ผมไม่เข้าใจทำไมพวกเสื้อเหลืองต้องโวยวาย ในเมื่อพวกเขาก็จัดงาน 7 ตุลาอยู่แล้ว ทำไมไม่จัด 6-7 ตุลาควบกันไป ไม่เห็นมีใครห้าม ให้พวกพันธมิตรจูงลูกจูงหลานมาดูนิทรรศการเก้าอี้ฟาด ให้ความรู้พี่น้องเอ๊ยว่ากาลครั้งหนึ่งมีการแต่งภาพละครแขวนคอ อ้างข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปลุกอุดมการณ์กษัตริย์นิยมล้นเกิน นำกระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้าน เข้าไปเข่นฆ่านิสิตนักศึกษาประชาชนผู้บริสุทธิ์
บุคลากรพันธมิตรก็มีครบ พร้อมเล่าบรรยากาศยุคนั้น ตั้งแต่สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ปลอมตัวเป็นนักข่าวดาวสยามเข้าไปถ่ายภาพไว้ ชัชวาลย์ ประทุมวิทย์ (ชาติสุทธิชัย) ก็ผู้ประสานงานแนวร่วมศิลปิน ที่มีเพื่อนหลายคนพลีชีพอย่างกล้าหาญหน้าหอใหญ่เพื่อปกป้องพวกเรา ประยูร อัครบวร ก็เป็น 1 ใน 18 ผู้นำนักศึกษาที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ถึง 2 ปี ประพันธ์ คูณมี อาจข้ามไปเล่าเรื่องในป่า พี่เปี๊ยก พิภพ ธงไชย ก็อาจเล่าเรื่องสมัยจัดตั้งส่งไปพบ อ.ป๋วยที่อังกฤษ พร้อมนิวัติ กองเพียร
ส่วนมหาจำลองก็อาจมาเปิดใจว่าทำไมจึงไป “สังเกตการณ์” ที่ลานพระรูป คริคริ
แล้วทำไมไม่จัด พวกซ้าย (เก่า) เสื้อเหลืองก็รู้ตัวดี ขนาดเขียนถึงยังไม่ค่อยเขียน กลับมาโวยวายที่ 6 ตุลากลายเป็นของเสื้อแดง
ทำไมไม่แข่งกันทำให้มวลชน “ก้าวหน้า” หรืออุดมการณ์ 7 ตุลามันตรงข้ามกับ 6 ตุลา จนต้องละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยมี (แล้วจะมาทวงสีแดงคืนทำไม)
แต่เอาละ วันนี้ขอคุยเรื่องที่คุยได้ทั้งสองขั้วดีกว่า
ตอนที่พี่เนาว์ พี่หงา ออกมาทวงสีแดง ด่าเจ็ดซ้าย แล้วเกิดวิวาทะ มีการเปรียบเทียบเปรียบเปรยตัวละคร 2 สีทำนองว่าซ้ายเก่าที่มาอยู่สีแดงเป็นพวกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เห็นแก่เงิน เข้าข้างทุน ขณะที่พวกแดงก็ด่าพวกเหลืองเห็นแก่ลาภยศสรรเสริญเหมือนกัน
ผมก็แย้งอยู่ว่าทำไมไม่เอาวัฒน์ วรรลยางกูร ไปเปรียบกับพี่หงาเล่า เปรียบผิดคู่นี่หว่า เพราะวัฒน์กับพี่หงาก็ยังเหมือนเดิม วัฒน์เป็นคนจริงใจ ใช้ชีวิตกับชาวบ้านมาตลอด เขียนเรื่องชีวิตคนธรรมดาสามัญผู้ถูกกระทำ เย็นย่ำก็หน้าแดงกรึ่ม พี่หงาแกก็เป็นศิลปินคนเดิม ใจถึงใจ ไม่เคยสนใจทรัพย์สินเงินทอง พรรคพวก สหาย เชิญไปแสดงที่ไหนก็ไป ขอแค่ออกค่ารถค่าเหล้าให้ เรื่องชีวทัศน์ส่วนตัวแกก็เป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแม้แต่สมัยอยู่ป่า คริคริ
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้คุยกับพี่คนหนึ่ง (แดง) ถึงเพื่อนอดีตนักกิจกรรมคนหนึ่ง (เหลือง) หลังจากทั้งคู่เกิดวิวาทะกัน คุยแบบ off record เขาก็เล่าพฤติกรรมตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ว่าไอ้นี่มันชอบทำงานเอาหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ไม่เคยเอาจริง ถึงเวลาคับขันหายเฉย
