บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิกิลีกค์:สถาบันฯ,ม.7และการแทรกแซงการเมือง

ที่มา Thai E-News



คลิปวิดิโอในหลวงมีพระราชดำรัสกับพลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2535 เพื่อทรงระงับวิกฤตการณ์ทางการเมืองกรณีพฤษภาทมิฬ 2535

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
16 สิงหาคม 2554

หมายเหตุไทยอีนิวส์:คุณดวงจำปา ได้แปลบทความจากเวปไซต์ PPT ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมาลงในเวบไซต์Internet Freedom ในหัวข้อเรื่อง "วิกิลีกค์, สถาบันฯ, มาตรา 7 และ การแทรกแซงทางการเมือง" โดยไทยอีนิวส์ได้เซ็นเซอร์บางถ้อยคำที่ละเอียดอ่อนออกในการเผยแพร่ครั้งนี้

กับได้นำบทความที่เขียนโดยดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ไทยอีนิวส์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อเรื่อง "ข้อมูลใหม่จากโทรเลขวิกิลีกส์-แอนดรู แม็คเกรเกอร์ มาร์แชลล์: กรณีทีวีพูลเอาคลิปในหลวงพบสุจินดา-จำลอง ออกฉาย 12 มีนาคม 2549" เพื่อความสมบูรณ์ในการติดตามของท่านผู้อ่าน

ต่อเนื่องจากซีรี่ย์ของ PPT ในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเคเบิ้ลของวิกิลีกค์, เอกอัครราชฑูต ราล์ฟ “สกิ๊พ” บอยซ์ ได้รายงานในเคเบิ้ลฉบับหนึ่งของ การสนทนาระหว่างตัวเขากับเจ้าหน้าที่ในสำนักพระราชวัง – ราชเลขาธิการในพระองค์ นายอาสา สารสิน และผู้ช่วยของเขา คือ นายเตช บุนนาค - ในความคิดเห็นที่เกี่ยวกับ(เซ็นเซอร์)ทางการเมือง ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2549 (เคเบิ้ลลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2549), มันคือสิ่งที่เราคิดว่า เป็นการเปิดเผยให้เห็นถึงการเข้าไปยุ่งโดยทางฝ่ายวัง, การเคลื่อนไหวของฝ่ายองคมนตรี และ การกระทำอย่าง(เซ็นเซอร์)อีกหลายระดับ.

สิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างดีต่อการเริ่มต้นของเคเบิ้ลฉบับนี้ ก็คือ การสรุปขั้นต้นของเอกอัครราชฑูตบอยซ์และความคิดเห็นในตอนท้ายของเขา:

ในการสรุปของเอกอัครราชฑูตบอยซ์นั้น, เขาได้บันทึกไว้ว่า
“ทางฝ่าย(เซ็นเซอร์)ได้ พยายามที่จะลบล้างความเกรี้ยวกราด ซึ่งเกิดจากการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ 12 มีนาคม 2549 ซึ่งเกี่ยวกับ การแทรกแทรงของ(เซ็นเซอร์) ตามมาด้วยความรุนแรงซึ่งเป็นผลมาจากการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ในปี พ.ศ. 2535.”

ในความคิดเห็นของเขานั้น, เขาได้กล่าวว่า:
“ย่อหน้าที่ 7 ส่วน ซี.... เราได้มีความงุนงงเป็นอันมากต่อความง่ายดายซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ที่บุคคลสองคน ซึ่งใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ กำลังสนุกสนานบันเทิงใจกับความคิดที่ว่า จะให้ทางฝ่าย(เซ็นเซอร์)นั้น นำเอามาตรา 7 มาใช้ในการแทรกแทรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง(เซ็นเซอร์)เอง ได้สงวนท่าทีอย่างที่สุดต่อการที่จะนำเรื่องนี้มาพูดคุยกันแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

เรากลับมาด้วยความฝังใจที่ว่า, ถ้าการเลือกตั้ง ( 2 เมษายน 2549 - ผู้แปล) ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก ไม่สามารถหาจำนวนผู้สมัคร ได้พอถึงเกณฑ์ 20 เปอร์เซ็นต์ตามที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้ (ตามข้ออ้างอิง บี) หรือจากเหตุผลอื่นๆ ใดๆ ก็ตาม, ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นที่ยอมรับได้ ที่จะเปิดทางให้(เซ็นเซอร์) ได้ใช้อำนาจทางรัฐธรรมนูญในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์... การแทรกแทรงโดยฝ่ายวังนั้น อาจจะเกิดขึ้นได้, แต่มันยังไม่ถึงเวลาในตอนนี้....”

