนเช่นที่เคยส่งให้ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาแล้ว
ประชาชนห้าหมื่นกว่า ลงชื่อถอดถอน กสทช.
ตัวแทน เครือข่ายภาคประชาชน นำโดยกลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว กว่า 50 คน นำรายชื่อประชาชนใส่ลังมาประมาณ 30 ลัง รวมทั้งหมด 57,904 รายชื่อ ยื่นต่อนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อให้ถอดถอนกรรมการ กสทช.
นิคม กล่าวว่า ขณะนี้รับเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว โดยหลังจากนี้จะนำไปตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อที่ยื่นมา จากนั้นจะส่งต่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามกระบวนการถอดถอน โดยอาจใช้เวลานานกว่า 2 เดือน นอกจากนี้ ยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังมากในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมการเลือก กสทช.ชุดนี้ โดยเฉพาะผลการจัดประมูลเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ราคาไม่เกิดการแข่งขันมากถึง 6 ใบ ขณะที่โดยรวมที่ได้เข้ารัฐนับว่าเป็นราคาที่ต่ำมาก
สุริยะใสชะลอยื่นศาลปกครองไต่สวนเรื่อง 3G - รอฟังคำสั่งคดีก่อน
สุริยะ ใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองสีเขียว (กลุ่มกรีน) กล่าวว่า วันนี้ (18 ต.ค.) ตัดสินใจจะไม่ไปศาลปกครองกลางเพื่อยื่นคำฟ้องเพิ่มเติม กรณีที่บอร์ด กทค. จะนัดประชุมเพื่อลงมติรับรองผลการประมูลใบอนุญาตให้บริการโทรศัพท์เคลื่อน ที่ 3G โดยจะขอรอฟังคำสั่งในคดีที่ได้ยื่นฟ้องไปก่อนหน้านี้ก่อน
ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีประมูล 3G 2 คดี
ศาล ปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในคดีที่ฟ้องเกี่ยวกับการประมูลคลื่น 3G รวม 2 คดี คือ กรณีที่สมาคมสถาบันคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค ยื่นฟ้อง กสทช. ขอให้เพิกถอนประกาศสำนักงาน กสทช.เรื่องรายชื่อผู้เข้าร่วมการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สากลย่าน 2100 กิกะเฮิรตซ์ เนื่องจากบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูล มี นายจอน ทราวิส เอ็ดดี้ อัลดุลลาห์ สัญชาติอเมริกัน เป็นผู้มีอำนาจลงนาม จึงเข้าลักษณะขัดต่อประกาศ กสทช.เรื่องการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคน ต่างด้าว
โดยเหตุที่ศาลไม่รับคำฟ้อง เพราะสมาคมฯ ไม่ใช่ผู้มีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินการประมูล ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งโดยตรง จึงไม่มีผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ที่จะโต้แย้งขอให้ศาลเพิกถอนประกาศ กสทช.ดังกล่าว
ส่วนที่อ้างว่า การที่ กสทช.ประกาศให้บริษัท ดีเทค เนทเวอร์ค จำกัด เป็นผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูล จะส่งผลทำให้การจัดสรรคลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ ตกอยู่ในความควบคุมอิทธิพลของคนต่างด้าว เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ เห็นว่า หากบริษัทดังกล่าวได้รับใบอนุญาต ย่อมต้องไม่ดำเนินการใดๆ อันเป็นการขัดต่อข้อห้ามตามประกาศ กสทช. เรื่องการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว มิเช่นนั้น บริษัทดังกล่าวจะต้องถูกดำเนินการตามข้อ 8-12 ตามประกาศดังกล่าว จึงเห็นได้ว่าเหตุการณ์ดังที่สมาคมฯ กล่าวอ้างอาจจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ในอนาคต ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคล หรือความเสียหายแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือสาธารณะยังไม่มีความแน่นอน และ กสทช.ก็ได้มีมาตรการควบคุมดูแลมิให้บริษัทดังกล่าวกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติ ต่างๆ อยู่แล้ว นอกจากนั้น หากอนาคตเหตุการณ์เป็นไปตามที่สมาคมฯกังวลใจ คือ บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตถูกครอบงำโดยคนต่างด้าว สมาคมฯก็ย่อมเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ และมีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ แต่ในขณะนี้สมาคมฯยังไม่ใช่เป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ส่วนคดีที่ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และพวกรวม 3 คนฟ้อง กสทช.ว่า ออกหลักเกณฑ์และจัดการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทร คมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์ โดยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 เพราะการเรียกเก็บเงินประมูลขั้นต่ำ 4,500 ล้านบาท จากเอกชนผู้เข้าประมูล อาจทำให้ กสทช.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคได้ตามกฎหมาย
ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องโดยให้เหตุผลว่า เงินที่ได้จากการประมูลหลังหักค่าใช้จ่ายย่อมตกเป็นของแผ่นดิน กสทช.จึงหาได้เป็นเจ้าหนี้ของผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับ กิจการโทรคมนาคมดังกล่าวแต่อย่างใด และหากมีกรณีที่ กสทช.จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้ผู้ได้รับใบอนุญาตชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้เงินประมูลคลื่นความถี่ หรือหนี้อื่นใด ก็เป็นเพียงการดำเนินการแทนรัฐเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีกรณีที่ กสทช.จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ได้รับใบอนุญาตอันเป็นผลเนื่องมาจากการออก ประกาศของ กสทช.ตามที่ พล.ร.อ.ชัย กับพวก กล่าวอ้าง ดังนั้น ในกรณีนี้จึงหาได้มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นแก่ประโยชน์สาธารณะตามที่ พล.ร.อ.ชัย กับพวก เข้าใจแต่อย่างใด พล.ร.อ.ชัย กับพวกจึงไม่อาจอาศัยเหตุดังกล่าวนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 1, 2 ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1, 2