บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

“สุวิทย์” เผาหัวเกมแรง

ยักไหล่ ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี

โดยภาษาทางกายที่ “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แสดงท่าทางประกอบการตอบคำถามกรณีที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แถลงข่าวใหญ่ถอนตัวออกจากรัฐบาล ไม่ได้มีผลกระทบการปรับ ครม.

ตีบทให้เห็นเลยว่า ไม่ยี่หระ

ก็แน่นอนล่ะ โดยสถานการณ์ที่ปรากฏตามข่าว ภายหลังนายสุวิทย์แถลงถอนตัวไม่ถึง 5 นาที ก็มีเสียงโวยวายจากลูกพรรคในก๊วนของนายสุชาติ ตันเจริญ สวนควันทันที

ไม่เคยรู้เรื่องด้วยเลย

โบ้ยเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนายสุวิทย์เพียงลำพังคนเดียว ไม่ใช่มติของคณะกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด

แต่ช็อตที่ “ลุงหมัก” มั่นใจถือไพ่เหนือกว่า

โดยอาการชิงสวามิภักดิ์ ลูกทีมก๊วนนายสุชาติและเครือข่ายสายบ้านสวนหลวงของนายวัฒนา อัศวเหม ได้ล่ารายชื่อส่งแฟกซ์ถึงทำเนียบรัฐบาลเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 29 กรกฎาคม

“เพื่อแผ่นดิน” แตกค่าย แสดงตนเป็นเมืองขึ้น

และรุ่งขึ้นอีกวัน ก็เป็นนายมั่น พัธโนทัย รมว.ไอซีที ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการ จากการรวบรวมรายชื่อ ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน 20 กว่าคน

ยืนยันสนับสนุนรัฐบาลต่อไป

โดยได้แจ้งให้นายกฯสมัครทราบ พร้อมกับได้ส่งรายชื่อปรับรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินให้นายกฯเรียบร้อย

รวบรัดตัดความ รีบปิดเกมเลย

และผลของการหักดิบกันเอง เสียง ส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรคเพื่อแผ่นดินที่มีสิทธิยกมือโหวตในสภายังพร้อมร่วมรัฐบาลต่อไป โดยโควตา 4 คน 5 ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่ สลับหน้าเล่น

นายมั่นยังอยู่ในเก้าอี้ รมว.ไอซีที พร้อมควบรองนายกฯอีกตำแหน่ง ขณะที่หน้าใหม่ เป็นคิวของนายทุนใหญ่ที่ให้การสนับสนุนพรรคมาตั้งแต่ต้น โดยนายประสงค์ โฆษิตานนท์ อดีต ส.ว.เพชรบูรณ์ เจ้าของอาณาจักรสุโขทัยหินอ่อน จะเข้ามาเสียบตำแหน่ง รมช. มหาดไทย แทนนายสิทธิชัย โควสุรัตน์

ขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นักธุรกิจเหมืองแร่และพลอยในปักษ์ใต้ จะมานั่งเก้าอี้ รมช.คลัง แทน ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี และ กลุ่มบ้านริมน้ำของนายสุชาติ ส่งนายพิเชษฐ์ ตันเจริญ พี่ชายของนายสุชาติ นั่งเก้าอี้ รมช.พาณิชย์

คืนโควตา รมว.อุตสาหกรรมกลับไปให้พรรคพลังประชาชน เปิดทางให้โยกนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ เข้าเสียบแทน

ขยับไปขยับมาจนลงล็อก เกลี่ยโควตากันลงตัว

ยังดีที่ได้ลูกเก๋าคุมเกมไม่ให้มั่ว ในยามที่กระบี่มือหนึ่งอย่าง นายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ฯลฯ ทำได้แค่นั่งลุ้นอยู่ข้างสนาม

ตีประคองเกมไป

รักษาเส้นทางพรรคเพื่อแผ่นดินให้อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล

คนที่หลุดวงโคจรไปก็คือ “สุวิทย์” กับสถานะใหม่ “โดดเดี่ยวผู้น่าสงสาร”

แต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้ใจ โดยปมที่ถูกเขี่ยพ้น ครม. ข้อหาหมั่นไส้ฐานทำตัวเป็นผู้นำฝ่ายค้านในคณะรัฐมนตรี ขวางทางปืนมันซะทุกเรื่อง แถมยังมีพฤติกรรมฝักใฝ่ม็อบพันธมิตรฯ โดนระแวงแฝงตัวจ้องเสียบเก้าอี้นายกฯรักษาการหลัง ครม.โดนถอดถอนยกชุดจากปมปราสาทพระวิหาร

“สุวิทย์” ก็ได้คะแนนจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเหมือนกัน

ทั้งหมดทั้งปวง ประเมินจากคิวหักดิบ “สุวิทย์” เสมือนการเผาหัวเกมรบขั้นแตกหัก อ่านหมากปรับ ครม.ที่ “ลุงหมัก” เน้นปรับทัพภายในพรรคพลังประชาชน

ทิ้งทวนเข้าสู่โหมดการต่อสู้เต็มรูปแบบ

ประกอบกับล่าสุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี กรณีเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้พม่า วงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า

ไม่นับคดีที่ดินรัชดา คดีหวยบนดิน คดีเลี่ยงภาษี ฯลฯ

โดยสถานการณ์ ต้องนับถอยหลังกันตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

เกมบีบให้สู้ยิบตา ก่อนลี้ภัย.


ทีมข่าวการเมือง รายงาน




พล.อ.ชวลิต แนะตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล

หนองบัวลำภู 30 ก.ค.-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นว่าการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคเพื่อแผ่นดิน แสดงให้เห็นความแตกแยกอย่างรุนแรง พร้อมแนะควรตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลบริหารประเทศ

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโครงการสร้างเขื่อนดินลำน้ำบอง บ้านตาดไฮ ต.โคกม่วง อ.โนนสัง ตามคำเชิญขององค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู ก่อนปาฐกถาเรื่อง "สร้างความสามัคคีในชาติด้วยอำนาจปวงชน" โดยกล่าวรัฐบาลไม่ได้ตั้งใจ หรือแสดงให้เห็นว่า มีความพยายามแก้ปัญหาเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ กับกลุ่มต่อต้านอย่างจริงจัง และเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยรัฐบาลเฉพาะกาล โดยแต่งตั้งจากตัวแทนพรรคการเมืองหลายพรรคที่มีความสามารถ เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาโดยให้เวลา 2 ปี

ส่วนการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นการแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกขั้นรุนแรงของพรรครัฐบาล นักการเมืองทุกพรรคควรร่วมมือกันหันหน้าเข้าหากัน ไม่มีพรรครัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ควรจะเลิกทะเลาะกัน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน และหากเกิดการยุบสภา จะกลับมาเล่นการเมืองหรือไม่นั้น ต้องรอดูก่อนว่าประชาชนจะให้โอกาสหรือไม่ ที่สำคัญตอนนี้ต้องดูสังขารว่าไปไหวหรือไม่ด้วย.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-07-31 01:10:52



เอ็กซิมแบงก์

กรุงเทพฯ 30 ก.ค.- คดีเอ็กซิมแบงก์ ถือเป็นคดีที่ 2 ต่อจากคดีหวยบนดิน ที่ คตส. ได้ยื่นฟ้องเอง หลังจากเห็นต่างจากอัยการ และศาลฎีกา มีมติรับฟ้องไว้ คดีนี้มีความเป็นมาอย่างไร ติดตามจากรายงาน.

ชมรายละเอียด สำนักข่าวไทย

อัพเดตเมื่อ 2008-07-30 20:34:49



แฉ‘เจ๊ปอง’ตอแหลคำโตอ้างทหารร่วมม็อบล้มรัฐ

“อัญชลี ไพรีรักษ์” ตอแหลคำโต อ้างนายทหารผู้ใหญ่ส่งกำลัง 4-5 กองร้อย ปะปนในม็อบพร้อมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ตั้งแต่ตี 5 ระบุมีทั้ง สห. ทัพบก ทัพอากาศ ขณะที่บิ๊กทหารตอกหน้าหงาย ทหารส่วนใหญ่ไม่มีใครสนับสนุน ถ้าจะมีทหารไปร่วมชุมนุม คงมี “ทหารแก่” แค่ 4 นาย ยืนยันชัดไม่มีการทำหนังสือขอกำลังทหารเข้าไปดูแล ระบุทหารมีศักดิ์ศรี อย่าเอาไปแอบอ้างเป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่วนทนายความที่ขับรถชนรั้วพันธมิตรฯ กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ ที่แท้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

ท่ามกลางความพยายามของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะปลุกกระแสการชุมนุมโดยอ้างดีเดย์ในวันที่ 1 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ ปรากฎว่าได้มีความพยายามปลุกระดมทุกรูปแบบ ตั้งแต่การที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำออกมาประกาศสงครามกับกัมพูชา ทั้งที่การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศกำลังดำเนินไปด้วยดี

ล่าสุด น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ หรือที่กลุ่มม็อบเรียกกันว่าเจ๊ปอง ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประกาศถึงการเคลื่อนไหวในวันที่ 1 สิงหาคม และบอกกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า มีนายทหารผู้ใหญ่ส่งกำลังทหารเข้าร่วมการชุมนุม 4-5 กองร้อย โดยขณะนี้ปะปนอยู่ในม็อบเรียบร้อยแล้วในชุดนอกเครื่องแบบ ขอให้ทุกคนปรบมือต้อนรับ

ทั้งยังระบุว่าทหารเหล่านี้จะอยู่ร่วมต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีทั้งสารวัตรทหาร ทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ ซึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมตั้งแต่เวลา 05.00 น. ที่ผ่านมา ขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนอุ่นใจได้ว่าจะมีทหารอยู่เคียงข้างผู้ชุมนุม

การแอบอ้างทหารมาเป็นเกราะกำบัง และสร้างราคาให้กับการชุมนุมดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และถูกปฏิเสธจากกองทัพว่าไม่มีนโยบายอย่างนั้นแน่นอน

ระบุแค่ทหารแก่4คนร่วมการชุมนุม
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า การจะส่ง สห.ไปคุ้มครองตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีการปะทะกัน ถ้าเกิดไปรักษาความสงบก็สามารถทำได้ หากขอมาก็จำใจที่จะต้องไป แต่ความจริงเขาไม่อยากไป เพราะทหารไม่ได้สงสารตรงกันข้ามอยากสมน้ำหน้า และหมั่นไส้

ที่ผ่านมาการเปิดเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ เอาแต่ด่าทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าข้างกลุ่มพันธมิตรฯ อีกทั้งเชื่อว่าไม่มีทหารเข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะทหารไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ หากจะมีก็มีทหารแก่ๆ เพียง 4 นายเท่านั้นที่ร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ

“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าทหารจะเข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ”
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ขัตติยะ กล่าวอีกว่า การจะโค่นล้มรัฐบาลไม่สามารถทำได้ เพราะ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่เข้มแข็ง และการถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคเพื่อแผ่นดินก็ไปเพียง 2 คนเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล และตนเชื่อว่าไม่มีเรื่องการปฏิวัติแน่นอน เพราะเงื่อนไขไม่มีอะไรรุนแรง เป็นเพียงความขัดแย้งของภาคประชาชนเท่านั้น

ยันไม่มีหนังสือขอกำลังดูแลม็อบ
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในส่วนของกองบัญชาการทหารกองทัพบกยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้บัญชาการทหารชั้นผู้ใหญ่ในเรื่องส่งกำลังคุ้มครองผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือขอกำลังมายังกองทัพบก อีกทั้งนโยบายของกองทัพบกเรื่องการขอกำลังคุ้มครองต้องมีหนังสือขอกำลังเป็นทางการและไม่ใช่ขอแค่ลมปาก ซึ่งในเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯทางกองทัพบกไม่ได้เข้าไปยุ่งมากนัก เพราะที่ผ่านมากองทัพบกยุ่งในเรื่องการประชุมมอบนโยบายช่วยเหลือพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อย่างไรก็ตามในเรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมตนไม่สามารถแสดงความเห็นได้ เพราะไม่ได้สนใจเรื่องการชุมนุมสักเท่าไร แต่หากต้องการกำลังจากกองทัพบกต้องมีหนังสือและมีการเซ็นเอกสารรับรองจากข้าราชการทหารหรือตำรวจเท่านั้น อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าจะส่งกำลังทหารไปคุ้มครองด้วยได้หรือไม่

ซัดอย่าแอบอ้างทหารเป็นเครื่องมือ
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวกองทัพบก กล่าวว่า เรื่องการส่งกำลังทหารไปคุ้มครองผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ทางกองทัพบกยังไม่เห็นหนังสือขอกำลังคุ้มครอง อีกทั้งบุคลากรกองทัพบกต้องมีวิจารณญาณในการเข้าไปดูแลหรือร่วมชุมนุม และทุกคนก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องมองในเรื่องของความเหมาะสมด้วย คนที่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ และไม่ใช่พันธมิตรฯ ควรแสดงออกด้วยความเหมาะสมและอยู่ในขอบเขต ซึ่งบุคคลที่จะให้แสดงความเห็นในเรื่องความเหมาะสมหรือไม่ต้องเป็นบุคคลระดับหัวหน้า แต่โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นคนไทยด้วยกันต้องมีความสามัคคีกันให้มากที่สุด บ้านเมืองถึงจะมีความเจริญ

อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ว่าการมีนายทหารบางคนไปร่วมเวทีพันธมิตรฯ ก็อาจจะขนลูกน้องไปร่วมการชุมนุมได้บ้าง เพราะหลายคนก็คงมีอำนาจอยู่บ้าง แม้จะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ตาม แต่การระบุว่ามีทหารหลายกองร้อยนั้น ไม่มีแน่ และไม่ควรที่จะแอบอ้างทหารสร้างราคาให้ตัวเอง

“ทหารมีศักดิ์ศรีมากกว่าที่คุณคิด ขอร้องอย่าได้เอาเราไปแอบอ้างเป็นเครื่องมือของพวกคุณ”