ความคิดเห็นอื่นๆ :

ในการเบี่ยงเบนข้อเท็จจริง:
“นายอาสาได้ยอมรับว่า การออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่12 มีนาคม 2549 ในภาพยนต์สารคดีที่โดดเด่นของการที่(เซ็นเซอร์)ได้ เข้ามาแทรกแทรงทางการเมือง หลังจากการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2535 ได้กระตุ้นให้เกิดทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดกัน (อ้างอิง ฉบับ A). นายอาสาได้อ้างว่า ตัวองค์พระมหากษัตริย์เอง ทรงมีพระประสงค์ให้นำเอาภาพยนต์เรื่องนั้นมาออกอากาศ เพื่อเน้นให้เห็นถึงความต้องการความสงบและการปรองดอง..”
ดังนั้น องค์พระมหากษัตริย์ก็ได้ทรงเสนอแนะความคิดนี้ขึ้นมาและทรงมีพระราชประสงค์ให้เกิดขึ้นด้วย
“นาย อาสา... ก็ต้องกุลีกุจอ เพื่อที่จะต้องสร้างแถลงการณ์ว่า เพื่อจะให้ทางฝ่ายวังนั้น ให้ไปอยู่นอกสายตาจากเรื่องทั้งหมดนี้ อย่างแรกที่เขาได้กระทำก็คือ, พวกเขาได้ออกแถลงการณ์ โดยกล่าวว่า ทางฝ่ายวังนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแต่ประการใดกับการออกอากาศเมื่อคืนวัน อาทิตย์ ”
เขาได้โกหกกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป ในความพยายามที่จะปิดบังซ่อนเร้นการกระทำของเขา เมื่อรู้ตัวว่า ความกำลังจะแตกอย่างเห็นได้ชัด (ประชาชนจับได้), ดังนั้น นายอาสาก็ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สองตามมา ในเวลาติดๆ กัน. แถลงการณ์ฉบับนั้นได้ระบุว่า ภาพยนต์นั้น เป็น “ข่าวทางสาธารณะ” และสถานีโทรทัศน์สามารถออกอากาสได้ตามความประสงค์ของสถานีเอง โดยมีเงื่อนไขว่า ทางสถานีนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด ดังนั้น นายอาสาก็ยังพยายามที่จะคลี่คลายฝ่ายวังออกมาจากมรสุมทางการเมือง” เขาได้โกหกถึงสองครั้ง

ในเรื่องการขอร้องให้มีการแทรกแทรงเกิดขึ้น:
“นายอาสาได้พรรณา ว่า ทั้งสองฝ่ายนั้น ‘ไม่ยอมประนีประนอมกัน’ ทั้งสองฝ่ายต้องการดึงองค์พระมหากษัตริย์ลงมาสู่เวทีทางการเมือง นายอาสากล่าวว่า องค์พระมหากษัตริย์ยังไม่ทรงพร้อมที่จะกระทำการ ในตอนนี้... นายอาสากล่าวว่า ถ้านายกรัฐมนตรี (ทักษิณ) และคณะรัฐมนตรีของเขา ไม่สามารถที่จะปฎิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้, ฉะนั้น ก็อาจจะมีอ้างใช้เหตุผล ในการที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้ามา ‘แทรกแทรง’ ภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 เพื่อแก้ไขยุติข้อขัดแย้งทั้งหมดนี้

ในเรื่องระหว่างพระมหากษัตริย์และนายกฯทักษิณในเวลานั้น:
“ความ สัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับนายกฯทักษิณนั้น มีความเป็นไปอย่าง ‘ปรกติดี’ นายกรัฐมนตรีสามารถเข้าเฝ้าฯ องค์พระมหากษัตริย์ได้ทุกเวลา เมื่อเขาต้องการที่จะพบกับพระองค์. อย่างไรก็ตาม เมื่อล่าสุดนี้, องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเพียงแต่เป็น ‘ผู้รับฟังเท่านั้น’ พระองค์ไม่ได้ทรงตรัสอะไร เนื่องจากว่า ‘พระองค์ทรงเกรงว่า นายกฯทักษิณจะ กล่าวอ้างถึงพระองค์” เขายังเพิ่มต่อไปว่า “โดยทั่วไปแล้ว นายกฯทักษิณ เป็นบุคคลที่ไม่เคารพนบนอบผู้ใดเลย ที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเขา”

ในเรื่องของคณะองคมนตรี: นายเตช บุนนาค
“ได้ชี้ให้เห็นว่า ทางฝ่ายสื่อมวลชนได้รายงานการประชุมของคณะองคมนตรีเมื่อวานนี้ ‘องคมนตรีคนหนึ่ง’ ได้แอบเอาข่าวไปปล่อยว่า คณะองคมนตรีได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งนำไปถึงการคาดคะเนให้เกิดน้ำหนักมากขึ้นว่า ทางฝ่าย(เซ็นเซอร์)นั้น กำลังพิจารณาถึงการแทรกแทรงอยู่ นายเตชได้เน้นว่า เรื่องนี้ เป็นเพียงการประชุมอย่างธรรมดาตามกำหนดการที่มีอยู่ และไม่ได้มีความหมายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในการวางตัวของทาง ฝ่าย(เซ็นเซอร์)”
เมื่อเอกอัครราชฑูตบอยซ์ ได้ถามว่า
“ทาง ประชาชนทั่วไปจะมีทัศนคติแท้จริงเป็นอย่างไร ถ้ามีการการแทรกแทรงโดย(เซ็นเซอร์)ได้เกิดขึ้น" นายเตชเห็นพ้องว่า ถึงแม้ว่า ความนิยมชมชอบของนายกฯทักษิณจะอยู่ในถิ่นชนบท ถ้า(เซ็นเซอร์)มีความเห็นว่า ถึงคราวแล้ว ที่ควรถอดถอนเขา (นายกทักษิณ) ออกจากตำแหน่ง เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถยอมรับกันได้”

เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่า, การแทรกแทรงของ(เซ็นเซอร์)ในการขัดแย้งทางการเมืองในสมัยหนึ่งนั้น เป็นทางเลือกซึ่งสามารถมานำเข้ามาวางอยู่บนโต๊ะเจรจาและพิจารณากันอย่างจริง จัง

และก็เป็นที่เห็นกันอยู่แล้วว่า, มันได้ถูกนำมาใช้ในเดือนถัดมาจริงๆ

******

ข้อมูลใหม่จากโทรเลขวิกิลีกส์-แอนดรู แม็คเกรเกอร์ มาร์แชลล์: กรณีทีวีพูลเอาคลิปในหลวงพบสุจินดา-จำลอง ออกฉาย 12 มีนาคม 2549

โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ปัจจุบัน คงมีน้อยคนจะจำได้ว่า ในท่ามกลางวิกฤติต้นปี 2549 ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ต่างๆมากมาย

ในคืนวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2549 จู่ๆ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือทีวีพูล ได้พร้อมใจกันเผยแพร่คลิปสุจินดา-จำลอง เข้าเฝ้าในหลวง ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ทีรู้จักกันดี

ขณะนั้น อยู่ในระหว่างช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง 2 เมษายน ที่ ประชาธิปัตย์ บอยคอต และการเคลื่อนไหวของพันธมิตร ภายใต้ข้อเรียกร้องให้มี "นายกพระราชทาน" ตามมาตรา 7 กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น


คืนวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม ในช่วงข่าว 2 ทุ่ม ทีวีทุกช่องได้นำคลิปดังกล่าวออกฉาย โดยมีโฆษก กล่าวนำ ด้วยข้อความ ดังนี้

โดยที่ในขณะนี้ มีสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างและหลากหลาย และหลายฝ่ายมีความวิตกกังวลว่า จะเกิดเหตุความไม่สงบในบ้านเมือง เพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจให้ทุกฝ่ายทุกคน

โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ขออัญเชิญพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานเมื่อวันที่ 20 พ.ค.2535 มาเพื่อรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม

(ดูรายงานข่าวของ คม-ชัด-ลึก วันที่ 12 มีนาคม 2549 ได้ที่นี่ http://news.sanook.com/crime/crime_17098.php
และ ผู้จัดการ ได้ที่นี่ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000033911 หลังการแพร่ภาพในคืนวันที่ 12 พร้อมกันทุกช่องแล้ว วันถัดมายังมีการแพร่ภาพซ้ำอีกในหลายช่อง)



ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดขณะนั้น ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมจึงมีการเผยแพร่คลิปดังกล่าวอีก และอะไรคือ "สาร" (message) ของการเผยแพร่นั้น

ทุกฝ่ายได้ตีความไปต่างๆนานา ฝ่ายรัฐบาล คือทักษิณเอง อธิบายว่า เป็นการดำเนินการของสำนักพระราชวัง ไม่่ใช่รัฐบาล (วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า ใครทำ ว่า "ไม่ทราบ ให้ไปสอบถามทีวีพูล" สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาลก็กล่าวทำนองเดียวกัน)

ขณะที่ฝ่ายพันธมิตร ตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะเป็นฝีมือรัฐบาล เพื่อต้องการให้พันธมิตรยุติการชุมนุมกดดันรัฐบาล (หรือไม่ก็เพื่อโจมตีเรือ่ง "จำลอง พาคนไปตาย")

อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่าย ก็พยายาม "อ่าน" การเผยแพร่คลิปนั้น ในลักษณะกว้างๆว่า คลิปดังกล่าวเป็นการเตือนสติให้ทุกฝ่ายสามัคคี

ดูที่นี่ ซึ่งรวบรวมความเห็นของฝ่ายต่างๆ - แม้จะไม่ให้ภาพที่ครบถ้วนนัก เช่น ประเด็นพันธมิตร สงสัยรัฐบาล http://goo.gl/WLfDX

ในส่วนพันธมิตร ที่ออกมาตั้งข้อสงสัย และพยายามตอบโต้ประเด็น "จำลองพาคนไปตาย" ดูที่นี่ http://news.sanook.com/crime/crime_17099.php ที่นี่ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000033979 และที่นี่ http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000033976 )

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ให้สัมภาษณ์ในขณะนั้น เปรียบเทียบการออกอากาศคลิปดังกล่าว เป็น การรัฐประหารทางทีวี เหมือนการรัฐประหารทางวิทยุ ในปี 2494 (ดูที่นี่ - ต้องใช้ proxy ช่วย เพราะยังถูกบล็อก อยู่ - http://www.prachatai.com/node/7722/talk )

ในส่วนของบุคคลทีใกล้ชิดราชสำนักเอง น่าสังเกตว่า การออกอากาศนี้ทำให้บางคน "เซอร์ไพรซ์" และไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน แก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนักพระราชวัง ได้ให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาที่มีการออกอากาศคลิป (13 มีนาคม) ว่า "โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วย เพราะปกติอยู่ดีๆ อยู่แล้ว ทำไมถึงทำให้ยุ่ง ประเทศไทยและคนไทยรักสงบ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับพระองค์ท่าน (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)" เขายังยืนยันว่า การแพร่ภาพนั้นไม่ใช่มาจากหน่วยงานที่เขาดูแลอยู่ (ดูรายงานสัมภาษณ์ ใน ผู้จัดการ ที่นี่ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000034167 )

การที่เรื่องบางอย่างที่มีกำเนิดจากแวดวงราชสำนักเอง (ดังจะอธิบายต่อไป) แต่คนในแวดวงนั้น หรือคนใน "ฝ่ายเจ้า" ด้วยกันเองบางคน ไม่รับรู้ หรือไม่ได้รับ "สัญญาณ" และอาจจะออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ด้วยซ้ำนั้น เป็นเรื่องที่เราจะได้เห็นอีกโดยตลอดของวิกฤติครั้งนี้ (เช่น กรณีพันธมิตรชุมนุมปี 2551 แล้วมีคนอย่างดิสธร วัชโรทัย ออกมาบอกว่า "ผมอยู่พรรคในหลวง ... เป็นตัวจริงเสียงจริง รับพระราชกระแสมาเอง" และเรียกร้องให้พันธมิตร "อยู่บ้าน" ไม่ต้องไปชุมนุม แต่กลับถูกพันธมิตรโจมตีอย่างหนัก)

ในกรณีทีวีพูลนั้น ไม่เพียง แก้วขวัญ จะออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย เท่านั้น ไม่กี่วันต่อมา ยังมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ในที่ประชุมองคมนตรีวันที่ 14 มีนาคม เปรม ได้แสดงความไม่เห็นด้วยและสั่งให้ยุติการแพร่ภาพ (ผมหาข่าวนี้จากเว็บไซต์ นสพ.ขณะนั้นโดยตรงไม่ได้แล้ว แต่ดูได้ที่นี่ http://www.manager.co.th/Mwebboard/listComment.aspx?QNumber=181190&Mbrowse=9 ที่นี่ http://tnews.teenee.com/politic/714.html และที่นี่ http://www.maama.com/znews/view.php?id=001113 )

ผลจากการที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยางกว้างขวางไปต่างๆนานา ว่าใครสั่งให้แพร่คลิป 17 พฤษภา และต้องการจะสื่ออะไร ในที่สุด วันที่ 14 มีนาคม สำนักราชเลขาธิการ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง (ดูใน 2 links หลังสุดที่เพิ่งอ้าง) ดังนี้ (ผมทำตัวหนาเน้นคำเอง)

สำนักราชเลขาธิการขอเรียนชี้แจงให้ทราบว่า พระราชดำรัสดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อมูลข่าวสารซึ่งได้รับการเผยแพร่ต่อ สาธารณะทั่วไปอยู่แล้ว และประชาชนก็รับรู้มาโดยตลอดว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2535 เพราะฉะนั้นการที่หน่วยงานหรือสื่อมวลชนใดจะนำออกมาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่ง ภายใต้ความรับผิดชอบของตนเองนั้นก็สามารถกระทำได้ จึงขอแถลงข่าวมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

จะเห็นว่า แม้แถลงการณ์จะไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง แต่ลักษณะการเขียนก็ชวนให้เข้าใจว่า การฉายคลิปทางทีวีพูลไม่เกี่ยวกับราชสำนัก แต่เป็น "ความรับผิดชอบของตนเอง" ของหน่วยงานหรือสื่อมวลชนที่นำออกฉาย ดังที่จะเห็นข้างล่าง นี่คือจุดประสงค์ของแถลงการณ์นี้จริงๆ วันต่อมา (15 มีนาคม)

เมื่อมีข่าวเรื่องปรมพูดในที่ประชุมองคมนตรีว่า อยากให้ยุติการฉายคลิป (ที่กล่าวถึงข้างต้น) สำนักราชเลขาธิการ ก็ออกแถลงการณ์อีกฉบับหนึ่งมาปฏิเสธว่า "สำนักราชเลขาธิการขอเรียนชี้แจงให้ทราบว่าในการประชุมคณะองคมนตรีในวันดัง กล่าวไม่ได้มีการกล่าวถึงกรณีดังกล่าวตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่ประการใด" (ดู http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000035639)

ใครสั่งให้ทีวีพูลแพร่คลิป 20 พฤษภา และอะไรคือสารของการแพร่คลิปดังกล่าว?

เช่นเดียวกับหลายกรณี ฝ่ายอเมริกันจะรับรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังมากกว่าสาธารณชนไทยเอง ในโทรเลข 06BANGKOK1546 ลงวันที่ 14 มีนาคม 2549 ทูตอเมริกันได้บันทึกไว้ว่า อาสา สารสิน ราชเลขาธิการ ได้บอกกับทูตว่า "ในหลวงทรงสั่งให้ฉายคลิปดังกล่าวด้วยพระองค์เอง" (the King himself ordered the film to be shown) โดย อาสา กล่าวว่า จุดประสงค์ของพระองค์คือ "เพื่อสนับสนุนการหาทางออกที่สันติให้กับความขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้" (in order to encourage a peaceful resolution to the current political conflict) อย่างไรก็ตาม ทูตได้บันทึกไว้ดังนี้

Although Asa says the intent of the broadcast was not to favor either side, the initial analysis is that it works against the Prime Minister, since everyone knows that part of the solution in 1992 was for the PM under siege to step down. This was the view expressed to DCM by a military aide of Privy Councillor General Suryayud Chulanont.

แม้อาสาจะกล่าวว่า ความตั้งใจของการฉายคลิป ไมใช่เพื่อเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง, การ วิเคราะห์เบื้องต้น คือ การฉายคลิปนี้เป็นผลเสียต่อนายกรัฐมนตรี [ทักษิณ] เพราะทุกคนรู้ว่า ส่วนหนึ่งของทางออกเมื่อปี 2535 คือนายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกโจมตีขณะนั้น ลาออก. นี่เป็นความเห็นที่ ทหารคนสนิทขององคมนตรี สุรยุทธ จุลานนท์ บอกกับอัครราชทูตที่ปรึกษา.

ควรบันทึกไว้ด้วยว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ตีความการฉายคลิปแบบเดียวกับสถานทูตและทหารคนสนิทของสุรยุทธ จุลานนท์ เช่นกัน ในการปราศรัยบนเวทีพันธมิตรในคืนที่มีการฉายคลิป (12 มีนาคม) สนธิ (ตามพาดหัวของ ผู้จัดการ) "ชี้ทีวีแพร่ภาพประวัติศาสตร์ มีนัยบอก ทักษิณ ควรลาออก" (ดู http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9490000033944 ) สนธิ ได้กล่าวไว้ดังนี้ (การเน้นคำย่อหน้าแรกเป็นของ ผู้จัดการ เอง ที่เหลือเป็นของผม):

ย้อนกลับไปก่อน 4 ก.พ. จำได้ไหมที่ทักษิณสั่งให้ตำรวจที่อยู่ในมือตัวเองแจ้งความจับผมกับคุณสโรชา เกือบทั่วประเทศ เสร็จแล้ววันที่ 4 ก็มีพระราชดำรัสออกมาทักเขาถึงต้องถอนฟ้อง ฉะนั้น โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ที่ออกมา นัยที่แท้จริงคือว่า เมื่อสังคมเกิดวิกฤตแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย เพื่อให้เหตุการณ์ที่สงบ นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และพล.อ.สุจินดา คราประยูร ลาออกหรือเปล่า ... นัยที่แท้จริงอยู่ตรงนี้

นี่กำลังส่งสัญญาณให้คนที่จบด็อกเตอร์รู้ว่าถึงเวลาจะลาออกแล้ว นัยของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์วันนี้มีส่วนละม้ายคล้ายเหตุการณ์วันนั้น เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเผด็จการทหาร เราต่อสู้กับเผด็จการนักการเมือง ฉะนั้นแล้ว ถ้า พล.อ.สุจินดายอมลาออก แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณไม่ลาออกเพราะอะไร

นัยที่แท้จริงได้ถูกส่งออกมาแล้ว โดยผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ให้พี่น้องในประเทศได้รู้ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีวิกฤตในประเทศ โดยยกตัวอย่างพฤษภา 35 ให้ดู ว่าในที่สุดแล้ว ความสงบเรียบร้อยจะเกิดขึ้นได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต้องลาออก

ในตอนท้ายโทรเลขฉบับเดียวกันนี้ ทูตได้บันทึกว่า "The broadcast message is very much the King's preferred style, vague enough to be interpreted in different ways by different audiences." (สารจากคลิปที่ได้รับการนำออกฉาย เป็นสไตล์ที่ในหลวงชอบ คือ คลุมเครือพอที่จะให้กลุ่มคนฟังต่างกัน ตีความออกไปต่างกัน)

ในโทรเลขอีกฉบับหนึ่ง 06BANGKOK1601 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2549 ทูตได้บันทึกการสนทนากับอาสา ในวันเดียวกันนั้น ว่า

Arsa admitted that the Sunday evening broadcast of the iconic film of the King's intervention following the 1992 pro-democracy demonstrations had provoked a wave of conspiracy theorizing (ref A). Arsa claimed that the King himself had wanted the film broadcast to emphasize the need for peace and reconciliation. Following the broadcast, however, both sides seized on the film to justify their positions. The confusion was compounded because no one knew who had authorized or encouraged the TV stations to show the footage. The PM and the government denied any role.

อาสา ยอมรับว่า การฉายคลิปที่เป็นสัญลักษณ์อันมีชื่อเสียง เมื่อคืนวันอาทิตย์ กรณีในหลวงทรงเข้าแทรกแซงหลังการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี 2535 นั้น ได้ก่อให้เกิดคลื่นทฤษฎีสมคบคิดขึ้น อาสา อ้างว่า ในหลวงเองต้องการให้ฉายคลิปนั้น เพื่อย้ำความจำเป็นของความสงบและการปรองดอง. แต่หลังการฉายคลิปนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ยกเอาคลิปมาสนับสนุนความชอบธรรมในจุดยืนของฝ่ายตน. ความสับสนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก ไม่มีใครรู้ว่า ใครใช้อำนาจหรือกระตุ้นให้สถานีโทรทัศน์นำคลิปนั้นออกฉาย. นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ทำ.

อาสา แสดงความกังวลให้ทูตฟังว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังใช้ประโยชน์จากการฉายคลิปนั้น เขาจึงต้อง "ตะเกียกตะกายรีบออกแถลงการณ์ [ฉบับวันที่ 14 มีนาคม] เพื่อกันราชสำนักให้ห่างออกมา" (he had scrambled to issue a press statement to distance the Palace from all of this) ซึ่งทูตได้สรุปว่า "อาสากำลังพยายามแยกราชสำนักออกมาจากการเข้าไปอยู่ในพายุทางการเมือง" (Arsa had tried to extricate the Palace from the political storm) และ "ราชสำนักกำลังพยายามยุติเสียงดังกระหึ่ม ที่เกิดจากการฉายคลิปเมื่อคืนวันอาทิตย์" (The Palace is trying to undo the furor caused by the broadcast Sunday night)

...........................


ดังที่กล่าวแต่ต้นว่า เมื่อมองย้อนหลังไป ในท่ามกลางเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤติปี 2549 กรณีทีวีพูลนำคลิป 17 พฤษภา ออกฉาย คงกลายเป็นเรื่องที่ "เล็ก" เกินกว่าคนส่วนมากจะจดจำได้ แต่เรื่องนี้มีความน่าสนใจในฐานะเป็นกรณีหนึ่งของบทบาทของสถาบันกษัตริย์ใน วิกฤตินั้น และ "ลักษณะ" หรือ characteristics ของบทบาทนั้น

ในขณะที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผ่านไปในเวลาค่อนข้างรวดเร็ว (ไม่กี่วัน) และมีความสำคัญและผลสะเทือนไม่มาก (โดยเปรียบเทียบ) โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ถึงข้อมูลที่เป็นเบื้องหลังของเรื่อง จนกระทั่งมาเกิดการเผยแพร่โทรเลขวิกิลีกส์-แอนดรู แม็คเกรเกอร์ มาร์แชลล์ บางฉบับข้างต้น

แต่บางเหตุการณ์อื่นที่ตามมาจะมีความสำคัญยิ่งกว่า โดยที่ขณะเกิดเหตุการณ์คนส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบข้อมูลเบื้องหลังเช่นกัน (โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์) ผมกำลังพูดถึงกรณีที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นราว 3 สัปดาห์ คือการเข้าเฝ้าของทักษิณ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549 ที่ หลังการเข้าเฝ้า เขาได้ออกมาประกาศ "เว้นวรรค" ทางการเมือง ซึ่งโทรเลขวิกิลีกส์-แอนดรู แม็คเกรเกอร์ มาร์แชลล์ ก็ได้ทำให้เรารู้ข้อมูลเบื้องหลังเป็นครั้งแรกเช่นกัน ....

ซึ่งผมจะนำมาเล่าในคราวหน้า

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:


วิกิลีคส์:ฑูตอเมริกาชี้ปมต้านรัฐประหาร19กันยาจืดชืด
-โชคดีที่เกิดเป็นคนไทยใต้ร่มบรมโพธิสมภารยิ่งแล้ว

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker