(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2554)
เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
มิได้เป็นเรื่องแปลกที่ถนนทุกสายจะทอดไปยังพรรคเพื่อไทย ขณะที่ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มเงียบเหงา โรยรา
นี่เป็นเรื่องของโลกอย่างที่พระท่านว่า "โลกธรรม"
กระนั้น ปรากฏการณ์ 1 อันปรากฏขึ้นอย่างคึกคักพร้อมกับ "ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์" คือ การแสดงออกของทูตานุทูต
ไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่อย่างจีน อย่างสหรัฐ อย่างญี่ปุ่น อย่างสหราชอาณาจักร
ไม่ว่าจะเป็นประเทศรองลงมาอย่างนอร์เวย์ อย่างสวิตเซอร์แลนด์ อย่างอิสราเอล อย่างภูฏาน
เป็นปรากฏการณ์อันปรากฏตั้งแต่ "ก่อน" และ "ภายหลัง" การเลือกตั้ง
เป็นปรากฏการณ์อันก่อสภาวะกระบอกตาร้อนผ่าว และก่อสภาวะหงุดหงิดให้กับกองเชียร์ของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างสูง
ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์อย่างนี้ขึ้นได้
หากมองจากมุมของพรรคประชาธิปัตย์ หากมองจากระเบิดที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสานกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ วางเอาไว้
นี่เท่ากับนานาชาติยอมรับพรรคอันเป็นตัวแทนของคนเผาบ้านเผาเมือง กระนั้นหรือ
นี่เท่ากับนานาชาติไม่เกรงอกเกรงใจรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นสถาบันทางการเมืองที่ก่อรูปโดย นายควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พระยาศรีวิศาลวาจา เป็นต้น ตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2489 กระนั้นหรือ
คำตอบคือทั้งใช่ และไม่ใช่
ที่ว่าใช่ เพราะว่าชัยชนะของพรรคเพื่อไทยที่มีความเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเด่นชัดอย่างยิ่งแห่งทางเลือกของประชาชน
ที่ ว่าไม่ใช่ เพราะว่าที่ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยมิใช่เป็นการแสดงความเห็นด้วยกับการเผา บ้านเผาเมือง อย่างที่อีกฝ่ายพยายามโฆษณาป่าวร้อง ตรงกันข้าม ความล้มเหลวของรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแก่นแกนต่างหาก ซึ่งบีบบังคับให้ประชาชนจำเป็นต้องเลือกพรรคเพื่อไทยแทนที่จะเป็นพรรคประชา ธิปัตย์
เป็นความล้มเหลวอันมาจากความอ่อนหัดในเชิงการบริหารจัดการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสานเข้ากับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยจึงอยู่บนซากปรักหักพังทางการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์
กระนั้น ภายในท่าทีและการเคลื่อนไหวของทูตานุทูตซึ่งเดินทางไปแสดงความยินดีกับชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ชัยชนะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ
1 สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวทางด้านการเมืองระหว่างประเทศของพรรคประชาธิปัตย์
ขณะเดียวกัน 1 สะท้อนให้เห็นความหวาดระแวงของนานาประเทศต่อเมฆหมอกแห่ง "อำนาจพิเศษ" ซึ่งครอบคลุมเหนือกระบวนการทางการเมืองของประเทศไทย
เป็นอำนาจพิเศษอันก่อให้เกิดรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
เป็น อำนาจพิเศษอันก่อให้เกิดกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ผ่านองค์กรอิสระอันเป็นผลิตผลจากกระบวนการรัฐประหาร ทั้งโดยเปิดเผยและกระบวนการรัฐประหารซ่อนรูป
การแสดงความยอมรับต่อชัยชนะที่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มาโดยอาณัติของประชาชนกว่า 15 ล้านคน เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ
เป็นการเตือนให้กลุ่ม "อำนาจพิเศษ" ต้องระมัดระวังในการเคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น
หากกลุ่ม อำนาจพิเศษไม่ยอมรับผลการตัดสินใจของประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง โอกาสที่สังคมไทยจะเป็นเหมือน ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบีย ในตะวันออกกลาง และแอฟริกาตอนเหนือก็สูงเป็นอย่างสูงยิ่ง
การเคลื่อนไหวของทูตานุทูตจึงเท่ากับเป็นสัญญาณเตือนอย่างทรงความหมาย
ปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องดี ขณะเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยจักต้องรับผิดชอบ
รับ ผิดชอบ 1 ต่อคะแนนเสียงที่ประชาชนมอบให้ด้วยความหวัง ขณะเดียวกัน รับผิดชอบ 1 ต่อนานาอารยะประเทศที่ต้องการเห็นประเทศไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสร้าง สรรค์ เป็นคุณ
เป็นคุณต่อประชาชน เป็นคุณต่อประเทศ และเป็นคุณต่อโลก