เอ้า กลับมาอีกข้างมั่ง รุ่นพี่อีกราย (ไม่เหลืองไม่แดง) เล่าไปด่าไปเรื่องซ้ายเสื้อแดง จัดแต่งงานลูกเมียเก่าแล้วเอาเมียใหม่ไปนั่งรับซอง ถามว่าเขาเป็นคนแบบนี้มานานแล้วหรือ คำตอบคือนานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเป็นเหลืองเป็นแดงหรอก
ผมมาคิดทบทวนดู ถึงอดีตสหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกัน ว่าความเป็นเหลืองเป็นแดงทำให้เขาเปลี่ยนไปไหม คำตอบคือไม่เปลี่ยน หรือถ้าเปลี่ยนก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ แม้เป็นอุปนิสัยที่ไม่แสดงออกเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ย้อนคิดไปก็พอมองเห็น
สหายสนิทรายหนึ่งเป็นเหลือง ตอนอยู่ป่า ช่วงขัดแย้งกับจัดตั้ง เขา “เสียคิด” โดนสหายหญิงคนหนึ่งวิพากษ์ซึ่งหน้า จนสูญเสียความทรนงในตัวเอง นอนคุยกัน 2 คนเขาบอกว่าได้ยินเสียงหยดน้ำบิดตัวอย่างปวดร้าวอยู่ในซอกหิน ออกจากป่ามาก็ทำงานกับ NGO ทำเรื่องสิทธิมนุษยชน มาย้อนคิดดูผมก็ไม่ค่อยแปลกใจที่คนได้ยินเสียงหยดน้ำบิดตัวอย่างปวดร้าวอยู่ ในซอกหินจะกลายเป็นเหลืองอย่างบริสุทธิ์ใจ (ฮา หยอกกันเล่นน่า)
สหายเก่าอีกราย สังสรรค์อยู่กับแกนนำเหลือง แต่ก้าวข้ามความเป็นเหลือง แม้จะไม่เห็นด้วยกับแดง และยังเห็นด้วยกับเหลืองบางเรื่อง เช่นเรื่องภาคประชาชน แต่ก็มีความคิดดีๆ เยอะ ผมได้ไอเดียดีๆ จากการคุยกันหลายครั้ง รายนี้สมัยอยู่ป่าเป็นนักรบแกล้วกล้า มือหยอดปืน ค. เคยไปรบด้วยกัน ศัตรูยิงปืนกลมา ยอดหญ้าตีนเนินด้านหน้ากระจุยเห็นๆ คาตา ผมขาสั่น พวกยังเฉย ออกจากป่ามาก็ประสบความสำเร็จทางธุรกิจพอตัว
เอ้า อีกรายเป็นสหายนักศึกษาระดับนำหน่อย เป็นเจ๊ใหญ่ที่นับถือผูกพัน ออกจากป่ามาไม่มีตังค์ยังเคยไปหยิบยืม เพื่อนฝูงขอความช่วยเหลืออะไรมีแต่ให้ ทำไมแกเป็นเหลือง ก็ไม่ค่อยได้คุยกันนัก แต่ถ้าถามว่าความเป็นเหลืองเป็นแดงจะทำให้ความนับถือผูกพันนี้เปลี่ยนไปไหม ก็ไม่ เจ๊ก็ยังเป็นเจ๊ที่ผมรักนับถือเหมือนเดิม
ต่างกับสหายอีกราย นี่ห่างหน่อย เมื่อก่อนก็ดูดี แต่หลังๆ เพิ่งรู้ว่าเขาใช้ความมีชื่อเสียงในขบวนการต่อต้านทักษิณสร้างสถานะให้ตัว เอง ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างอาณาจักร มาย้อนคิดดู แปลกใจไหม ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เขาเป็นคนที่ดูนิ่ม เนียน แต่มีอะไรแฝงลึก ไม่ใช่คนเปิดตัวคบหาเฮฮากันอยู่แล้ว
ผมว่าทุกคนไปคิดทบทวนดูก็จะรู้สึก สหายเราไม่ได้เปลี่ยน ไม่ว่าวันนี้เขาอยู่สีไหน คนที่เคยร่วมเป็นร่วมตาย เคยทุกข์ยากมาด้วยกัน ฝ่าห่ากระสุนมาด้วยกัน กินข้าวปนข้าวโพดมาด้วยกัน ใครที่จริงใจก็ยังเป็นคนจริงใจ ใครคบได้ก็ยังคบได้ คนที่กล้าออกหน้าในสนามรบ คนที่ยินดีเหนื่อยยากกว่าคนอื่น ก็ยังเป็นคนเดิม ส่วนพวกที่พยายามทำตัวเป็น “ลูกที่ดีของพรรค ลูกที่รักของประชาชน” ซึ่งออกจากป่าแล้วมักประสบความสำเร็จในการทำให้ตัวเองดูดี แม่-ก็ยังเหมือนเดิม
