ฟ้ากับเหว กรณีชาติไทย
แม้ ว่าจะมีเสียงเรียกร้องดังไปหมด โดยเฉพาะจากบรรดาบุคคลในกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองในปัจจุบัน ที่ให้เคารพและยอมรับมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะใช้เงิน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์
โดยให้ถือว่าเมื่อวินิจฉัยแล้ว มีมติออกมาให้ยกคำร้องแล้ว ก็ต้องถือว่าเรื่องยุติ จะต้องยอมรับให้ได้ไม่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
ซึ่ง จริงๆแล้วไม่ต้องให้คนในขั้วรัฐบาล ในกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษ ระดมกันออกมาเปลืองน้ำลาย ว่าเรื่องนี้จบแล้วทุกคนต้องยอมรับ เพราะในความเป็นจริง ทุกภาคส่วนของสังคมไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ก็ยอมรับว่า เรื่องนี้จบแล้ว
จบจริงๆ จบพร้อมกับที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมตินั่นแหละ!!!
เพียงแต่การยอมรับและเคารพกติกาว่า เรื่องจบแล้วทำอะไรต่อไปไม่ได้แล้ว กับเรื่องของการยอมรับมันเป็นคนละเรื่องกัน
สิ่ง ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ ไม่ใช่การไม่ยอมรับมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การต้องการให้รื้อฟื้นคดีกลับขึ้นมาใหม่ หรือไม่ใช่แม้แต่กระทั่งขอให้กลับคำวินิจฉัยแล้วมาลงมติกันใหม่
สิ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการออกมาแสดงความคิดเห็นว่า มันจบแบบนี้ได้อย่างไร ช่องทางออกในการจบคดีโดยไม่ต้องวินิจฉัยถึงปรเด็นความผิดตามคำร้อง มันช่างง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ???
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นมุมมองที่ หลากหลาย ของคนที่เคยเกี่ยวข้อง คนที่เคยร่ำเรียนมาทางด้านกฎหมาย รวมไปถึงแม้แต่กระทั่งคนที่เป็นผู้ทำคดีเอง คือทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอัยการสูงสุดผู้ฟ้องคดี
อย่างนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุชัดว่า ที่ผ่านมา แม้ว่า นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เคยออกความเห็นในการประชุมครั้งแรกว่า ให้ยกคำร้องในคดีดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมสอบถามว่า เป็นความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่
แต่ครั้งนั้นนายอภิชาตก็ยืนยันว่า เป็นการออกความเห็นในฐานะประธาน กกต. เท่านั้น
ด้วย เหตุนี้จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบเพิ่มเติมในกรณีนี้ และใช้เวลาในการสอบ 3 เดือน จนถึงวันที่ 12 เมษายน 2552 จึงสอบเสร็จและเสนอกลับมาว่า สมควรฟ้องร้องให้มีการยุบพรรค
ที่สำคัญนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงเสนอให้มีการลงมติร่วมกันของ กกต. ในวันที่ 12 เมษายน นั่นเอง
ดังนั้นจึงน่าจะถือว่าวันที่ 12 เมษายน 2552 เป็นวันที่ให้ความเห็น
“ยืนยันได้ว่า กกต.ไม่ได้ละเลยเรื่องของกำหนดเวลาแต่อย่างใด”นางสดศรีกล่าว
และเพราะเหตุนี้แหละ เมื่อสังคมมีการตั้งคำถามขึ้นมามากมายว่า กกต.ชุดนี้ควรรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือไม่
ไล่มาตั้งแต่นายอภิชาต และกรรมการทุกคน ล้วนเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องลาออก เพราะถือว่าทำตามหน้าที่แล้ว
นาย สมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ยังตั้งประเด็นในความเห็นที่แตกต่างว่า หากศาลจะตัดสินเช่นนี้ ก็ไม่น่าจะเสียเวลาสืบพยานเป็นปี ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้รับฟังว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดตามคำฟ้องหรือไม่
แถมนายสมชัย จึงประเสริฐ ยังเปรยทำนองว่าผู้ที่ควรแสดงความรับผิดชอบน่าจะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมากกว่า!!!
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ โฆษกวอร์รูมพรรคเพื่อแผ่นดิน ยอมรับว่าเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงว่าจะมาออกช่องทางนี้ เพราะที่ผ่านมาสังคมก็จะจับจ้องว่าศาลจะชี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ มีความผิดอย่างไร แต่เมื่อออกมารูปนี้ที่บอกว่ากกต.ยื่นสำนวนยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญล่าช้า เกินกว่าเวลาที่กำหนด ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดของกกต.
“ขณะนี้สังคม ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความผิดอย่างไร ต้องถูกลงโทษอย่างไร แต่กลับมาออกทางนี้ก็ต้องถือว่ากกต.ตกม้าตาย เป็นเรื่องโอละพ่อ ถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง ถ้ากกต.บกพร่องในหน้าที่ขนาดนี้ ผมคิดว่าคงต้องลาออกทั้งชุดแล้ว ถ้าไม่ออกอาจจะมีคนยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภายื่นถอดถอนกกต.ก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นการยื่นโดยส.ส.หรือประชาชนก็ได้” นพ.ภูมินทร์ กล่าว
ในขณะที่ 2 ความเห็นสำคัญในฐานะที่เคยถูกยุบพรรคมาก่อนหน้านี้แล้ว คือพรรคไทยรักไทย กับพรรคชาติไทยนั้นเอง
โดย ในส่วนของพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้า มองว่าคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ เรื่องที่ผิดคาด จะยุบหรือไม่ยุบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรม
ก่อนหน้านี้เคยมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐ ธรรมนูญในคดีดังกล่าว และมีการขอให้ตรวจสอบเนื้อหาและข้อเท็จจริง จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ ตรงนี้ทำให้ขาดความชอบธรรมในการพิจารณาคดีใดๆโดยเฉพาะคดียุบพรรคประชาธิปัต ย์ และเมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะนี้ ที่ไม่ได้พิจารณาในรายละเอียดของ เรื่องว่า ผิดหรือถูก ยิ่งทำให้สังคมเคลือบแคลงมากขึ้นไปอีก ทุกฝ่ายผิดหวัง และเสียดายไปตามๆ กันที่ไม่รู้ผิดถูก
มีเพียงแฟน พันธุ์แท้พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ดีใจ และมันก็มีคำถามตามมาว่าถ้าตัดสินกันอย่างนี้ทำไมไม่ทำให้เสร็จสิ้นไป ตั้งแต่ก่อนหน้านี้
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่วินิจฉัยว่า การยื่นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะยื่นฟ้องหลังจากที่ความปรากฏต่อนายนายทะเบียนพรรคการเมืองเกิน 15 วันนั้น ในอดีตเคยมีกรณีที่เหมือนกัน คือ กกต.ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่งได้ระบุว่า วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองคือวันที่ผู้ร้อง ได้พิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญซึ่งในขณะนั้นนายทะเบียน พรรคการเมืองก็คือ ประธาน กกต.แต่สำหรับกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่าวันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนคือ 17 ธ.ค.2552 แต่ข้อเท็จจริงคือ ในช่วงนั้น กกต.ยังไม่มีมติให้ยื่นร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ และยังถกเถียงกันอยู่ รวมทั้งประธาน กกต.ก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
ดังนั้นหากจะนับจากวัน ที่ 17 ธ.ค.2552 จึงไม่ถูกต้อง แต่ต้องนับในวันที่ 12 เม.ย.2553 ที่กกต.ทั้งคณะเห็นชอบให้ฟ้องตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยพรรคการเมือง
สรุปคือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่สอด คล้องกับข้อเท็จจริงและไม่ สอดคล้องกับคำวินิจฉัยที่เคยยุบพรรคการเมืองอื่นๆ มาแล้ว สามารถเห็นความเป็น 2 มาตรฐานได้จากกรณีนี้
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าเป็นความบกพร่องของกกต.แต่ตนคิดว่าจะไปโทษกกต.ก็ไม่ถูก น่าจะเป็นปัญหาที่การวินิจฉัยมากกว่าเรื่องนี้ผลที่จะตามมามีมากมายแน่นอน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงไม่ดี ก็จะเกิดวิกฤติต่อความน่าเชื่อของศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้น ผลที่ออกมาอาจจะบอก เจตนาที่จะรักษาพรรคประชาธิปัตย์ไว้ในระบบ แต่มันก็อาจจะทำให้กระทบกระเทือน ต่อระบบมากกว่าที่จะตัดสินให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก และยังเป็นการทิ้งปมปัญหาไว้กับ กกต. ทำให้เกิดความสงสัยในความน่าเชื่อถือ
“อยาก เสนอให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และแสวงหาความยุติธรรมโดยหลักสันติวิธีไม่ใช้ความรุนแรง อย่างไรก็ตามขอย้ำว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะแก้เรื่องที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องกว่านี้และสามารถ ตรวจสอบได้มากกว่าปัจจุบัน และต้องเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และโต้แย้งทางความคิดได้”
และ สำหรับพรรคชาติไทยซึ่งถูกยุบจนนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคต้องหลั่งน้ำตามาแล้วนั้น นายบรรหารถึงกับออกปากว่า เท่าที่ติดตามดูการอ่านคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้!!!
ดูแล้วต่างกับกรณีการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทยลิบลับ
ขณะ ที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. ระบุว่า ขณะนี้ยังคงเห็นว่าคงต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างเป็นทางการ ก่อน คาดว่าน่าจะไม่เกินน 10 วัน ดังนั้นจึงพูดอะไรในขณะนี้ไม่ได้
รวม ทั้งการที่มีการเรียกร้องขอให้นายอภิชาต แถลงข่าวเพื่อชี้แจงให้สังคมได้รับทราบ เพราะเวลานี้กระแสสังคมยังคงไม่เข้าใจต่อคำวินิจฉัยของศาลที่เกิดขึ้น และมองว่า กกต. ต้องแสดงความรับผิดชอบ แต่ นายอภิชาต เห็นว่าไม่ควรที่จะให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงอะไรตอนนี้ เพราะจะกลายเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงควรรอให้ศาลมีคำวินิจฉัยกลางอย่างเป็นทางการออกมาก่อน
ซึ่งในการ ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง และคำวินิจฉัยส่วนตนในคดียกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยตุลาการส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องเผยแพร่โดยเร็ว
แต่ทั้งนี้เพื่อความรอบคอบต้องขอตรวจสอบคำผิดก่อนที่ส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาและเผยแพร่ทางเว็บไซต์ต่อไป