ทนายความขับรถชนรั้วพันธมิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวลา 03.10 น. วันเดียวกันนี้ได้เกิดเหตุนายสโรชคริษฐ์ พรหมอักษร อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ 8 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. อาชีพทนายความ และเจ้าของร้านอาหารเรือนคำหยาด เมาแล้วขับรถยนต์ ยี่ห้อ แลนด์โรเวอร์ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน พว 2243 กทม. ชนรั้วเหล็กแผงกั้นทางเข้า-ออก เวทีปราศรัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถนนเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์

จากการค้นในตัวนายสโรชคริษฐ์ พบว่า สวมเสื้อเกราะพกอาวุธปืนขนาด .357 และขนาด 11 มม.อยู่ 2 กระบอก และตรวจค้นภายในรถพบอาวุธปืนซุกซ่อนอยู่ด้วยกัน 4 กระบอก ประกอบด้วย ปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ขนาด.32 มม. .380 และปืนลูกซองยาว อย่างละ 1 กระบอก และเครื่องกระสุนจำนวนมาก

พ.ต.อ.วิบูลย์ยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง กล่าวว่า ผู้ต้องหาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ดื่มสุราที่ร้านเมื่อเมาได้ที่ได้นึกครึ้มใจ อยากมาสักการะพระบรมรูปทรงม้า จึงได้ขับรถมา เมื่อถึงจุดเกิดเหตุพบว่าเป็นที่มืด ไม่มีสัญญาณไฟ หรือป้ายบอกทางใดๆ ประกอบกับความเมา จึงได้พุ่งชนแผงเหล็ก เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหาพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขับรถโดยประมาท และขับรถขณะมึนเมาสุรา

โอละพ่อคนชนรั้วที่แท้สมาชิกปชป.
นายสโรชคริษฐ์ ให้การยอมรับว่าไม่ชอบกลุ่มพันธมิตรฯและไม่ทราบว่า พันธมิตรฯมาชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งให้นำหลักฐานใบพกพาอาวุธปืนมาแสดง แต่ผู้ต้องหายังอยู่ในอาการมึนเมาและแจ้งว่า ต้องการแจ้งความกลับข้อหาทำร้ายร่างกายและขอพักผ่อน เจ้าหน้าที่จึงให้พาตัวไปสงบสติอารมณ์ในห้องขัง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นพบว่า นายสโรชคริษฐ์ มีอาชีพเป็นครูสอนยิงปืนและเป็นทนายความจริง

จากเหตุดังกล่าวกลุ่มพันธมิตรฯ ได้พยายามโยงเรื่องว่าเกี่ยวพันกับพรรคชาติไทย เนื่องจากพบเสื้อยืดของพรรคและบัตรสมาชิกพรรคชาติไทย โดย น.ส.อัญชลี ได้ประกาศบนเวทีว่าเรื่องนี้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ต้องรับผิดชอบ

กรณีดังกล่าวนายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทย แถลงว่า นายสโรชคริษฐ์เคยเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย แต่ได้ลาออกตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2550 เพราะฉะนั้นพรรคจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนที่ยังพบบัตรสมาชิกพรรคชาติไทยด้วยก็ไม่ทราบเป็นไปได้อย่างไรเพราะการลาออกทางพรรคจะต้องขอบัตรสมาชิกคืน และการลาออกได้แจ้งให้กกต.รับทราบแล้ว

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบฐานข้อมูลของ กกต. ยังพบว่านายสโรชคริษฐ์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2543 จนถึงปัจจุบัน


วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

อนงค์วรรณแนะให้พรรคร่วมรัฐบาลอดทน

จ.นครปฐม 30 ก.ค. - หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตยแนะให้พรรคร่วมรัฐบาลอดทน เห็นแก่ประเทศชาติ ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรค ยังไม่ได้รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี

นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม / หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อแผ่นดินประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตนไม่ทราบมาก่อน แต่ในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องมีทั้งเรื่องที่พอใจและไม่พอใจ โดยส่วนตัวเห็นว่าในสถานการณ์บ้านเมืองที่เปราะบาง ต้องอดทน เก็บเรื่องไม่พอใจไว้ เพื่อเห็นแก่ประเทศชาติ ประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้วิกฤติยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม พรรคจะมีการหารือในเรื่องนี้ต่อไป แต่ก็ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะมีจุดยืนชัดเจนตั้งแต่ก่อนร่วมรัฐบาลที่จะยึดทางสายกลาง ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีนั้น ยังไม่ได้หารือกัน เนื่องจากยังไม่ได้รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี แต่ยอมรับคงต้องทบทวนเนื้องานบ้าง. – สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-07-30 13:29:28

วิปรัฐบาลอัด สุวิทย์ หาเหตุถอนตัวเพราะรู้ว่าถูกลดบทบาทใน ครม.


รัฐสภา 30 ก.ค. รองประธานวิปรัฐบาล อัด "สุวิทย์" ถอนตัวเพราะถูกลดบทบาทใน ครม.เลยหาเหตุถอนตัว พร้อมย้ำแม้แต่กรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินยังยืนยันไม่ใช่มติพรรค เชื่อหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรคจะหารือเรื่องนี้เพื่อชี้ว่าเป็นการถอนตัวหรือไม่ ยืนยัน พรรคชาติไทยยังเหนียวแน่น ชี้แม้พรรคเพื่อแผ่นดินถอนตัวเสียงของรัฐบาลยังมั่นคง

นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ประกาศถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ว่า เหตุผลในการถอนตัวของนายสุวิทย์ เป็นเหตุผลที่ยกขึ้นมาลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักและไร้ความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องเก่าแต่เอามาพูดใหม่ ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงนั้นคิดว่า ตัวเองคงถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีเลยต้องหาเรื่องถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

"การแก้ตัวเป็นเรื่องธรรมดา พูดแต่เรื่องดี ๆ แต่ผมเข้าใจว่า เป็นเหตุผลส่วนตัวของนายสุวิทย์ ที่จะถูกปรับลดบทบาทลงใน ครม. เลยถอนตัว ซึ่งเท่าที่ฟังก็ถอนตัวไปคนเดียว เพราะคนอื่นยังยินดีที่จะร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ไม่แน่ใจที่นายสุวิทย์มาแถลงเป็นมติพรรค จะถูกต้องตามข้อบังคับหรือตามกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะหลายคนในกรรมการบริหารเพื่อแผ่นดินบอกว่า ไม่ใช่มติของกรรมการบริหาร แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของหัวหน้าพรรค อันนี้เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อแผ่นดินต้องไปตรวจสอบเอาเอง"นายสุขุมพงษ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าตัวแทนวิปจากพรรคเพื่อแผ่นดินได้ประสานมายังวิปรัฐบาลในกรณีนี้หรือไม่ นายสุขุมพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ประชุมวิป แต่หากตัวแทนของพรรคเพื่อแผ่นดินเข้าร่วมประชุม แสดงว่า ยังอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคที่เหลือคงจะต้องหารือถึงกรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินดำเนินการเช่นนี้ จะถือเป็นการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ส่วนพรรคชาติไทยนั้นเท่าที่ทราบจากรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ยังยืนยันว่า จะร่วมรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าแม้พรรคเพื่อแผ่นดินจะถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจริง ไม่ได้ส่งกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเมื่อหักจำนวน ส.ส.ของพรรคเพื่อแผ่นดินจำนวน 24 เสียง รัฐบาลจะมีเสียง ส.ส.จำนวน 280 เสียง ซึ่งเกินครึ่งไป 50 เสียงก็ถือว่ายังมั่นคงอยู่.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-07-30 13:17:36



หวยออกแล้ว

แม้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะประทับรับฟ้องคดีหวยบนดินไปแล้ว ซึ่งก็ต้องไปต่อสู้กันในทางคดี แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะมีผลต่อ 3 รัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ด้วย

คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากพลังประชาชน นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจากพรรคประชาราช และนายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม

ข้อใหญ่ใจความอยู่ที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้กำหนดเอาไว้ว่าหากนายกฯ และรัฐมนตรีที่ถูกฟ้องร้องและศาลประทับรับฟ้องจะต้องหยุด “พักงาน” ทันที ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจฐานะตำแหน่งเอื้อประโยชน์ต่อรูปคดี

ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในกระบวนการตรวจสอบนักการเมือง

แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าเป็นนายกฯหรือรัฐมนตรีแต่ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นก็เกิดปัญหาทันทีเพราะมีการตีความเฉออกไปว่ากรณีนี้ หากไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป็น ส.ส.ก็ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

หาก ส.ส.โดนคดีเช่นเดียวกันก็ต้อง “พักงาน” ด้วยนั่นประเด็นหนึ่ง

ขณะเดียวกันมีการพูดถึงการใช้อำนาจตามกฎหมายถูกต้องหรือไม่ เพราะกฎหมาย ป.ป.ช.ระบุว่าผู้ถูกกล่าวหาหากศาลประทับรับฟ้องก็ต้องพักงานทันที แต่กรณีนี้ปรากฏว่าการฟ้องร้องคดีนี้ดำเนินการโดย คตส. ซึ่งขณะนี้หมดวาระไปแล้ว

ดังนั้น จึงเกิดปัญหาว่าเมื่อเป็น คตส.จะต้องพักงานด้วยหรือไม่ ทั้งๆที่ คตส.ก็ใช้อำนาจตามกฎหมาย ป.ป.ช. นี่ก็ประเด็นหนึ่ง

และอีกประเด็นก็คือคดีหวยบนดินนั้นเกิดตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ซึ่งในการฟ้องร้องกันนั้น ปรากฏว่ากว่าจะลงเอยได้ก็ติดปัญหามาตลอด คดีนี้อดีตนายกฯเป็น 1 ในผู้ถูกกล่าวหาจากจำนวน 47 คน คตส.ยื่นสำนวนให้อัยการส่งฟ้อง ปรากฏว่าอัยการไม่ยอมอ้างว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ให้สอบเพิ่มเติม

แต่ คตส.ไม่ยอม อ้างว่าสมบูรณ์แล้ว ต้องตั้งกรรมการร่วมแต่ก็ไปกันไม่ได้ จนเกิดศึกระหว่างอัยการกับคตส.

สุดท้าย คตส.ต้องยื่นฟ้องเอง

ยังไม่จบแค่นั้นเมื่อ คตส.ยื่นฟ้องปรากฏว่าศาลยังไม่รับทันทีแต่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า คตส.มีที่มาถูกต้องหรือไม่ ต่ออายุถูกต้องหรือไม่ มีอำนาจหรือไม่ หากตีความว่าไม่ถูกต้องทุกอย่างก็จบ คดีความต่างๆก็ต้องยุติเพราะ คตส.เป็นองค์กรเถื่อน แต่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าชอบด้วยกฎหมาย และที่สุดก็ประทับรับฟ้องคดีนี้

แต่ 3 รัฐมนตรียังไม่ยอม “พักงาน” อ้างว่ากฎหมายยังไม่ชัดเจน หากไม่พักงานก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีโทษอะไรบ้าง จึงขอหารือ ครม.และให้กฤษฎีกาตีความว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร

พูดง่ายๆยังไม่หยุดงาน แต่ขอตีความก่อน

จริงๆแล้วเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้นชัดเจน เมื่อรัฐมนตรีถูกฟ้องร้องเป็นคดีจะต้องถูกพักงาน เพื่อให้การดำเนินการสอบสวนเป็นไปอย่างอิสระ ไม่มีอำนาจการเมือง ไม่มีอำนาจรัฐมนตรีเข้ามามีบทบาท หรือเข้ามาล้วงลูกส่งผลต่อรูปคดี

แต่เมื่อไม่ยอมรับก็ต้องหาทางดิ้นทุกรูปแบบ ทั้งๆที่รู้กันอยู่เต็มอก และประเด็นนี้มันจะต้องต่อเนื่องไปถึงคดีอื่นๆ แม้กระทั่งคดีของนายกฯสมัคร สุนทรเวช ที่จะชี้ขาดกันอีกไม่นานนี้ ดังนั้นบรรทัดฐานตรงนี้มันจะโยงไปถึงคดีอื่นๆที่จะตามมา

มันก็ครือๆกับคดี “ยุบพรรค”

ก็เลยต้องงัดวิชา “หัวหมอ” ออกมาประดาบกัน.

“สายล่อฟ้า”

ใช่ไม่ใช่

ใครคิดออกบ้างว่า วิกฤติการเมือง ในบ้านเราจะจบลงอย่างไร หรือจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ช่วยตอบผมที เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งมองเห็นแต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้น สงสารประชาชน สงสารประเทศไทย ทั้งปีทั้งชาติถูกหลอกเอามาเป็นตัวประกันในเกมชิงอำนาจการเมืองไม่ได้หยุดหย่อน

วันนี้มีใครเคยช่วยคิดบ้างหรือไม่ว่า ชาวบ้านเดินดินกินข้าวแกงจะมีอนาคตอย่างไร เห็นข่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เสนอวิธีการแก้ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศ โดยการลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงให้เหลือร้อยละ 3 ไม่เช่นนั้น ราคาสินค้าที่อั้นไว้เตรียมจะขอขึ้นราคากันอยู่ในขณะนี้จะมีเพิ่มขึ้นถึง 210 รายการ

อ่วม!

ตัวเลขอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ความจริงก็คือ เงินในกระเป๋าชาวบ้าน ที่หาเช้ากินค่ำก็ลดน้อยลงทุกวัน แถม ค่าของเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ก็น้อยลงอีก เจอสองเด้ง จะให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างไร

ตัวเลขการเลิกจ้างงานของกระทรวงแรงงานปีนี้มีแนวโน้มไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน รวมกับคนที่ยังหางานทำไม่ได้ ผมว่าตัวเลขเป็นแสน ในขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นๆ เข้าตาจนขึ้นมาจริงๆก็ไปก่ออาชญากรรมกลายเป็นปัญหาสังคม และความสุขของสังคมครอบครัวก็หมดไป เพราะต้องสาละวนอยู่กับการเอาชีวิตรอด

อันที่จริงผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ ที่จะให้ ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เหลือร้อยละ 3 ซึ่งที่ถูกปีนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องขึ้นเป็นรอยละ 10 ด้วยซ้ำ เพื่อให้เกิดรายได้เพียงพอกับรายจ่ายของประเทศ แต่ก็เอาเถอะ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ขึ้นภาษีก็ดี เท่าไหร่แล้ว

ที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับการลดภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เพราะไม่ได้ ช่วยประชาชนผู้เดือดร้อนจริงๆ ส่วนหนึ่งอาจจะได้ประโยชน์กับผู้ประกอบธุรกิจ ลดภาษี สินค้าก็ถูกลง จูงใจให้คนบริโภคมากขึ้น แต่ก็เป็นดาบสองคม เพราะถ้า เป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะทำให้คนเป็นหนี้เป็นสินกันโดยไม่จำเป็น และนอกจากนี้คนรวยที่ยังเดือดร้อนไม่มากนักก็เลยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย

แทนที่จะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มในสัดส่วนที่จะลดไปร้อยละ 4 มาเป็นสวัสดิการให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยจะดีกว่า แถมยังไม่ทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศมีผลกระทบอีกด้วย

วันนี้มีคนส่วนหนึ่งไปเฮๆ กันแถวสะพานมัฆวาน แต่คนอีกส่วนหนึ่งต้องนอนเอามือก่ายหน้าผาก คิดหนักว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินจะเอาเงินที่ไหนให้ลูกไปโรงเรียน จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเช่าบ้าน

วันนี้คนส่วนหนึ่งหน้ามืดตามัวอยู่กับการเมือง แต่คนอีกส่วนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจที่รัดตัวโดยลำพัง และคนส่วนหนึ่งจะไปไหนมาไหนก็ต้องเกณฑ์คนไปห้อมล้อม ต้องมีกำลังอารักขาและมีปากเป็นอาวุธ มีอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น แต่คนอีกส่วนหนึ่งมีอันตรายรอบตัว มีปากก็พูดอะไรไม่ได้

เชื่อหรือไม่ว่า นี่คือแผ่นดินเดียวกัน

ผมยังตั้งความหวังไว้กับกระบวนการยุติธรรม และสถาบัน จะพลิกฟื้นให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในครรลองคลองธรรม ให้สิทธิหน้าที่และความมีเสรีภาพเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นคนบนเวทีหรือไม่มีเวที.

“หมัดเหล็ก”



เชือดหวยบนดิน “สมัคร 4” เกือบได้ปรับยกแผง

คอลัมน์: รายงานพิเศษ

เป็นอันว่า รัฐบาล “สมัคร 4” คงได้ใช้สูตรปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ ตามแผนที่สำรองไว้แน่แล้ว

หลังจากก่อนหน้า เตรียมแนวทางการปรับ ครม. ไว้ อันประกอบด้วย
1.หาแทนที่เฉพาะตำแหน่งที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง คือ รมว.สาธารณสุข กับ รมว.ประจำสำนักนายกฯ
2.ปรับเก้าอี้ในตำแหน่งรัฐมนตรี ‘สายล่อฟ้า’
3.ปรับในตำแหน่งที่ตัวรัฐมนตรีอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมาย

ซึ่งข้อสุดท้ายก็เป็นอันสรุปได้ว่า ไม่รอดสันดอนเมื่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษารับฟ้องคดีออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน

เท่ากับว่ามีรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน โดนร่างแหไปด้วยถึง 3 คน

“หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“ป้าอุ” นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

และ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

เบื้องต้น ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 55 เมื่อศาลรับฟ้อง ทั้ง 3 ท่านต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีทันที

จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ หรือศาลฎีกาจะมีคำตัดสินชี้ขาด

แต่ขณะนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวโดยเฉพาะคุณหมอเลี้ยบ จะไม่มีแผนการหยุดการทำงานแต่อย่างใด

ยังคงทำงานร่วมกับคณะรัฐมนตรีทั้งชุด และในฐานะ รมว.คลัง ต่อไปตามปกติ

รวมถึงกระแสข่าวว่า อาจจะมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งว่าถูกต้องหรือไม่

กระนั้นก็คาดการณ์กันว่า คำพิพากษาออกมาเป็นเช่นนี้ สูตร “สมัคร 4” ก็คงเป็นไปตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้าที่อาศัยการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่ลบที่สุด

นั่นคือ นอกจากตำแหน่งที่ว่างลง รัฐมนตรีสายล่อฟ้า ก็ต้องหามาแทนที่อีก 3 คือ คลัง 1 แรงงาน 1 และ ช่วยคมนาคม 1 อีก อย่างไม่ต้องสงสัย

จึงจับตามองกันอย่างหนักว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ ต่อจาก นายเตช บุนนาค ที่เข้ามาช่วยชาติไปแล้วก่อนหน้า

เก้าอี้แรงงานของ “ป้าอุ” นั้น คงยังเป็นโควตาของ “พรรคประชาราช” ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง

ขณะที่ รมช.คมนาคม แว่วว่าพรรคชาติไทยอาจขอแลกเปลี่ยนกับ รมช.เกษตรฯ เพื่อที่พรรคจะดูแลงานด้านเกษตรได้อย่างสะดวกและเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น

จะมีก็แต่เก้าอี้ “คลัง” ในโควตาของพรรคพลังประชาชน ที่ชื่อของ “มืออาชีพ” ด้านการเงินการคลังถูกกล่าวขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชื่อ

แต่ที่เหมือนจะเต็งจ๋าที่สุดอย่าง “วีรพงษ์ รามางกูร” ได้ปฏิเสธไปแล้ว ด้วยเหตุว่าติดเงื่อนไขเรื่องไม่เห็นด้วยกับนโยบายผู้ว่าการแบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งที่ชื่อ ดร.โกร่ง กำลังเป็นชื่อที่นักธุรกิจเห็นด้วยอย่างมาก หากจะยอมมารับตำแหน่งให้จริงๆ

ถัดจาก ดร.โกร่ง ก็ยังมีรายชื่อของ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ อดีตนักเรียนทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์ทั้งในแบงก์ชาติ และเคยเป็นบอร์ดบริหารของธุรกิจขนาดใหญ่ต่างๆ นายอนุชา สะสมทรัพย์ ส.ส. นครปฐม นายอิทธิ ศิริลัทธยากร ส.ส. ฉะเชิงเทรา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส. แพร่ ฯลฯ

ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นใครอย่างไรนั้น ก็คงได้ประกาศออกมาพร้อมกันทุกตำแหน่ง แต่ต้องรอฟังคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคุณสมบัติของ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ อีกคนเสียก่อน

แต่ไม่ว่าจะหมู่หรือจ่า...งานนี้ “สมัคร 4” คงได้ “ปรับใหญ่” อย่างที่โฆษณาไว้แน่แล้ว



วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

DSIจ่อหมายจับคดีทุจริตบัตรเลือกตั้ง

คดีฮั้วพิมพ์บัตรเลือกตั้ง คืบหน้าแล้วหลังจากก่อนหน้านี้ กกต.ยื้อไม่ยอมให้เข้าตรวจสอบเอกสาร ดีเอสไอ เตรียมออกหมายจับโรงพิมพ์คดีฮั้วประมูลพิมพ์บัตรเลือกตั้ง พร้อมเรียกเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เข้าชี้แจงข้อมูล 31 ก.ค. นี้ “สุทธิพล” อ้างมีการสอบสวนตลอด แต่เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้

จากกรณี พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย อดีต ผบก.ป่าไม้ ได้เข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงความไม่ชอบมาพากลในการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้งยอดพิมพ์ที่สูงเกินจริง ข้อพิรุธในการแยกพิมพ์บัตร และบัตรที่มีการสูญหายที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้งได้ โดยที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กกต. เองก็ไม่เคยให้ความร่วมมือในเรื่องการเข้าตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆ โดยอ้างว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวน จนเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง นั้น

ล่าสุด พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้บัญชาการสำนักคดีกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีฮั้วประมูลพิมพ์บัตรเลือกตั้ง เปิดเผยว่าคณะอนุกรรมการคดีพิเศษ ที่มี นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน จะเชิญ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เข้าให้ข้อมูลในประเด็นที่โต้แย้งอำนาจสอบสวนของดีเอสไอ ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา 13.00 น.

จากนั้นจะสรุปว่า ดีเอสไอมีอำนาจสอบสวนหรือไม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมภายในดีเอสไอได้เสนอให้แยกสำนวนดำเนินคดีกับโรงพิมพ์เอกชน 2 แห่งที่มีพฤติการณ์ส่อไปในทางสมยอมราคา และในเร็วๆ นี้ อาจขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญาด้วย

ส่วนคดีที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษว่า กกต.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หลังได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการนำบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนไปใช้ทุจริตการเลือกตั้งในการลงคะแนนล่วงหน้า ดีเอสไอได้แยกสำนวน ส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีการสืบสวนสอบสวนการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกิน ตามที่มีผู้ร้องเรียนเข้ามาที่ประธานกกต. ว่า ตนได้รับรายงานว่าอนุกรรมการสอบสวนทั้ง 4 ชุดได้สรุปสำนวนข้อเท็จจริงมาที่คณะอนุกรรมการชุดใหญ่แล้ว และขณะนี้คณะกรรมการฯ กำลังสรุปสำนวนเสนอต่อกกต. ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถเสนอให้กกต.ได้โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ การสอบสวนของอนุกรรมการทั้ง 4 ชุด ได้สอบสวนพนักงานกกต. โรงพิมพ์ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอนุกรรมการชุดที่ตรวจสอบเอกสารหลุดมีข้อสงสัยว่าเอกสารที่หายไปน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ภายในกกต. แต่ตนไม่สามารถให้รายละเอียดได้ต้องรอการพิจารณาของกกต.ก่อนและจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การที่กล่าวหาว่า กกต.ไม่ทำอะไรจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เป็นความจริง ไม่ได้กลัวถูกตรวจสอบ แต่หน่วยงานที่จะเข้ามาตรวจสอบต้องมีอำนาจตามกฎหมายและต้องมีความเป็นกลาง ซึ่งก็ยินดีไปชี้แจง


แก๊งไม้จิ้มฟัน กับต้นทุนทางสังคมที่สุดเสื่อม

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนมีภาวะเสื่อมถอยของสิ่งที่เรียกว่า “สังขาร” ยิ่งเกิดมานานก็ยิ่งเข้าใกล้ แก่ เจ็บ และตาย เป็นธรรมดาโลก

จะมีก็แต่ “ประสบการณ์” ที่ยิ่งผ่านหลายฝนก็ยิ่งสั่งสมพอกพูนเป็นสิ่งที่แก่กล้า แข็งแรงสวนทางภาวะถอยหลังของร่างกาย

ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เปรียบคนที่เป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” ว่าเป็นดัง “ไม้ยืนต้น” แผ่กิ่ง ก้าน ใบ ให้คนรุ่นหลังได้พึ่งพิงอาศัย

นึกชื่อ “ผู้หลักผู้ใหญ่” ของบ้านเมืองนี้ ก็มีไม่กี่สิบคน เช่น ชื่อของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน นพ.ประเวศ วะสี ฯลฯ เหล่านี้ล้วนขึ้นทำเนียบ “ไม้ยืนต้น” กันได้แล้วทั้งนั้น พูดจาอะไรแต่ละคำ สังคมก็ต้องหยุดฟัง สื่อมวลชนต้องให้พื้นที่

แต่พูดแล้ว ฟังแล้ว จะมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยสักแค่ไหน...ก็อีกเรื่อง

ระยะหลัง 2-3 ปี นอกจากไม่ค่อยมีคนเห็นดี ยังร่ำๆ จะกลายเป็นร้าย

“ส่วนรวม” ไม่ได้ประโยชน์อะไร และคนพูดก็กลายเป็นความขายหน้าว่า ไม้ใหญ่เป็นได้แค่ท่อนไม้ผุๆ ติดตลิ่ง

สำหรับ “ป๋า” แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะหลังจากแนวร่วมด้วยกันเองอย่าง “สุริยะใส กตะศิลา” หลุดปากโพล่งออกมาว่า อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

หอก ดาบ กระถาง รองเท้า ฯลฯ ก็ปลิวว่อนใส่ไม้ใหญ่ต้นนี้ชนิดไม่มีเหลือความเคารพ

ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่เคารพยำเกรงระบบอาวุโส แต่ในแง่ระบอบการปกครอง ก็มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด เมื่อใครก็ตามมีพฤติกรรมทำลายระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นอันลืมได้เลยว่าจะมีความอาวุโสเป็นเกราะกำบัง

ปรากฏการณ์ไม่เห็นแก่หัวหงอกหัวดำจึงเกิดขึ้นไปทั่วในขณะนั้น

เช่นเดียวกันกับแก๊งไม้ยืนต้นระดับแนวหน้าของประเทศไทยอีกไม่ต่ำกว่าสิบ...จากไม้ใหญ่กลายเป็นได้เพียง “ไม้แคะฟัน” ก็เพราะหลังรัฐประหาร 19 กันยายน กันแทบทั้งสิ้น

พวกที่ยังยกมือไหว้กันได้ ก็พวกลัทธิเทวดาที่เห็นตัวเองสูงส่งกว่าชาวบ้านเหมือนกัน จึงยังนับเป็นพวกเดียวกันได้ แต่สำหรับฝ่าย “ประชาธิปไตย” จะมีใครกล้ายกมือว่าเป็นพวกเดียวกับคนอย่าง อานันท์ ประเวศ ธีรยุทธ ฯลฯ บ้าง

ออกมาพูดจากี่ครั้ง ก็ยังย้ำคิดอยู่แต่ว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นความเลวร้าย จิกกัดคนที่เคารพประชาธิปไตยเสียงข้างมากว่าเป็นพวกยึดติด “รูปแบบ”

ทั้งที่ “รูปแบบ” ก็เป็นสิ่งสะท้อน “เนื้อหา” ถ้าเนื้อหาไม่เป็นประชาธิปไตยเสียแล้ว รูปแบบจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไรได้

หรือต้องให้เป็นรูปแบบสรรหาอย่าง “การเมืองใหม่” คนอย่างนายอานันท์ หรือใครต่อใครในบรรทัดเดียวกัน จึงจะให้การยอมรับ

ในแง่นี้ กลุ่มก๊วนอย่าง “พันธมาร” ก็อาจยังน่านับถือมากกว่าที่กล้าแสนอ “รูปแบบ” ของตัวเอง ให้สังคมมองเห็นกันไปเลยว่า นี่เป็นการโต้แย้งของฝ่ายประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย

ต่างจากแก๊งไม้จิ้มฟัน ที่อาศัยความอาวุโสและต้นทุนทางสังคมแต่ก่อนเก่ามาเป็นทุนรอนให้พูดอะไรได้นานสองนาน โดยรับประกันได้ว่าพรุ่งนี้ก็จะมีพื้นที่ในข่าว

ถ้าไม่เรียกว่ากินบุญเก่า ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เพราะที่คนส่วนหนึ่งยังอุตส่าห์ให้ความสนใจ ก็มาจาก “ชื่อ” ทั้งนั้น แต่อ่านไปหลายบรรทัดก็พบว่า เนื้อหาล้วนวนเวียนอยู่ที่เดิม

19 กันยายน ไม่มีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างไร จนบัดนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองมีทางออกร่วมกันอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมจริง แล้วหดหัวไปไหนในวันที่แก๊งข้างถนนก่อเหตุป่วนให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ

หรือเพราะตัวเองก็ผูกติดอยู่กับแก๊งพาลและมาร อย่างยากจะแยกออกจากกัน

ใครที่ยังชอบตื่นเต้นในสิ่งที่คนอย่างประเวศ อานันท์ ธีรยุทธ ฯลฯ ออกมาพูด น่าจะได้ทบทวนสติปัญญาของตัวเองให้มากหน่อย หรืออย่างน้อยก็ตอบตัวเองให้ได้ว่า กล้ายอมรับหรือเปล่าว่าตัวเองไม่ยอมรับประชาธิปไตย ไม่ยอมรับระบอบที่ให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน

เพราะพื้นฐานความคิดของคนเหล่านั้น จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ล้วนอยู่บนฐานที่ว่า ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเองทั้งสิ้น ชาวบ้านที่เลือกตั้งรัฐบาลเข้ามาก็เป็นได้แค่วัวแค่ควาย ที่เลือกรัฐบาลโจรเข้ามาสร้างปัญหาให้ประเทศ คนเหล่านี้จึงเห็นว่ามีแต่รัฐบาลที่เป็นปัญหา แต่แก๊งข้างถนนอย่างพันธมาร หรือพวกที่ชอบอ้างคำว่าภาคประชาชน ทั้งที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชน...ยังไม่ใช่

เพราะคิดและเชื่อกันอย่างนี้ พูดกี่ทีๆ จึงไม่เคยมีอะไรสร้างสรรค์

เป็นไม้จิ้มฟันที่ทิ่มแทงเหงือกให้เลือดไหลซิบเท่านั้นเอง



ถึงเวลา...ปฏิรูปกฎหมาย?

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมของไทย ยังเป็นเรื่องที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แม้จะเชื่อมั่นกันว่า กฎหมายกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบัน สามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดีพอสมควร แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนบ่อยครั้ง

ดังนั้น การปฏิรูปกฎหมายจึงจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ทั้งการปฏิรูปตัวบทกฎหมาย ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย และปฏิรูปความคิดของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม

ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวในการบรรยายเรื่อง “สิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม” ในงานส่งเสริมและพัฒนากระบวนการยุติธรรมไทย โดยระบุว่า

“ยุคเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรมไทย ได้พัฒนามาจากระบบไต่สวนที่ไม่แยกอำนาจหน้าที่การสอบสวนฟ้องร้องกับการพิจารณาพิพากษาออกจากกัน การตรวจสอบความจริงในระบบไต่สวนจึงมีชั้นเดียว คือ การตรวจสอบโดยศาล ในระบบไต่สวน “ผู้ถูกกล่าวหา” เป็น “กรรมในคดี” จึงขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน

ในขณะที่กระบวนการยุติธรรมสมัยใหม่ ซึ่งเป็นระบบกล่าวหา ได้แยกอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบความจริงออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ การตรวจสอบความจริงในชั้นเจ้าพนักงาน และการตรวจสอบความจริงในชั้นศาล โดยกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ต้องหามีสิทธิต่างๆ ในการต่อสู้ทางคดี ซึ่งสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ วิธีพิจารณาคดีอาญาที่ดีต้องตามตำรานั้นได้กล่าวไว้ว่า ต้องมี 3 ส่วน คือ ต้องมีความเป็นเสรีนิยม พูดถึงการคุ้มครองสิทธิ มีความเป็นประชาธิปไตย ยกตัวอย่างเช่น การที่จะพิจารณาพิพากษาต้องกระทำโดยเปิดเผย และเป็นการกระทำเพื่อสังคม ให้สังคมได้รับรู้ ตระหนัก และเห็นว่ากระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ถูกต้อง

อีกทั้งนัยที่สำคัญในตัวกฎหมายประกอบด้วย 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นกฎหมายที่รักษาความสงบเรียบร้อย ประการที่สอง เป็นกฎหมายที่เป็นการคุ้มครองสิทธิ เป็นกฎหมายที่ดูแลให้เกิดความถูกต้อง และเป็นกฎหมายที่วางกรอบการใช้อำนาจ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนก็จะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะการตรวจสอบความจริงที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนในชั้นเจ้าพนักงานนั้นมีความสำคัญสูงสุด จึงต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาเสมอ

ขั้นตอนของการตรวจสอบชั้นเจ้าพนักงาน ต้องเริ่มจากการพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความผิดอาญาหรือไม่ และเป็นความผิดฐานใด และเมื่อเห็นว่าเป็นความผิดอาญาแล้ว จึงเริ่มขั้นตอนพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยาน หลักฐานทั้งปวง เพื่อยืนยันการกระทำนั้นต่อศาล ไม่ใช่เริ่มนำตัวมาจับขังไว้ แต่ต้องเริ่มจากการตรวจสอบความจริง และมีการรวบรวมหลักฐานเพื่อระบุว่าผิดจริงจึงสามารถนำตัวมาได้ และมีการใช้มาตรการบังคับเพื่อการรวบรวมพยานหลักฐาน เช่น การค้นตัว จริงๆ จะต้องกระทำเมื่อถึงคราวจำเป็นและทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ บทบาทการตรวจสอบในการออกหมายค้นและการขอหมายจับของศาล ในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งเป็นการพิจารณาตามหลักเกณฑ์และความจำเป็นของการขอออกหมายค้น หมายจับ ยังไม่แสดงถึงความเป็นเสรีนิยมในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเท่าที่ควร และหลายส่วนก็ยังไม่เป็นไปตามกฎหมายเท่าที่ควร อย่างเรื่องของการขอหมายค้น หมายจับ รวมทั้งความสมบูรณ์ของการแจ้งข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่สมบูรณ์นัก การแจ้งข้อกล่าวหาที่สมบูรณ์จะต้องแจ้งว่าการกระทำของเขาคืออะไร และผิดกฎหมายอย่างไร

ด้านการรวบรวมพยานหลักฐานเสียก่อน และการที่จะดึงตัวเพื่อจะมีจุดมุ่งหมายไว้พิจารณาคือ ประการแรก เพื่อให้การสอบสวนดำเนินไปได้โดยเรียบร้อย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่ได้สอบปากคำผู้ต้องหาก็จะไม่สามารถฟ้องได้ ประการที่สอง จำเป็นที่จะต้องคุมตัวไว้ แต่เมื่อสอบปากคำแล้วเท่านั้น

ซึ่งการที่คุมตัวไว้นั้นจำเป็นหรือไม่ จะต้องตอบคำถามได้ว่าทำไมถึงต้องจำเป็น เช่น การฟ้องจำเป็นที่ต้องมีตัวผู้ต้องหา หรือการพิจารณาคดีก็จำเป็นที่จะต้องมีตัวผู้ต้องหาเช่นกัน

เพราะฉะนั้นในชั้นเจ้าพนักงานมี 2 เรื่องที่จะต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งถ้าไม่มี 2 อย่างนี้แล้วโดยหลักการจะคุมตัวบุคคลไว้ไม่ได้ กระบวนการเอาตัวบุคคลไว้ใต้อำนาจรัฐมันเป็นกระบวนการเดียว นั่นหมายถึงว่า การออกหมายจับหรือการจับตัว การควบคุมขัง ทุกอย่างนี้คือเรื่องเดียวกัน ที่มีเป้าหมายเดียวกัน

ตรงจุดนี้เราควรพัฒนาเรื่องการเคารพสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้อาชีพนายประกันและบริษัทประกันเสรีภาพที่เข้ามาหากินในขั้นตอนการขอประกันตัวของผู้ต้องหา และได้ผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลจากการประกันเสรีภาพ ซึ่งระบบอยางนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งถ้าหากว่าปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว สิ่งเหล่านี้จะถูกกำจัดออกไปจากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ถูกซ้ำเติมซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นประชาชนยากจน กระทรวงยุติธรรมจึงต้องเข้าไปดูแลแก้ไข

ด้านการพิจารณาถึงความจำเป็นลำดับต้น ที่จะพิจารณาดึงตัวบุคคลไว้ภายใต้อำนาจรัฐนั้นคือ มีการหลบหนีและการยุ่งเหยิงในพยานหลักฐาน หรืออย่างเช่น ถ้าปล่อยตัวไปจะกลับไปกระทำผิดซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น ในส่วนของการกระทำผิดร้ายแรงนั้น เป็นประเด็นรองที่ใช้ในการพิจารณา เช่น การกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น ก็สามารถที่จะยอมให้ประกันปล่อยตัวออกไปได้ ถ้าผู้นั้นไม่มีท่าทีที่จะแสดงการหลบหนีหรือยุ่งเหยิงเกี่ยวกับคดี

แต่ว่ามักมีความเข้าใจผิดกันมากว่า ความผิดร้ายแรงเป็นสาเหตุที่เพียงพอในการคุมตัวบุคคล แต่จริงๆ แล้วควรที่จะมีการพิจารณาในหลายด้าน เพราะถ้าให้มีความเสรีนิยมแล้วนั้น ต้องมีองค์ประกอบให้ครบในหลายด้าน

กรณีเรื่องการแจ้งข้อหานั้น แม้จะมีการแก้ไขไปแล้ว แต่ความจริงนั้นยังไม่ถือว่าสมบูรณ์ ซึ่งกฎหมายกล่าวว่า ให้แจ้งการกระทำที่ผู้ต้องหากระทำผิดแล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ

ในส่วนของการเรียกตัวผู้ถูกกล่าวหานั้น ต้องพิจารณาจากความจำเป็นอย่างไร ความจำเป็นนั้นคือ เพื่อต้องการจะสอบปากคำหรือว่ามีทีท่าว่าจะหลบหนี ซึ่งมีการหยิบยกประเด็นนี้มาเป็นที่กล่าวถึงบ่อยมากในช่วงนี้ ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ที่จะมีการสร้างมาตรฐานที่ดีให้เกิดขึ้น

ต่อมานั้นคือ การขอหมายจับก็ต้องเกิดในความจำเป็นที่จะเกิดขึ้นนั้นจากที่มีการกล่าวไว้ก่อนหน้าคือ หลบหนี ยุ่งเหยิงกับคดี หรือว่ามีการกระทำผิดซ้ำ แต่กฎหมายในบ้านเรานั้นพิจารณาจากโทษร้ายแรง นั่นคือ โทษเกิน 3 ปี

ซึ่งตรงนี้นั้นเกิดจากความบกพร่องในข้อกฎหมาย การขอหมายจับในต่างประเทศนั้น จะต้องผ่านพนักงานอัยการ แต่ว่าตามกฎหมายของบ้านเรานั้นไม่จำเป็น สาเหตุที่ต้องมีการผ่านขั้นตอนอัยการก่อนนั้น เพื่อที่จะต้องตรวจสอบโดยชั้นหนึ่งก่อนว่ามีความผิดจริงหรือเปล่า มีเหตุจำเป็นอย่างไร เมื่อผ่านความเห็นของอัยการแล้ว จึงส่งต่อให้กับทางศาลแต่นั้น ไม่ได้หมายความว่าเมื่อศาลได้รับเรื่องแล้วศาลจะต้องอนุญาตโดยทันที แต่ศาลจะต้องนำมาเพื่อพิจารณาอีกขั้นตอนโดยละเอียดรอบคอบ

เพราะฉะนั้นปัญหาในการกระทบกระทั่งสิทธจึงเกิดได้ยาก แต่ว่าในขั้นตอนของกฎหมายไทยนั้นสามารถเกิดได้

ดังนั้น การขอหมายจับในกฎหมายไทยนั้นยังไม่เป็นไปตามกฎหมายเท่าที่ควร ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ภารกิจของผู้พิพากษาจะต้องเป็นบุคคลที่ถือครองความยุติธรรมซึ่งต้องมีความเป็นเสรีนิยมสูงสุด เพราะฉะนั้นในการตรวจสอบการออกหมายจับของศาลนั้น คิดว่ายังขาดความมีเสรีนิยมแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในบทบาทที่ตัวเองซึ่งมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิ

ในด้านการตรวจสอบในชั้นศาล การฟ้องคดีนั้นคือ การยืนยันการกระทำ การยืนยันข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวน แต่จริงๆ แล้วการฟ้องคดีของอัยการนั้นก็ยังไม่ถือว่าถูกต้องตามหลักกฎหมาย ในเรื่องของการบรรยายฟ้องต้องบรรยายการกระทำ ซึ่งการกระทำนั้นเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องใช้ในการพิจารณา แต่ของบ้านเรานั้นทำเพียงแค่ให้ครบองค์ประกอบของกฎหมาย

ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย ซึ่งหากเราพิจารณาในมาตรา 158 การฟ้องต้องมีการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำ แต่ของเรานั้นไม่มีการกระทำใดๆ เลย แม้ว่าพนักงานอัยการจะเห็นผู้ต้องหานี้กระทำโดยป้องกันตนเอง แต่ไม่มีข้อเท็จจริงอะไรเลย ซึ่งไปฟ้องจำเลยว่าฆ่าคนตายนั้นเพราะว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แต่หากศาลเห็นว่าไม่ได้เป็นกระทำที่เกินกว่าเหตุ จะสามารถทำการตรวจสอบได้

แต่การทำงานบ้านเราโดยการทำงานของอัยการนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้เลย และถ้าหากการตรวจสอบความจริงเจ้าพนักงานมีความเกินภาวะวิสัยที่ได้กล่าวเอาไว้นั้น แล้วการฟ้องของอัยการถูกกฎหมายนั่นเท่ากับว่าได้คุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาที่ดี และถูกต้อง

ซึ่งในความคิดเห็นว่า หากขั้นตอนในการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์แล้วนั้น จะไม่มีโอกาสที่จะถูกยกฟ้องได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีการลงโทษได้ถึง 99.61 เปอร์เซ็นต์ แต่ของประเทศไทยเรา ถ้าหากว่าจำเลยปฏิเสธนั้นประกันตัวได้ หรืออาจจะ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเนื่องจากกระบวนการตรวจสอบของเรานั้นยังไม่ดีพอ จึงส่งผลไปถึงศาล

เพราะฉะนั้น สิทธิของผู้ถูกกล่าวนั้นต้องให้ความสำคัญในการดำเนินคดี ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐก็ตาม ควรใช้เท่าที่จำเป็นและตามสมควร สิทธินั้นแบ่งออกได้เป็น 2 หลัก นั่นคือ สิทธิในการกระทำ เช่น มีสิทธิในการให้การ สิทธิในการตั้งทนายซึ่งผู้ต้องหานั้นมีสิทธิที่จะไม่ให้การได้ จะบังคับก็ไม่ได้ ซึ่งกฎหมายมีเขียนไว้ทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นตามนั้น ดังนั้นสิทธิในการอยู่เฉยนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมีระบุไว้ชัดเจนว่าไม่ให้กระทำการใดที่กระทบต่อเสรีภาพผู้ต้องหา

อีกประการต่อมานั้นสำคัญอย่างยิ่ง ที่อยากจะฝากถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นั่นคือ สิทธิในการตั้งทนายของประเทศไทยนั้นยังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ซึ่งกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นผู้พิการทางสายตา หรือมีปัญหาในการได้ยิน ซึ่งบ้านเรายังไม่มีทนายให้นั้น ความจริงมันจำเป็นอย่างมาก

โดยสรุปว่า ตามกฎหมายกระบวนการยุติธรรมไทยในปัจจุบัน สามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดีพอสมควร แต่ทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนบ่อยครั้ง การปฏิรูปกฎหมายต้องทำพร้อมกัน 3 อย่าง คือ ปฏิรูปตัวบทกฎหมาย ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมาย และปฏิรูปความคิดของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม

ผมคิดว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยงานใหม่ เป็นมิติใหม่ของสังคมไทย ที่จะปฏิรูปความคิดของคนในองค์กรได้ และจะทำให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนได้”


ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา : บทเรียนคนปากไม่มีหูรูด

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

ลักษณะเหมือน “เจ้าลัทธิ” ไปแล้วทุกวัน สำหรับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล

ภาพผู้ชุมนุมที่พากันร้องห่มร้องไห้เมื่อแกนนำของตัวเองถูกออกหมายจับ โทษฐานมีถ้อยคำปราศรัยที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มันชวนให้สงสัยและขนลุกไปพร้อมๆ กันว่า พวกเขากำลังรู้สึกอะไร และนายสนธิเป็นใคร

ถ้ามั่นใจว่าไม่มีความผิด แล้วทำไมต้องตีบทโศกกันไปก่อน ราวกับจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้วในโลกนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าลัทธิลิ้มออกอาการ “ปากพล่อย”

โทษผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการพูดจาพาดพิงใส่ร้ายผู้อื่น ก็มีติดตัวเป็นหางว่าว

แต่เพราะความสามารถในการเป่ากระหม่อมเสกคาถาหรืออย่างไรไม่ทราบได้ จึงยังมีผู้คนมากมายยินยอมพร้อมเคียงข้าง เพื่อสร้างความชอบธรรมและยิ่งใหญ่ให้อยู่เสมอ

และนั่นก็ยิ่งทำให้เหิมเกริม ไม่ติดหูรูดที่ปากอีกต่อไป

นึกอยากจะพูดโกหกตอแหลแค่ไหนก็พูดได้ อย่างไม่เกรงกลัวว่าจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง

ก็ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ถึงขนาดมี “รถถัง” หนุนหลัง...แล้วยังจะกลัวอะไรอีก

โรคปากไม่มีหูรูดนี้ ยังเผื่อแผ่เจือจานไปถึงมือซ้ายมือขวารอบข้างอย่างทั่วถึงกัน และทำเป็นกระบวนการอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ออกอากาศทุกวันผ่านจานดาวเทียม

ใครคิดเห็นไม่เหมือนกับตัวเอง เป็นได้เข้าสู่ทำเนียบแห่งการบิดเบือนความจริงของนายลิ้ม ลูกน้องนายลิ้ม และสื่อนายลิ้มทั้งสิ้น

เป็นแค่คนสองคนยังพอเข้าใจ แต่เป็นกันทีละมากๆ และหลายคนยังดูเหมือนจะฉลาด คิดไตร่ตรองเองได้

แต่ก็ไม่รู้ทำไม พร้อมใจกันหน้ามืดตามัว เดินหลงเข้าสู่กระบวนการนี้กันหมด

อาการผยอง ลำพอง จนคิดว่าจะสั่งประเทศไทยซ้ายหันขวาหันได้ดังใจนี้ ปรากฏออกมาให้เห็นโดยตลอดและต่อเนื่อง

ถึงกับขนาดจะสั่ง “กองทัพ” ให้ทำรัฐประหาร...ก็ผ่านมาแล้ว

ล่าสุด กล้าแม้กระทั่งเอาคำพูดที่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า “หมิ่นเหม่” มาประกาศซ้ำปาวๆ อยู่บนเวทีของตัวเอง

งานนี้จะอ้างว่าเป็นปากคนอื่นพูด ก็อ้างไม่ขึ้นเสียแล้ว

เหตุเดียวที่ตัวเองไม่ยั้งคิด ไม่เกรงกลัวความผิด ก็เพราะหลงคิดไปว่า ตัวเองเป็นเจ้าของประเทศนี้ นึกจะพูดอะไรก็พูดได้

พูดพล่อยมาตั้งไม่รู้เท่าไร ยังรอดมาได้จนป่านนี้

เพียงแต่หนนี้ไม่มีโอกาสให้ปากมากได้อีก เมื่อปากที่หนึ่งโดนดำเนินคดี ปากที่สองอย่างนายสนธิก็จำต้องโดนด้วย ไม่อาจทำสองมาตรฐาน

ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าพนักงานจะไม่สองมาตรฐานจริงเหมือนดังที่กล่าวออกมา

เพราะเบื้องต้น แม้แต่กระบวนการพาตัวมาที่โรงพัก หรือกระทั่งการยินยอมให้ประกันตัว ก็ทำประชาชนจำนวนมากไม่ค่อยสบายใจแล้วว่า มาตรฐานจะไม่เท่ากัน

นอกจากคดีสำคัญนี้แล้ว นายสนธิก็ยังพาดพิงอย่างไร้นำหนัก ไร้ความรับผิดชอบ ไปยังอดีตนักการเมืองบางคนด้วยอีก...

เชื่อมโยงว่ามีความเกี่ยวพัน สนับสนุนอยู่เบื้องหลังผู้ที่ดูหมิ่นเบื้องสูง

เข้าตำราจับแพะชนแกะอีกคำรบหนึ่ง

งานนี้เจ้าทุกข์จึงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรม ให้คนปากเสียหุบปากไปตามระเบียบ

แต่ดูประวัติแล้ว แค่หุบปากชั่วคราวไม่น่าจะพอ

ควรใช้กฎหมายดำเนินมาตรการเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนทั้งประเทศได้เห็นอีกด้วย

ว่าคนเรา พูดก็พูดได้ แต่ต้องรับผิดชอบ

และยิ่งพูดอย่างรู้แก่ใจว่ากำลังโกหกพกลม

ยิ่งต้องเพิ่มความรับผิดชอบเป็นเท่าทวีคูณ



มือกำจัดสิ่งกีดขวางความเจริญ

ทุกครั้งที่พรรคพลังประชาชนต้องใช้แง่มุมทางกฎหมายขึ้นต่อสู้ เหลี่ยมเชิง ลีลา จังหวะการเข้าทำเพื่อความได้เปรียบ นาทีนี้ไม่มีใครเกิน ศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รองโฆษกพรรคพลังประชาชน นักกฎหมายมือหนึ่งที่ทำงานเพื่อพรรคอย่างทุ่มเท

ความเป็นคนครบเครื่องต้มยำ เชิงบุ๋นวางหมากล่วงหน้าห้าชั้นเป็นอย่างน้อย (ฐานกรุณา) แนวบู๊ยิ่งบู๊ได้ใจ งานภาคสนามจึงเป็นภาระในมือ ศุภชัย ใจสมุทร แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าเปิดประเด็นไหนขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามหนาวๆ ร้อนๆ ไข้ขึ้นไปตามๆ กัน เขาผู้นี้แหละครับ ที่งัดกลยุทธ์ช่วยเด็กนักเรียนราชวินิตมัธยม กำจัดสิ่งกีดขวางความเจริญที่สะพานชมัยมรุเชฐ ให้ต้องถ่อยร่นไม่เป็นขบวนดังทัพพ่ายศึก ไปตั้งหลักที่สะพานมัฆวานฯ อย่างน่าสมเพชเวทนา

ศุภชัย ใจสมุทร ให้สัมภาษณ์ประชาทรรศน์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 78 วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม – วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2551 กล่าวถึงเบื้องหลังการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญปกป้องสิทธิเด็กนักเรียน จากการล่วงละเมิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมปิดถนน สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น พร้อมฟ้องอีกหากมีคนเดือดร้อนขอมา ชี้พวก “อนาธิปไตย” ไปที่ไหนเดือดร้อนที่นั่น ตีคนไทยด้วยกันเลือดตกยางออก เผย พปช. เดินหน้าแก้ รธน. ต่อไปนี้ “ชนเป็นชน” ส่วน กกต.-ป.ป.ช. ไม่รอดแน่ ส่อก้าวล่วง “พระราชอำนาจ” ชัดเจน ซ้ำยังต้องคืนเงินเดือนอีกด้วย พร้อมมุมมองทางการเมืองในอนาคตอย่างน่าสนใจ

“การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความเดือดร้อนกับคนในกรุงเทพฯ มาตลอด แต่เนื่องจากว่าลักษณะนิสัยของคนในเมืองหลวงหรือเมืองไหนๆ ก็ตาม อะไรที่พยายามทนได้...ก็ทนกันไป แม้จะเดือดร้อน แต่กรณีเรื่องของการชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และย้ายไปอยู่ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล ไปรบกวนการเรียนการสอนของโรงเรียนราชวินิตมัธยม เขาได้รับความเดือดร้อนมาก

ผมเคยพูดมาตลอดว่า ใครเดือดร้อน “ผมยินดีที่จะช่วยเหลือ” ใครที่รับอาสาเป็นโจทก์ ผมยินดีที่จะช่วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดแล้วมีอาจารย์โรงเรียนราชวินิตฯ กล้าที่จะมาต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่ากลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มพลังที่ไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย เมื่อครูอาจารย์ทั้งหลายกล้า...ผมจัดการที่จะช่วยในการฟ้องคดีนี้ ผลที่ได้รับมาส่วนหนึ่งคือ หลังจากที่ได้รับการยื่นฟ้องแล้ว โจทก์ได้ทำการขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวโดยยื่นคำร้องไต่สวนฉุกเฉิน ศาลมีคำสั่งอย่างที่ทราบกัน...

ซึ่งผลนี้มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ อันแรกคือ ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน 2.นี่เป็นแนวทาง แม้จะไม่ได้เป็นบรรทัดฐานสุดท้าย แต่ว่าการที่ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ถือได้ว่าการที่ใครก็ตามจะไปอ้างสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม ที่อ้างว่าโดยปราศจากอาวุธในการชุมนุม ที่สุดแล้วการใช้เสรีภาพนั้นต้องมีขอบเขต ที่ศาลได้มีคำสั่งออกมาให้เห็นชัดเจนอยู่ อย่างในคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว คือว่าจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับคนอื่น

โดยเฉพาะถ้าการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมสาธารณะ เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นบรรทัดฐานสำหรับการชุมนุมในที่อื่นๆ ด้วย เสรีภาพในการชุมนุมไม่มีใครปฏิเสธว่าจะไม่มี หรือจะกระทำไม่ได้ แต่มันต้องมีกรอบ กรอบของมันคือ ถ้าคุณชุมนุมเป็นที่เป็นทาง ในสนามอะไรก็ตาม ถือว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นการชุมนุมแล้วเกินสมควร ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ทำไม่ได้

นี่เป็นเรื่องของการตีความ แต่พันธมิตรฯ อ้างตลอด มาตรา 63 ในรัฐธรรมนูญ เป็นการอ่านและอ้างเฉพาะในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง แต่ไม่ได้อ้างทั้งฉบับ วันนี้ศาลได้ชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมอ้างมาตรา 63 วรรคต้นอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องดูมาตรา 63 วรรค 2 หรือวรรคอื่นด้วย ผมว่าวันนี้พันธมิตรฯ ยังตะแบงอยู่ ที่แน่ๆ เวลานี้คดีที่สะพานชมัยมรุเชฐคือว่าต้องดำเนินต่อไปเพื่อเป็นบรรทัดฐาน คือ ศาลจะต้องมีคำพิพากษาออกมา แต่การที่ย้ายไปชุมนุมที่ราชดำเนิน สะพานมัฆวานฯ

ตรงนี้ถือได้ว่า การกระทำนั้นของพันธมิตรฯ ยังเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่นอยู่ ผมยังยืนยันว่าการกระทำในปัจจุบันของเขาเป็นการกระทำที่ไม่สามารถอ้างรัฐธรรมนูญได้ ตามความหมายเดียวกับคดีที่ชมัยมรุเชฐ...จริงๆ สิ่งที่พันธมิตรฯ หรือกลุ่มที่อยู่บนเวทีพันธมิตรฯ อาจจะไม่รู้อย่างหนึ่งว่า ที่หลายคนที่กล่าวอ้างการรักชาติบ้านเมือง รักประชาชนเนี่ยนะครับ เป็นการที่ยกย่องตัวเองไป ในความจริงแล้ว ก่อนที่ผมจะเข้ามาสู่การเมือง ผมเคยทำงานในองค์กรสิทธิมนุษยชนมานาน คือ สสส.

ซึ่งเป็นสมาคมเพื่อต่อสู้กับเผด็จการมาตลอด ผมเป็นประธานชมรมนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นทนายความ ผมเป็นเลขานุการชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งมี คุณสมชาย นีละไพจิตร เป็นนักต่อสู้ เป็นประธาน ผมเป็นเลขาธิการมูลนิธิ นายผี-อัศนี พลจันทร ซึ่งเป็นองค์กรที่ล้วนแล้วแต่ทำงานเพื่อปกป้องประชาชนต่อต้านเผด็จการ ผมเป็นกรรมการของสมาพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลกประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้ยูเอ็น

ฉะนั้น หลายสิ่งที่พูดมาไม่ใช่เพื่อโอ้อวด แต่จะบอกว่าความเป็นตัวตนของผมในการที่จะต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมือง ไม่ได้น้อยกว่าพวกที่ยืนบนเวทีพันธมิตรฯ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ผมทำมานาน ฉะนั้นกรณีที่ผมช่วยโรงเรียนราชวินิตฯ ปกติแม้ผมจะไม่ได้อยู่ในสถานะความเป็นนักการเมือง ผมช่วยมานาน ช่วยมาตลอด ไม่คิดหวังเงินทอง กับชาวบ้านชาวช่อง เรื่องเขื่อนปากมูลผมก็ช่วย “ยายไฮ” (นางไฮ ขันจันทา ผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนห้วยละห้า กิ่ง อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี) รู้จักผมดี ผมช่วยแกมาตลอด ไม่มีใครรู้ดีมิติของนายศุภชัยในมุมนี้!!

ฉะนั้นเมื่อโรงเรียนนี้เดือดร้อนผมมาช่วย ยิ่งผมเป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรคพลังประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพันธมิตรฯ ผมจึงยิ่งเต็มใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะช่วย ผมบอกเลยว่าไม่คิดที่จะอยู่เบื้องหลังคดีนี้ แต่เต็มใจจะอยู่เบื้องหน้าอยู่แล้ว เพียงแต่พันธมิตรฯ อาจจะหลงไป ผมไม่ใช่ประเภทเล่นลับหลัง ผมชอบแบบซึ่งหน้า วิธีการของผมคิดแบบนี้มาตลอด เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่อยากให้เข้าใจว่าสิ่งที่คุณด่าผมไม่เป็นไร ในขณะที่คุณด่าผมนะ มีอีกปีกหนึ่งที่เขาชื่นชมผมนะ เอาเป็นว่าคนกลางๆ ที่ไม่เชียร์ผม เขาต้องรู้สึกว่าผมตั้งใจ แต่คนที่รู้จักผมดี เขาบอกว่าไม่แปลกใจกับสิ่งที่ผมทำ เพราะผมทำมาตลอดชีวิต...”

ศุภชัย ใจสมุทร เรียกร้องให้ผู้ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ยินดีให้คำปรึกษาทางกฎหมายเต็มที่ ทั้งวิจารณ์แกนนำพันธมิตรฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่จะเข้าชื่อถอดถอนผู้พิพากษาศาลแพ่งที่ตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยว่า อาจทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

“สิ่งที่ผมอยากเรียกร้องไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง สิ่งที่เขาว่ากล่าวผมเสียๆ หายๆ ผมก็มีข้อมูลหมดแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากจะเรียกร้องคือ เวทีพันธมิตรฯ ใช้วาจาผรุสวาท การด่าทอคนโดยไม่มีเหตุผล การเอาเรื่องส่วนตัวคนมาพูด ซึ่งสิ่งที่จะบอกคือว่า ทำเช่นนั้นขัดกับที่แกนนำทั้งหลายได้ป่าวประกาศว่าการชุมนุมเป็นการชุมนุมโดยสงบ สงบนี้ต้องสงบทั้งกาย วาจา ใจ คุณไม่มีวจีสุจริต คุณด่าทอเขา ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง บอกว่า “พวกเรามาทำบุญ เราทำบุญ เรามาทำบุญเพื่อประเทศชาติ” แต่มันสวนทางกับการกระทำ!!

วันนี้สิ่งที่อยากเรียกร้องคือ ใครก็ตามที่ถูกล่วงละเมิดจากเวทีนี้ การใช้ถ้อยคำซึ่งเป็นคำหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา อยากเรียกร้องท่านทั้งหลายไปดำเนินคดีกับพวกที่พูดจาถึงท่านเสียเถอะ การที่เอเอสทีวีมีการแพร่ภาพไปทุกจังหวัด ท่านสามารถไปดำเนินคดีได้ ไม่ใช่เพื่อเล่นงานพันธมิตรฯ แต่เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของเรา วันนี้เราจะปล่อยให้กลุ่มเถื่อน...ถ่อย!!! เข้ามาทำให้บ้านเมืองเสื่อมอีกเนี่ยมันไม่ควร ในวันนี้ยิ่งท่านละเลยที่จะไม่ดำเนินการกับกลุ่มพวกนี้ ยิ่งทำให้กลุ่มพวกนี้เหิมเกริม ผมเรียกร้องให้ท่านไปดำเนินการเสีย…เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย!!! ที่มีกลุ่มหรือบุคคลกล้า หรือบุคคลที่บังอาจกล้าวิจารณ์การทำงานของศาลยุติธรรม

โดยเฉพาะการทำงานของศาลที่พิจารณาพิพากษาคดี ผมได้ดูเอเอสทีวีหลังจากที่ศาลตัดสิน วันนั้นกลุ่มแกนนำได้กลับไป และมีการพูดบนเวที อ่านคำสั่งศาลให้ผู้ชุมนุมฟัง วันนั้นผมตกใจ! ผมได้ยินเสียงโห่ร้องในทำนองไม่พอใจศาล ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นอารมณ์โกรธของมนุษย์ ผมเข้าใจได้ แต่รุ่งขึ้นกลับปรากฏว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กลับมีการพูดจาว่าจะมีการรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษา 2 ท่านนั้น เป็นเรื่องซึ่ง ถ้ากรณีมีการทำอย่างนั้นจริง ผมคนหนึ่งแหละที่จะออกมาต่อสู้เพื่อท่านทั้งสอง ไม่ใช่ว่าเพราะท่านตัดสินถูกใจผม แต่ประเด็นคือ บ้านเมืองต้องยอมรับว่าสถาบันศาล หรืออำนาจตุลาการ ได้หยิบยกขึ้นมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินสมควรในบางกรณี ซึ่งเราอาจจะต้องยอมรับในบางสถานการณ์

แต่กรณีที่ศาลได้พิจารณาพิพากษาคดีตามปกติ เป็นเรื่องของครูที่ฟ้องพันธมิตรฯ และพันธมิตรฯ ก็แสดงความรู้สึกไม่พึงพอใจ แล้วคิดจะไปเล่นงานศาลเช่นนั้น ผมคิดว่าคนไทยที่ได้ยินได้ฟังเขาทนไม่ได้...คงไม่ใช่เฉพาะผม เพราะอย่าลืมว่าผู้พิพากษาทั้ง 2 ท่าน ในฐานะส่วนบุคคลท่านไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดี แต่ในฐานะที่ทำไปเป็นผู้พิพากษาที่ได้กระทำในพระปรมาภิไธยในพระมหากษัตริย์ การใช้ถ้อยคำของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง วันนั้น ผมรู้สึกว่าเหมือนกับ ไม่ยอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ ที่กระทำในพระปรมาภิไธยในพระมหากษัตริย์!!

ขณะที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวอ้างเรื่องจงรักภักดี แต่การกระทำกลับส่อว่าจะสวนทางกับสิ่งที่พูด ไม่รวมกรณีที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับ ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่วันนี้กลายเป็นแกนนำสำคัญในเวทีที่กล่าวอ้างว่ามีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ฉะนั้นเวทีพันธมิตรฯ พูดอย่าง การกระทำแตกต่างเป็นอีกอย่างอยู่เสมอ แม้แต่วันนี้การที่ตั้งกลุ่ม “พลังแผ่นดิน” ผมถือว่ากรณีนี้เป็นการที่ กลุ่มพันธมิตรฯ บังอาจเหิมเกริม เพราะอย่าลืมว่า พระนามของในหลวงองค์ปัจจุบันคือคำว่า “ภูมิพล” ซึ่งแปลว่า “พลังแผ่นดิน” ตลอดระยะเวลาที่มีการกล่าวถึง “พลังแผ่นดิน” เรากล่าวโดยมีนัยว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นไปเพื่อพระองค์ท่าน แต่วันนี้กลุ่มการเมืองข้างถนนพยายามที่จะดึงเอาคำนี้มา เพื่อให้คนเกิดความเข้าใจในทิศทางที่อาจจะก่อให้เป็นการระคายเคืองพระยุคลบาทของพระองค์ท่านก็ได้...”

ทนายความนักสู้ท่านนี้ยังกล่าวถึงสถานภาพของ ป.ป.ช. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างหนักแน่นว่า “ผมยังยืนยันว่ายังไม่ได้มีการปฏิบัติครบถ้วนตามกฎหมาย คุณเข้าสู่ตำแหน่งครบถ้วนตามขั้นตอน เราไม่ปฏิเสธว่า คปค. มีอำนาจให้คุณเข้ามานั่งในตำแหน่งต่อ แต่คุณจะปฏิบัติหน้าที่ได้ต่อเมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์ เมื่อเขามานั่งทำงานตรงนี้โดยไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระมหากษัตริย์...ถือว่าเขาได้ก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และมันจะมีเรื่องตามมาเยอะว่า การทำงานของคุณจะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเข้ามานั่งอยู่บนเก้าอี้นี้กับการทำงานมันคนละส่วนนะ

ถ้าคุณจะเริ่มขยับมาทำงานคุณก็ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ ก่อน...พลังประชาชนเป็นพรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เราไม่ต้องการรัฐธรรมนูญ 2550 ตั้งแต่เริ่มแรก แต่วันนี้ชะลอมา ผมว่าไม่มีความจำเป็นแล้ว ตอนนี้เราต้องอ้างประชาชนที่สนับสนุนเราอยู่ ถ้าจะชนต้องชนกัน ถ้าพันธมิตรฯ เห็นว่ามีจำนวนประชาชนที่อยู่ข้างถนนแล้วเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ผมก็จะบอกว่าวันนี้ ส.ส. พรรคพลังประชาชน จะถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ลองกันดู ผมว่าไม่งั้นบ้านเมืองเสียหายทุกภาคส่วน”

วางแผงแล้ววันนี้ เนื้อหาแน่นปึ้ก แนวทางการต่อสู้ครบครัน อย่าช้าครับท่าน


วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทักษิณไม่ล้างแค้นกรวดน้ำอโหสิพวกจองเวร

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 ก.ค. ที่อาคารชินวัตร 3 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดชั้น 33 เพื่อรับการอวยพรล่วงหน้าเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 59 ปี ในวันที่ 26 ก.ค. โดยมีผู้เข้าอวยพรอย่างเนืองแน่นทั้งรัฐมนตรี ส.ส.พรรคพลังประชาชน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 อาทิคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายสุธรรม แสงประทุม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายพงศกร อรรณพพร นายบุญลือ ประเสริฐโสภา รมช.ศึกษาธิการ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวัน อยู่บำรุง ลูกชายและตัวแทนของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย และ พล.อ.พรชัย กรานเลิศ

แฟนคลับแห่เชียร์-ร่วมถ่ายรูป

สำหรับบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้เข้าอวยพรต่อแถวรอมอบกระเช้าดอกไม้ยาวเหยียด ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สอบถามทุกข์สุขกับทุกคนอย่างอารมณ์ดี โดยมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว คอยให้การต้อนรับแขกเหรื่อ ส่วนลูกทั้ง 3 คน ของ พ.ต.ท.ทักษิณคือนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา น.ส.แพทองธาร ช่วยกันแจกหนังสือ Thailand on the world state (ประเทศไทยบนเวทีโลก) ซึ่งเป็นหนังสือรวบรวมสุนทรพจน์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวบนเวทีโลก ระหว่างปี 2003-2008 แจกผู้มาอวยพร ขณะที่บริเวณด้านล่างของอาคารก็คึกคักไปด้วยกลุ่มแฟนคลับคนรักทักษิณและกองเชียร์เสื้อแดงราว 300 คน กระทั่งเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมด้วย น.ส.พิณทองทา และ น.ส.แพทองธาร ลงมาที่ชั้นล่างเพื่อพบกับกองเชียร์ โดย พ.ต.ท.ทักษิณมีสีหน้ายิ้มแย้มเปิดโอกาสให้บรรดาแฟนคลับได้มอบดอกไม้อวยพรวันเกิด และถ่ายรูปร่วมกันอย่างใกล้ชิดทีละคน เป็นเวลา 40 นาที

วอนหยุดแบ่งฝ่ายทำร้ายกัน

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณคว้าโทรโข่งของแกนนำกองเชียร์มากล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่รักและห่วงใยมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่ระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ ก็ได้ ช่วยกันเรียกร้องต่อสู้กับเผด็จการเพื่อให้ตนได้กลับมา วันนี้แม้จะกลับมาแล้ว เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบ เนื่องจากความไม่เข้าใจกันในหมู่คนไทย จึงอยากให้ทุกอย่างกลับ เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ตนพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะอยากให้เหตุการณ์ทุกอย่างสงบและยุติโดยเร็ว แต่ ถ้าต่างคนต่างกลั่นแกล้งทำร้ายกันและกัน แบ่งแยกพวกกูพวกมึง คงยุติยาก หวังว่าสักวันคงคิดกันได้ว่าเราคนไทย ด้วยกัน ดังนั้น ตราบใดที่มีความรักความผูกพันและความ เป็นไทยต่อกัน คิดว่าจะผ่านพ้นวันแห่งความวุ่นวายที่ เป็นมาแล้ว 3 ปีได้

กรวดน้ำอโหสิให้พวกจองเวร

ผมอยากฝากว่า ผมเข้าวัดทำบุญนั่งสมาธิ อโหสิกรรมทุกวัน กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้จองเวรทั้งหลายตลอดเวลา ตัวผมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือประเทศ อยากเห็นชีวิตคนไทยดีขึ้น หวังว่าคนไทยทุกคนจะให้อภัยกัน และนำความสันติกลับสู่ประเทศโดยเร็ว พวกเรา เป็นผู้รักสันติ และอยู่ในกรอบตลอดเวลา แต่ขณะนี้บ้านเมืองเริ่มไม่มีกรอบกันมากขึ้น จึงอยากให้ทุกคนอดทนกันต่อไป สักวันสิ่งที่ดีย่อมชนะสิ่งที่ไม่ดี วันนี้เขาไม่เข้าใจเรา สักวันเขาจะเข้าใจเรา เมื่อเข้าใจเรา ก็จะรู้ว่ามันเสียหายไปเยอะแล้วพ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ยันไม่คิดล้างแค้นศัตรูเก่า

หลังพบปะกองเชียร์แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวถึงของขวัญวันเกิดที่อยากได้ในปีนี้ว่า อยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ ไม่อยากเห็นความขัดแย้งมากมายแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้ไม่ได้กระเทือนขวัญและความรู้สึกคนไทยเท่านั้น แต่คนทั้งโลกที่ติดตามและรักประเทศไทย เห็นประเทศไทยมีสันติ เป็นสยามเมืองยิ้ม ขอให้ทุกฝ่ายรู้ว่าผู้ที่ทำอะไรไม่ดีต่อตน ตนไม่ได้คิดล้างแค้นเจ็บใจ ตรงข้ามคิดว่าคนเรามีอารมณ์ ความรู้สึกกันได้ แต่อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ให้ประเทศเข้าสู่ความปรองดอง ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยวันที่ 12 ส.ค.นี้ อยากให้ทุกคนได้รวมใจกัน ถ้าใคร บอกว่ารักเจ้านายก็ต้องมาร่วมใจกัน หันหน้าเข้าหากัน

ต่อข้อถามว่า อยากฝากอะไรกรณีกลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มต่อต้านใช้กำลังและอาวุธปะทะกันที่ จ.อุดรธานีจนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า เราคนไทยด้วยกัน หันไปทางไหนก็คนไทยทั้งนั้น สู้เก็บแรงเก็บสมองเก็บปัญญาไว้ต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบประเทศไทยดีกว่า อย่าห้ำหั่นฆ่าฟันกันเองเลย ขอให้ปล่อยวาง อย่าถือทิฐิใส่กันมากเกินไป ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน หันหน้าเข้าหากันดีกว่า

ขออยู่ ตปท.หลังเคลียร์ปัญหาเสร็จ

เมื่อถามว่า หากมีการเรียกร้องให้กลับมาแก้ปัญหาบ้านเมืองอีกครั้ง จะตัดสินใจอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ไม่หรอก ในใจผมเองจริงๆแล้วอยากให้เสร็จเรื่องเสร็จราวของผม แล้วอยากจะไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศเมื่อถามว่า สิ่งที่รอให้เสร็จเรื่องเสร็จราวรวมถึงเรื่องคดีความต่างๆใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ก็ทำไป คือตนเคารพกติกา และอยากขอร้องให้ทุกฝ่ายรวมถึงคนที่กลั่นแกล้งตน ขอให้เคารพในกติกาด้วย เมื่อถามว่าที่อยากไปทำมาหากินต่างประเทศ เพราะถอดใจไม่อยากอยู่ประเทศไทยแล้วใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า อยากให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ตอนนี้ไปทำสโมสรแมนฯซิตี้กำลังจะเปิดฤดูกาล คงต้องไปดูแล ส่วนจะขอเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งเมื่อใดนั้น ต้องดูภารกิจที่จะต้องออกไปก่อน

นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่า วันที่ 26 ก.ค. นี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะตักบาตรร่วมกับครอบครัว ไม่ได้เดินทางไปฉลองที่ จ.เชียงใหม่ เพราะคนในครอบครัวต้องการความเป็นส่วนตัว จึงน่าจะเป็นเพียงการจุดเทียนและเป่าเค้กกันภายในครอบครัวมากกว่า


อ่านรายละเอียดต่อ ไทยรัฐ


สมัคร เลี่ยงพูดประเด็นการเมืองในรายการ สนทนาประสาสมัคร

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ถึงกรณีที่ได้พูดกฎหมายลูก กฎหมายหลาน โดยได้ยกตัวอย่าง พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ทีวีสาธารณะ ที่ออกมาบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2551 ว่า เป็นกฎหมาย “หลาน” เพราะกฎหมาย “แม่” คือ พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เพิ่งออกมาบังคับใช้ 5 มีนาคม 2551 ส่วนกฎหมาย “ยาย” คือ พ.ร.บ.องค์การจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ยังไม่ออกมาบังคับใช้ ดังนั้น กฎหมาย “หลาน” คือ กฎหมายทีวีสาธาณะที่ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ไทยทีบีเอส เป็นการชิงออกมาก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ในวันนี้ ได้มีการพูดถึงเรื่องทั่วๆ ไป เช่น การถวายพระพร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพทรงเจริญพระชนมายุ 56 พรรษาในวันพรุ่งนี้ (28ก.ค.) หรือเรื่องการใช้ภาษาไทย โดยไม่มีประเด็นทางการเมืองแต่อย่างใด.-สำนักข่าวไทย


อัพเดตเมื่อ 2008-07-27 11:13:40




‘เฉลิม'เร่งแก้ปัญหายาเสพติดเพื่อ‘ทักษิณ'


มท.1ขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปร่วมกิจกรรมรวมพลคนฮักทักษิณ ที่จัดขึ้นโดยชมรมคนรักทักษิณเชียงราย ณ บริเวณด้านหน้าโรงแรมแสนภู จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้เพื่อร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 59 ปี ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีประชาชนมาร่วมกิจกรรมนับพันคน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวบนเวทีว่า พันตำรวจโททักษิณ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจ สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ พร้อมกันนี้ ยังขอความร่วมมือให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ให้ช่วยกันแก้ไขปัญหายาเสพติดเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรด้วย

จากนั้น ประชาชนชมรมคนรักทักษิณ ได้ร่วมกับประชาชนในจังหวัดเป่าเค้กและร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร้องเพลงเชียงรายรำลึก และเพลงทำบุญร่วมชาติ โดยประชาชนคนรักทักษิณเชียงราย ได้ต่อโทรศัพท์ถึงพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เพื่ออวยพรวันเกิดพร้อมกับประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่มาร่วมกิจกรรมด้วย

จาก thai-grassroots

โปรดเกล้าฯ‘เตช'เป็นรมว.ตปท.

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า แต่งตั้ง นายเตช บุนนาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว
ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี
(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 29 มกราคม พุทธศักราช 2551 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2551 และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ 23 พฤษภาคม พุทธศักราช 2551 นั้น
บัดนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่งสมควรแก่การแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้
นายเตช บุนนาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 26 กรกฎาคม พุทธศักราช 2551เป็นปีที่ 63 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
นายสมัคร สุนทรเวช
นายกรัฐมนตรี

จาก thai-grassroots

‘ทักษิณ'วอนคนไทยปรองดองเพื่อในหลวง


เนื่องในวันคล้ายวันเกิดซึ่งตรงกับวันที่ 26 ก.ค.นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าววิงวอนคนไทยทุกฝ่ายร่วมกันยุติความขัดแย้ง และหันมาปรองดองกันเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง และพระราชินี

(25 ก.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวกับกลุ่มแฟนคลับที่ให้กำลังพร้อมทั้งรับดอกไม้ของขวัญวันเกิดที่ตรงกับวันที่ 26 ก.ค. และได้ถ่ายรูปแจกลายเซ็นให้กับประชาชนเป็นเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้คว้าโทรโข่ง(เครื่องขยายเสียงมือถือ)ของแกนนำแฟนคลับ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคน ที่แสดงความรักความห่วงใยแก่ตนมาตลอด โดยเฉพาะตอนที่ต้องไประหกระเหินอยู่ต่างประเทศ ก็ได้ช่วยกันส่งกำลังใจ และเรียกร้องต่อสู้กับเผด็จการเพื่อให้ตนได้กลับมา

อดีตนายกฯกล่าวต่อว่า วันนี้แม้จะกลับมาแล้ว เหตุการณ์ก็ยังไม่สงบ เนื่องจากความไม่เข้าใจกันในหมู่คนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครพึงปรารถนา จึงอยากให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ตนได้แต่เรียกร้องวิงวอน และพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะอยากให้เหตุการณ์ทุกอย่างสงบและยุติโดยเร็ว แต่ถ้าต่างคนต่างกลั่นแกล้งทำร้ายกันและกัน คงยุติยาก หากทุกคนยังคิดว่าเป็นคนไทยด้วยกัน ต้องรวมพลังกันไว้ ถ้าเรานึกตรงนี้ก็ไม่ยากที่จะยุติปัญหา แต่ถ้าคิดว่าเป็นพวกกูพวกมึง ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน มันก็ลำบาก หวังว่าสักวันคงคิดกันได้ว่า เราคนไทยด้วยกัน ดังนั้น ตราบใดที่เรามีความรักความผูกพันและความเป็นไทยต่อกัน คิดว่าจะผ่านพ้นวันแห่งความวุ่นวายที่เป็นมาแล้ว 3 ปีได้ ความไม่สงบของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น คนที่เดือดร้อนมากที่สุด คือคนไทยที่หาเช้ากินค่ำ คนยากจน ส่วนคนที่กินเงินเดือนคงเดือดร้องไม่มากเท่า แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ประเทศชาติเสียหาย

"ผมอยากฝากว่า ผมเข้าวัดทุบุญนั่งสมาธิ อโหสิกรรมทุกวัน กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้จองเวรทั้งหลายตลอดเวลา ตัวผมนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่คือประเทศ อยากเห็นชีวิตคนไทยดีขึ้น หวังว่าคนไทยทุกคนจะให้อภัยกัน และนำความสันติกลับสู่ประเทศโดยเร็ว พวกเราเป็นผู้รักสันติ และอยู่ในกรอบตลอดเวลา แต่ขณะนี้บ้านเมืองเริ่มไม่มีกรอบกันมาขึ้น จึงอยากให้ทุกคนอดทนกันต่อไป สักวันสิ่งที่ดีย่อมชนะสิ่งที่ไม่ดี วันนี้เขาไม่เข้าใจเรา สักวันเขาจะเข้าใจเรา เมื่อเข้าใจเรา ก็จะรู้ว่ามันเสียหายไปเยอะแล้ว หวังว่าทุกคนจะอดทน และจะอยู่ในกรอบต่อไป" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ตนอยากเห็นความปรองดองของคนในชาติ ไม่อยากเห็นความขัดแย้งที่มีอยู่มากมายแบบนี้ ขอเรียนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันนี้ มันไม่ใช่กระเทือนขวัญคนไทยเท่านั้น แต่คนทั้งโลกที่เขาติดตามประเทศไทย ที่รักประเทศไทย ที่เคยมาเที่ยวมาลงทุนในประเทศไทย ต่างก็บอกว่าเขาอยากเห็นประเทศไทยสันติ และเป็นสยามเมืองยิ้ม เหมือนที่เราเคยได้รับการเรียกขานมานาน อยากให้สิ่งเหล่านั้นกลับคืนสู่ประเทศไทยโดยเร็ว

"วันนี้ผมขอให้ทุกฝ่ายได้รู้ว่าผู้ที่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อผม ผมก็ไม่ได้คิดที่จะไปล้างแค้นเจ็บใจอะไร แต่ตรงข้ามก็คิดว่าคนเรามันมีอารมณ์ มีความรู้สึกกันได้ แต่อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อให้ประเทศเข้าสู่ความปรองดองถวายพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธันวาคมที่จะถึง และถวายสมเด็จฯในวันที่12สิงหาคมนี้ อยากให้ทุกคนได้ร่วมใจกันว่าถ้าใครที่ว่ารักเจ้านายก็ต้องมาร่วมใจกันหันหน้าเข้าหากันให้ความปรองดองในชาติเกิดขึ้น" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯปะทะกับกลุ่มต่อต้านโดยมีการใช้อาวุธทำให้เกิดความรุนแรง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนคิดว่าเราคนไทยด้วยกัน หันไปทางไหนก็คนไทยทั้งนั้น เราสู้เก็บแรงเก็บสมอง เก็บปัญญาคนไทยด้วยกัน เอาไว้ต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม เรายังต้องต่อสู้อีกมาก เราเก็บพลังคนไทยไว้ดีกว่าที่จะห่ำหั่นฆ่าฟันกันเอง อยากเรียกร้องทุกฝ่าย

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเพราะต่างฝ่ายก็ทิฐิกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ก็บางครั้งเราก็ถือทิฐิใส่กันมากเกินไป ปล่อยวางไม่ได้ ลองปล่อยวางและคิดว่าคนเราไม่มีใครอยู่ยงคงกะพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นอายุไข หรือตำแหน่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง หากเราเข้าใจคำนี้เราก็ควรที่จะปล่อยวางแล้วหันหน้าเข้าหากันแบบคนไทยด้วยกันดีกว่า