อาจมีบางคนที่คุณอยู่ห่างเขาหน่อย ไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แล้วเคยมองเขาในแง่ดี ตอนนี้ก็คิดว่าเขาเปลี่ยนไป อันที่จริงไม่ใช่ ลองสอบประวัติดู ปัญหาคือชีวิตในขบวนการนักศึกษา ชีวิตในป่า เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ เราคือเด็กหนุ่มสาวที่เฝ้าใฝ่ฝัน มองโลกใสสะอาดไปหมด ไม่เคยมองสหายในแง่ลบ ถ้าจำได้สมัยออกจากป่าใหม่ๆ เคยมีคำเตือนว่า ห้ามให้สหายยืมเงินหรือแลกเช็ค ใครฝ่าฝืนจะพบสัจธรรมว่า เสียเงินไม่พอ ยังเสียมิตรร่วมรบอีกต่างหาก (ฮาไม่ออก)
อันที่จริง สหายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นคนที่ออกรบด้วยกัน ทุกข์ยากด้วยกัน คุณก็รู้ว่าใครที่มันจ้องควานชิ้นหมูในแกงหน่อไม้เป็นคนที่ให้ยืมตังค์ไม่ ได้ ปัญหาคือคนที่เราอยู่ห่าง หรือพวกแกนนำต่างหาก ที่เรามองเขาแง่ดีด้านเดียว แล้ว 30 ปีก็ไม่เคยข้องแวะกันเลย จนมาเห็นพฤติกรรมในยุคแบ่งสีเลือกข้าง
ฉะนั้นคำเตือนวันนี้จึงเปลี่ยนไป ใครที่คุณมั่นใจว่าให้ยืมตังค์ได้ เขาก็ยังเป็นคนเดิมไม่ว่าจะเหลืองหรือแดง ซึ่งอันที่จริงผมก็ยังมั่นใจว่าสหายเก่าเกือบทั้งหมดคบได้ มีบางคนเท่านั้นที่เป็นนักฉวยโอกาส
ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ เช่นจู้จี้จุกจิก ครอบงำความคิด ฯลฯ ผมว่าส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิมอีกแหละ หมอเหวงกับ อ.ธิดาแกก็ไม่น่าเปลี่ยนจากสมัยเป็น ส.เข้ม ส.ปูน เท่าไหร่หรอก (ฮา)
ทัศนะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันได้ สำคัญว่าแต่ละคนเลือกข้างด้วยความจริงใจหรือฉวยโอกาส พวกที่เป็นเหลืองบางราย ที่มีชื่อเสียงก็ฉวยโอกาส เช่น พรรคพวกรายหนึ่งไม่เคยรับผิดชอบชีวิตตัวเองหรือลูกเมีย ไปอยู่กับไทยรักไทยกับอดีตสหายรุ่นพี่ต่อหน้าทำดี ลับหลังไปเลื่อยขาเก้าอี้ในวงเพื่อน หารู้ไม่ว่าสหายเก่าแอบเปิดมือถือใต้โต๊ะ ถ่ายทอดสดให้พี่เขาฟังหมด
แต่หลายรายก็จริงใจแบบของจริง เช่น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ใครที่รู้จักมา 20-30 ปีต้องรู้ว่าแกไม่เคยเปลี่ยน แกไม่เคยสนใจลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินส่วนตัว แต่มีแนวโน้มอนาธิปไตยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว (ฮา) ล่าสุดก็เพิ่งเรียกหาปฏิวัติประชาชน
เลิกเป็นชนชั้นกรรมาชีพเถอะ
อย่างที่เล่าว่าชีวิตใน ป่าเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ มีแต่ความใฝ่ฝัน มองโลกใสสะอาด ทุกคนเข้มงวดตัวเอง วิจารณ์คนอื่น (ฮา) ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เคร่งในศีลในธรรมน้องๆ พระ (เปรียบได้กับพวกเสื้อเหลือง)
ผมเคยเข้าประชุมหน่วย ย. เจอสหายวิจารณ์ตัวเอง ตำหนิตัวเองว่าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ต้องทำมาสเตอร์เบท เซ่อไปเลย ผิดด้วยหรือวะ จะหัวเราะก็ไม่กล้า
หลังออกจากป่า กลับสู่โลกทุนนิยม สู่ชีวิตมนุษย์ธรรมดาที่เวียนว่ายในกิเลสตัณหา คนส่วนหนึ่งก็ยังไม่ยอมรับความจริง ยังเอาหนังสือชีวทัศน์เยาวชนขว้างหัวคนอื่น ทั้งที่แก่จะเข้าโลงอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ ผัวเมียเลิกกัน ผัวมีเด็กใหม่เป็นเลขา เฮ้ยมันก็เรื่องของเขา ต่อให้เขาไม่เลิกกันแล้วมีกิ๊ก ก็เรื่องของเขา ไม่ต้องปากหอยปากปู ไม่ต้องเอามาตรฐานศีลธรรมที่ไหนไปจับ เว้นแต่ปล้ำเด็ก หรือไข่ไปเรื่อยไม่รับผิดชอบ
นี่พูดในมาตรฐานคนอ่านหนังสือโป๊ ชอบดูหนังโป๊ และเป็นสมาชิกเว็บโป๊ (ฮา) แต่ไม่เคยทำตัวหัวงู ไม่เคยนอกใจเมีย กระนั้นผมก็ถือว่าชีวิตทางศีลธรรมของแต่ละคนมีขอบเขตต่างกันได้ อยู่ที่หาความสมดุลระหว่างด้านสว่างกับด้านมืดของชีวิตได้อย่างไร ที่ไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน
เรื่องทำมาหากินก็เหมือนกัน ลึกๆ แล้วอดีตสหายจะรู้สึกว่าอาชีพที่น่ายกย่องสำหรับผู้เคยดัดแปลงตนเองเป็น “ชนชั้นกรรมาชีพ” ต้องเป็น NGO แบบ มด วนิดา (หรือรสนา โตสิตระกูล) หรือเป็นนักวิชาการแบบเสกสรรค์ ธีรยุทธ รองลงมาก็เป็นสื่อ ทั้งที่ความจริงไม่มีใครเลือกได้ แล้วแต่จังหวะ โอกาสของชีวิต บางคนก็ต้องไปขายประกัน บางคนก็ต้องทำธุรกิจ เป็น “นายทุน” เจ้าของกิจการ เล็กบ้างใหญ่บ้าง บางคนก็เป็นลูกจ้างเขาตลอดกาล บางคนประกอบอาชีพอิสระ บางคนก็ล้มเหลวตลอดชีวิต
ทัศนะแต่ละคนอาจเปลี่ยนไปตามวัยและประสบการณ์ แต่ถามว่าส่วนใหญ่ยังมี “อุดมการณ์” อยู่ไหม ผมเชื่อว่ามี ในแง่ของความคิดความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม สร้างสรรค์สิ่งดีงาม โห เจ้าของร้านเหล้าเพื่อชีวิตยังร่วมขบวนกู้ชาติ (ฮา) เพียงแต่บางคนมันต้องขายประกันเลี้ยงครอบครัว ขับรถส่งลูกไปโรงเรียน แม้อยากสะพายย่ามขึ้นล่องกับม็อบปากมูลแบบไอ้มด แต่ความเป็นจริงของชีวิตมันทำไม่ได้ คนที่จะเป็น Idol แบบนั้นได้มีน้อยกว่าน้อย
หลายปีก่อนอดีตสหายรุ่นพี่ที่ผู้คนรักนับถืออย่างกว้างขวางเสียชีวิต อย่างน่าเศร้าเพราะแกเพิ่งประสบความสำเร็จ เพิ่งสร้างบ้านราคาหลายสิบล้าน วันแรกที่ตั้งศพ สหายเก่าตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัยด้วยกันมาพร้อมเพรียง ร้องเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ดังก้องคฤหาสน์ที่วังเวง ผมน้ำตาซึมด้วยความตื้นตัน แม้แวบหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาด ว่าบรรยากาศมันไม่ให้เลย มันน่าจะอยู่ในป่าหรือในกระท่อม ไม่ใช่คฤหาสน์หลังงาม มีสระน้ำมีสนาม เนื้อที่เป็นไร่
แต่ถามว่าพี่ที่ผมรักยังมีอุดมการณ์อยู่ไหม ผมเชื่อว่ามีจนลมหายใจสุดท้าย ถึงแม้ในวิถีชีวิต จะต้องต่อสู้ดิ้นรน วิ่งเต้นทำธุรกิจ คบคนมากมาย คบพวกเขี้ยวลาก นักการเมืองเจ้าเล่ห์ แต่กับเพื่อน กับน้อง กับอดีตสหาย ไม่ว่าตอนรวยหรือจน แกให้ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยหัวใจดวงเดิม
ผมเชื่อว่าสหายส่วนใหญ่มีอุดมการณ์ เพียงแต่ไม่มีโอกาสแสดงออก นอกจากทำสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตปกติ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ แทบทุกคนจึงกระโจนเข้ามา ไม่ว่าเลือกข้างไหน ก็ไม่มีใครมีสิทธิผูกขาดอุดมการณ์ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในแวดวง NGO นักเคลื่อนไหว นักสิทธิมนุษยชน ก็ต้องยอมรับว่าสหายที่ขายประกันมันโดดเข้ามาเลือกข้าง “แดง” ด้วยอุดมการณ์ ไม่ใช่ด่ากราดกันว่าเข้าข้างทุน
แต่แน่นอน ผมต้องสงวนสิทธิที่จะทวงถามอุดมการณ์ 6 ตุลา จะต่อต้านทักษิณผมไม่ว่า แต่คุณยอมรับการปลุกกระแส “คลั่งเจ้า” มากำจัดศัตรูทางการเมือง กระทั่งเข่นฆ่าปราบปรามกันได้อย่างไร
ที่น่ารำคาญมากคือพวกซ้ายเสื้อเหลืองมักกล่าวหาคนตุลาที่ไปเป็นนักการ เมือง ที่อยู่กับพรรคไทยรักไทย จนพรรคเพื่อไทย ว่ารับใช้ทุน กอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตัว ผมอยากถามว่าแล้วคนที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคอื่นล่ะ (น่าจะเหมือนกัน) คนพวกนี้ขีดเส้นระหว่างอุดมการณ์กับ “การเมืองสกปรก” แบบว่าเกี่ยวข้องไม่ได้เลย เท่ากับละทิ้งอุดมการณ์ สมัคร ส.ส. สจ. นายกเทศมนตรี ฯลฯ เอาแล้ว สกปรกแล้ว
ถามว่าถ้าเขาจะเข้าสู่การเมืองเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นบ้าง ไม่ได้หรือครับ นักการเมืองคนตุลาในไทยรักไทยก็รับเอานโยบาย 30 บาทจากพวกคนตุลาในแพทย์ชนบท ไปช่วยเหลือประชาชนทั้งประเทศ ประชาธิปัตย์ก็ไม่ต่างกัน ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ ก็เคยเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องกระจายอำนาจ
แต่ถามว่าถ้าเขาจะเข้าสู่ “การเมืองสกปรก” แล้วทำตัวอย่าง NGO มันเป็นไปได้หรือครับ ไอ้การเป็นนักการเมืองในอุดมคติ ใสซื่อ มือสะอาด มันเป็นจริงหรือในระบบการเมืองไทย เพื่อนเราถ้าเขาเลือกเดินเส้นทางนั้น เขาก็จำเป็นต้องยอมเปื้อนอะไรหลายอย่าง ฉะนั้นการวิจารณ์คนที่เป็นนักการเมือง ก็ต้องใช้อีกมาตรฐานหนึ่ง ดูว่าเขารักษาจุดยืนไว้ได้มากน้อยเพียงใด
ผมก็ไม่เคยใช้มาตรฐานเดียวกันที่วิจารณ์ซ้ายเสื้อเหลืองไปวิจารณ์ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ , วิทยา แก้วภราดัย เพราะเขาเป็นนักการเมือง เขามีพันธะต่อพรรค ต่อประชาชนในเขตเลือกตั้ง บางครั้งก็ต้องแถเพื่อพรรคบ้าง เราก็เหน็บนิดแซวหน่อย เออ ถ้าวิทยาซึ่งเคยบาดเจ็บ 6 ตุลาออกมาเป็นตัวปลุก “ผังล้มเจ้า” ฆ่ามันๆ แบบนั้นต้องด่า แต่การปกป้องพรรคว่าไม่ผิด ก็ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นนักการเมือง
อันที่จริงเรามักสับสนระหว่างนักการเมืองกับนักฉวยโอกาส ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนเดียวกัน แต่นักฉวยโอกาสที่ไม่ใช่นักการเมือง ก็มีเยอะไป พวกที่ทำมาหากินกับนักการเมืองแล้วไปยกก้นตัวเองว่ามีศีลธรรมจรรยา นำขบวนกู้ชาติ ก็เห็นอยู่ อย่าให้ชี้ตัว
ที่ต้องพูดอีกเพราะรำคาญกับการใช้คำพูดตื้นๆ ของคนที่เคยเป็น ส.อย่างพี่สมชาย หอมลออ ที่ว่า
“ผมกับเหวง ก็เคยอยู่พรรคคอมมิวนิสต์มาด้วยกัน แต่ผมไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่พรรคนายทุน ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง” (ศูนย์ข่าวอิศรา)
คนอยู่พรรคคอมมิวนิสต์แล้วไปอยู่พรรคนายทุนผิด เพราะพี่สมชายใช้มายาคติของคนออกจากป่ามาตีว่ามันผิด ทั้งที่การเล่นการเมืองในระบบนี้ พรรคการเมืองทุกพรรคก็เป็น “พรรคนายทุน” ตามความหมายลัทธิมาร์กซ์ทั้งสิ้น หมอเหวง ชำนิ วิทยา ก็อยู่ “พรรคนายทุน” กันทั้งสิ้นไม่ใช่หรือครับ
ประการต่อมาที่ตื้นมากสำหรับคนเคยเป็น ส.คือ “ผมไม่เคยเป็นเครื่องมือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง” (แน่ใจนะ) ทุกคนก็รู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ ทุนใหม่ ทุนเก่า แน่ใจนะว่าคุณไม่เคยเป็นเครื่องมือกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง
ถ้าพี่สมชายจะโต้หมอเหวงที่ “แถ” ว่าไม่มีชายชุดดำ ก็โต้ไปสิครับ แต่อย่าบลั๊ฟกันด้วยคำว่า “พรรคนายทุน” แต่ละคนจำเป็นต้องเลือกในวิถีการต่อสู้ หมอเหวงแกก็ต่อต้านทักษิณมาก่อน จนพันธมิตรไปขอ ม.7 แกถึงพลิกข้าง แกอาจถลำเข้าไปผูกตัวเองกับ นปช.มากไป จนสุดท้ายก็ต้องเป็น ส.ส.เพื่อเอาเอกสิทธิคุ้มครอง ถูกผิดวิจารณ์กันได้ แต่อย่ามายกตนว่าคนออกจากป่ามาเป็นนักสิทธิมนุษยชนนี่แม่-ยอดเยี่ยมเลย แต่ถ้าเป็นนักการเมือง อยู่พรรคนายทุน เลวชัวร์
ถ้าจะวิจารณ์ว่าหมอเหวงเป็นนักฉวยโอกาส ไต่เต้าทางการเมือง ก็ว่ากันตรงๆ แต่ในทัศนะผม นักฉวยโอกาสไม่ได้มีเฉพาะนักการเมือง แวดวงนักวิชาการ หรือ NGO ระดับท็อป ก็ “เล่นการเมือง” กันเยอะไป นักวิชาการฉวยโอกาสสร้างชื่อจากการเคลื่อนไหวการเมือง เป็นคณบดี เป็นอธิการบดี หรือไปรับงานวิจัยตัวเลข 8 หลัก ก็เยอะไป NGO บางคนก็ต้อง “เล่นการเมือง” สร้างภาพตัวเองให้ดูดีในสายตาองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้รับทุน เพื่อให้ได้เป็นตัวแทน
เลิกใช้วาทกรรมอย่างนี้แล้วมาโต้กันแฟร์ๆ ดีกว่าครับ ผมก็ไม่เคยแถว่าไม่มีชายชุดดำ แค่ใช้จุดยืน 6 ตุลามองว่ามีหรือไม่มีมันก็ไม่ควรใช้กองทัพ อาวุธกระสุนจริง เข้าล้อมปราบอยู่ดี (มิพักต้องพูดถึง “ผังล้มเจ้า”)