คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
นอกจากปัญหาที่กำลังถกเถียงกันในหมู่มวลสมาชิกประชาธิปัตย์ว่า
หัวหน้าพรรคกับเลขาฯ พรรคคนใหม่ จำเป็นหรือไม่ต้องมาจากคนละภาค หรือว่ามาจากภาคเดียวกันก็ได้ ขอเพียงสมาชิกพรรคยอมรับ
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. ยื่นฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ในคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง
โดยมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้ว่าฯ กทม. ตกเป็นจำเลยในคดีร่วมกับอดีตรัฐมนตรี 3 คน คือ นายโภคิน พลกุล นายประชา มาลีนนท์ และนายวัฒนา เมืองสุข
ดูเหมือนเป็นคำถามใหม่ที่โผล่ขึ้นมากลางวงประชาธิปัตย์
เนื่องจากนายอภิรักษ์ ฉายา "หล่อเล็ก" คือหนึ่งในแคนดิเดตผู้ได้รับการเสนอชื่อ ให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ตัดสินใจเลือกเข้ามาทำหน้าที่เลขาฯ พรรค หลังการประชุมใหญ่วันที่ 6 สิงหาคมนี้
แน่นอนว่าคำตอบของนายอภิรักษ์ คือ ไม่กระทบ
ขณะเดียวกัน น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ รักษาการโฆษกพรรคก็ยืนยันว่า ไม่กระทบ ถึงจะมีการอ้างอิงถึงกรณีเดียวกัน เมื่อครั้งนายอภิรักษ์ ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็ตาม
ข้อชี้แจงของประชาธิปัตย์ก็คือ
ตอนนั้นนายอภิรักษ์ ต้องการวางบรรทัดฐานทางการเมือง ในฐานะคดีที่มีการสอบสวนมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.โดยตรง
สำหรับการฟ้องร้องของป.ป.ช.ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้คดีกันต่อไป
ไม่เกี่ยวกับการที่นายอภิรักษ์ มีชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาฯ พรรค ซึ่งถือเป็นตำแหน่งผู้บริหารภายในพรรค ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง
ฟังแล้วมีเหตุมีผลพอรับได้
แต่ที่ต้องจับตาดูต่อไปก็คือ จะมีใครในพรรคไม่ยอมรับเหตุผลนี้หรือไม่ หรือกลุ่มที่ต้องการผลักดันคนของตนเองขึ้นมาเป็นเลขาฯ พรรค จะนำเรื่องนี้ไปขยายผลอย่างไร
ถ้าเป็นเช่นนั้นคงได้แต่เห็นใจหล่อเล็ก
เพราะทีบางคนซึ่งหล่อกว่า ถูกสังคมกล่าวหาตกเป็นจำเลยพัวพันการสลายม็อบ 91 ศพ กลับไม่เห็นใครในพรรคกล้าว่าอะไร
แถมยังเชียร์ให้กลับมารับตำแหน่งที่ใหญ่กว่าเลขาฯ พรรคอีกต่างหาก