เมื่อถามความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนใจเข้ามาทำงานการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่หรอก ใจจริงๆแล้วตนอยากให้เสร็จเรื่องราวของตน แล้วก็อยากจะไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศ เมื่อถามว่าในตอนนี้มีความเป็นห่วงในเรื่องคดีหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ก็ทำไป ตนเป็นคนเคารพกติกา ก็อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายคนที่กลั่นแกล้งตน ก็ขอให้เคารพในกติกาด้วย ตนอยากให้ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ตอนนี้ก็ทำมีมฟุตบอลแมนฯซิตี้ ก็กำลังจะเปิดฤดูกาลแข่งขัน ซึ่งการจะขอออกไปต่างประเทศนั้นก็คงต้องดูภารกิจที่จะต้องไปดำเนินการ

เมื่อถามถึงกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารที่ไทยยอมให้ขึ้นทะเบียนนั้นเพราะแลกกับการทำธุรกิจของท่าน พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเลยฮะ ไม่เกี่ยวเลย ความจริงแล้วต้องอยู่กันด้วยเหตุผล อย่าอยู่กันแบบไม่มีเหตุผล ผมคิดว่าอีก 2-3 วันนี้ถ้าทางรัฐบาลได้รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่แล้ว ก็คงจะเป็นคนที่แก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก เพราะความสัมพันธ์ของเรากับประเทศเพื่อนบ้านดีอยู่แล้ว

เมื่อถามรัฐมนตรีที่จะเข้ามาแก้ปัญหาควรมีคุณสมบัติอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนคิดว่า คนที่ทางรัฐบาลจะเสนอออกมานั้น ก็คิดว่าคงจะเป็นคนซึ่งพูดกับทุกฝ่ายได้ ให้เข้าใจให้อยู่ด้วยเหตุและผล ไม่ให้อยู่ด้วยอารมณ์หรือความเป็นพวกพ้อง ตนอยากบอกว่าโดยทั่วโลกนั้นนโยบายต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องประเทศ ไม่ใช่เป็นเรื่องของพวกหรือฝ่าย หรือพรรค เมื่อถามว่าห่วงสถานภาพของรัฐบาลในปัจจุบันอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ ทุกอย่างให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย


จาก thai-grassroots

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เมื่อความยุติธรรมในบ้านเมืองมีสองมาตรฐาน แผ่นดินนี้ก็ไร้ซึ่งธรรมะ


บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

กรณีตำรวจไม่ให้ประกันตัวคุณดา ตอร์ปิโด แต่กลับให้ประกันตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในคดีเดียวกัน ได้ตอกย้ำให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวโลกให้ เห็นอย่างชัดเจนถึงความมีสองมาตรฐานในระบบยุติธรรมไทยอย่างล่อนจ้อน ความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยก็หมดไปโดยสิ้นเชิง มีแต่ความยุติธรรมในสายตาของใครเท่านั้น

กรณีนี้ยิ่งตอกย้ำให้กับคนในประเทศนี้ทราบว่า "ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้มีการตั้งธงไว้ล่วงหน้าแล้ว และจะนำความเสื่อมมาสู่สถาบันต่างๆ ต่อไป คาดว่าความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆ จะหมดไปอย่างสิ้นเชิง สังคมนี้ไม่มีอะไรพอที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวได้อีกต่อไปแล้ว ธรรมะที่พร่ำสั่งสอนกันมา ก็กลายเป็นแต่ลมปากที่หาสาระอันใดไม่ได้เท่านั้น

และนั่นคือ "ความไร้ขื่อแปร" ของบ้านเมืองก็จะตามมา ประชาชนคงให้ความเชื่อถือองค์กรใด หรือบุคคลใดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แต่ผมก็ไม่แปลกใจอะไีีรนัก เพราะบ้านเมืองนี้มันไร้ขื่อแปรอยู่แล้ว


การให้อิสรภาพแก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำหลักของพันธมิตรฯ ขุนพลเอกของระบอบเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตย ที่สร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกแยกให้กับสังคมไปทุกหย่อมหญ้า ในท่ามกลางข่าวลือที่ว่า มีมือที่มองไม่เห็นเป็นเงาดำทะมึนอยู่เบื้องหลังของนายสนธิ ลิ้มทองกุล

คนทั้งหลายเหล่านี้เลือกที่จะขังสตรีผู้หนึ่งต่อไปในคดีเดียวกัน ต่อไปนี้ระบบยุติธรรมจะทำอะไร มันจะมีคำถามตามมาตลอดถึงความน่าเชื่อถือ การมีธงล่วงหน้า การขังสตรีผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก แต่เขาเหล่านั้นได้ทำลายศรัทธาของพวกตนที่เพียรสร้างสมมานาน

ระบบยุติธรรมของไทยและระบอบอำมาตยาธิปไตย เลือกที่จะฝังตัวเอง เพียงเพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือนายสนธิ ลิ้มทองกุล เอาไว้เพื่อเป็นหมากทางการเมืองต่อไปเท่านั้น นั่นคือการทำฮาราคีรีความน่าเชื่อถือของตนอย่างเห็นได้ชัด

กรณี สนธิ ลิ้มทองกุล กับ คุณดา ตอร์ปิโด มันเป็นอะไรที่ Contrast กันมากจนเกินไป

แต่เมื่อเลือกที่จะเดินไปสู่เส้นทางแห่งความเสื่อม ก็คงไม่มีใครช่วยอะไรได้

สำหรับผมแล้วสังคมนี้ไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวได้อีกแล้ว

กรณีสนธิ ลิ้มฯ ผมไม่ได้ถือว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" พ่ายแพ้แต่อย่างใด เพราะกรณีนี้มันจะตอกย้ำให้วิญญูชนที่รักความยุติธรรม และตาเริ่มสว่างแล้วทั้งหลายได้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลของระบบยุติธรรมไทย ว่ามีการตั้งธงกันไว้ล่วงหน้าอย่างที่คนทั้งหลายตั้งข้อสงสัยกันเอาไว้ บัดนี้ได้มีข้อพิสูจน์ที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว

ระบบที่ทำลายความเชื่อมั่นของตนเอง คาดว่าในที่สุดก็จะล่มสลายลง แม้จะไม่เร็วเกินไปนัก แต่พวกเขาผ่านเลยจุดสูงสุดไปแล้ว มีแต่จะเสื่อมถอยลง ไม่อาจฟื้นศรัทธาได้อีกต่อไป


จะแถลงการณ์อะไร ความน่าเชื่อถือมันก็จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ผมไม่ได้กังวลว่า พวกอำมาตย์จะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใด เพราะยิ่งพวกเขาแสดงอำนาจบาตรใหญ่กระทำการที่ฝ่าฝืนความยุติธรรมตามธรรมชาติมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่ชอบธรรม การมีธงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายพวกเขาจะแพ้ภัยตัวเอง เพราะประชาชนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับพวกเขาอยู่แล้ว ก็จะยิ่งไม่ยอมรับมากยิ่งขึ้น รังเกียจและสะอิดสะเอียนกับการกระทำของพวกนี้มากยิ่งขึ้น

วิกฤตการณ์ทางการเมืองไทยในปี 2551 นี้ พวกอำมาตยาธิปไตย ได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายประชาธิปไตยในด้านพลังมวลชน แม้พวกเขาจะพยายามใช้เกมมวลชนปลุกม็อบขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงม็อบจัดตั้งเท่านั้น ไม่มีผลต่อการชิงอำนาจในอนาคตมากมายนัก

เพราะฐานเสียงของผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศ ได้อยู่ตรงข้ามพวกอำมาตยาธิปไตยทั้งสิ้น พวกนี้รักษาสภาพได้เพียงแต่ใช้ คอนเน็กชั่น จากระบอบเส้นสายที่โยงใยกันเอาไว้ กับระบบกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่เมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา พลังเหล่านี้ของพวกอำมาตย์ ก็มีแต่เสื่อมถอยลง ยิ่งใช้อำนาจมาก ยิ่งเสื่อมถอยลงไปมาก สุดท้ายก็จะล่มสลายไปอย่างแน่นอน

ยิ่งพวกเขาแสดงให้เห็นถึง Connection ที่ไม่เป็นธรรม มากขึ้นเท่าใด พวกเขายิ่งสูญเสียความชอบธรรมและฐานสนับสนุนจากมวลชนมากขึ้นเท่านั้น

ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางสังคมข้อมูลข่าวสารยุค Information Age ถึงอย่างไร ก็ไม่มีประเทศใดที่จะหลีกเลี่ยง ระบอบการเมืองที่มี การเลือกตั้ง ไปได้พ้น เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องอยู่ย่างโดดเดี่ยวแบบพม่า ที่สุดท้ายก็โดนบีบให้มีการเลือกตั้งอยู่ดี เมื่อการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองจะต้องผ่านระบบเลือกตั้ง มวลชน ย่อมสำคัญกว่า คอนเน็กชั่น ในระบอบอำมาตยาธิปไตยมากมายยิ่ง และสุดท้ายมวลชนจะเป็นตัวตัดสิน


คอนเน็กชั่นแบบนี้ ไม่ทำให้พวกเขาชนะเลือกตั้ง แต่จะทำให้ผู้เลือกตั้งเกลียดชังระบอบอำมาตย์มากยิ่งขึ้น

ยิ่งเจ้ดา ตอร์ปิโด โดนกระทำอย่างขาดความอยุติธรรมมากเท่าใด และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับการปกป้องมากขึ้นเท่าใด ผมว่าระบอบอำมาตย์ยิ่งไปตอกย้ำความเชื่อว่า "มีธง" มากยิ่งขึ้น

พวกเขาอาจช่วย สนธิิ ลิ้มทองกุล" เอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ผมยังจำสุภาษิตบทหนึ่งได้ว่า "ลิงยิ่งขึ้นที่สูงก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นลิง"

เมื่อเขายิ่งแสดงอำนาจที่ไม่ชอบธรรม คนก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ

พวกเขาอาจทำได้ทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้อย่างเีดียวคือ "เรียกศรัทธาที่สูญเสียไปแล้วกลับคืน"

เมื่อไม่มีศรัทธาหลงเหลืออยู่ หรือใช้มันหมดไป สุดท้ายก็เหมือนปลาที่ไม่มีน้ำ
ซึ่งในที่สุดปลาก็ไม่สามารถที่จะอยู่โดยการขาดน้ำได้


ระบบที่พิกลพิการ ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีแต่การใช้อำนาจมืด เมื่อศรัทธาและบารมีหมดไป ก็จะล่มสลายไปเอง

เหตการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยขณะนี้ผมได้แต่วางอุเบกขา ครับ โวยวายไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด

แต่อย่างน้อย ใจของผมก็เป็นอิสระ และไม่ได้เป็นทาสของใครอีกต่อไป นั้นคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ที่ผมได้จากวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ ถึงแม้ว่าผมตายจากโลกนี้ไป ผมก็ตายอย่างเสรีชน ที่ไม่ได้เกิดมาเป็นทานทางความคิดของใครอีกต่อไป

--------------------------------------------------------------

ปล. หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จ ผมก็ได้ข่าวว่า พันธมิตรกับชมรมคนรักอุดร ได้ปะทะกันมีผลทำให้นักรบศรีวิชัย เสียชีวิตสองคน ผมทายไว้แล้วไม่ผิดว่า ในบทความก่อนหน้านี้ว่า สงครามกลางเมืองไทยได้เกิดขึ้นแล้ว และจะต้องมีคนที่สังเวยชีวิตแน่นอน และก็ไม่ผิดจากที่ผมทำนายเอาไว้

วันนี้ "หัวใจผมตายด้านแล้ว" ตายก็ตายไป ผมวางอุเบกขาไม่ยินดียินร้ายทั้งสิ้น

บ้านเมืองมันมาถึงซึ่งความไร้ขื่อแปรแล้ว เพราะไม่มี "ธรรมะบนแผ่นดินนี้" อีกต่อไปแล้ว ไม่มีใคร "น่าเทิดทูน" อีกต่อไปแล้ว ดังนั้น จะฆ่ากันตาย ผมก็ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรทั้งสิ้น

ก็เ่ล่นกันมาถึงขนาดนี้ มันก็ต้องตายกันเข้าสักวัน เหมือนที่ผมทำนายไว้ไม่มีผิด ผมว่าต่อไปแกนนำพันธมิตรคงโดนประชาทัณฑ์บ้าง ไม่เลือดทาแผ่นดิน "สติย่อมไม่กลับคืนมายังแผ่นดินนี้"

ตายก็ตายไป ไม่มีใครเป็นวีระบุรุษ

และ ภาษิตที่ว่า "ไทยไม่ควรฆ่าไทย" มันใช่ไม่ได้แล้ว เพราะบางคนมันไม่ยอมเลิก มัน "วิ่งตระเวนให้คนฆ่าทั่วประเทศ "สุดท้ายประชาชนก็ต้องเหลืออดเข้าสักวัน

และหากยังมียุทธการดาวกระจายอยู่ ผมเชื่อว่าจะมีการตายอีกอย่างแน่นอน

ยุคนี้ "มันต้องวางอุเบกขา ตายก็ตายไป อะไรมันจะพังพินาศ ล่มสลาย" ก็ต้องปล่อยมันไป

ยุคแห่งความบ้าคลั่ง ก็ต้องปล่อยมันไป

ผม เคยอ่านสามก็กที่สุมาเต็กโซ บอกว่า "แผ่นดินรวมกันแล้วก็แตกแยก แตกแยกแล้วก็รวมกัน" มันไม่มีแก่นสารอะไรที่จะต้องไปยึดถือ ผู้ปกครองมาแล้วต่างก็จากไป ผู้มีอำนาจมาแล้วก็หายไป ไม่มีใครเลิศล้ำน่าเทอดทูนหรอกครับ นอกจากตัวเราเอง

จาก thaifreenews

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker