ใครคิดออกบ้างว่า วิกฤติการเมือง ในบ้านเราจะจบลงอย่างไร หรือจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร ช่วยตอบผมที เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งมองเห็นแต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้น สงสารประชาชน สงสารประเทศไทย ทั้งปีทั้งชาติถูกหลอกเอามาเป็นตัวประกันในเกมชิงอำนาจการเมืองไม่ได้หยุดหย่อน
วันนี้มีใครเคยช่วยคิดบ้างหรือไม่ว่า ชาวบ้านเดินดินกินข้าวแกงจะมีอนาคตอย่างไร เห็นข่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เสนอวิธีการแก้ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศ โดยการลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงให้เหลือร้อยละ 3 ไม่เช่นนั้น ราคาสินค้าที่อั้นไว้เตรียมจะขอขึ้นราคากันอยู่ในขณะนี้จะมีเพิ่มขึ้นถึง 210 รายการ
อ่วม!
ตัวเลขอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ความจริงก็คือ เงินในกระเป๋าชาวบ้าน ที่หาเช้ากินค่ำก็ลดน้อยลงทุกวัน แถม ค่าของเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ก็น้อยลงอีก เจอสองเด้ง จะให้เขาเหล่านั้นมีชีวิตอยู่อย่างไร
ตัวเลขการเลิกจ้างงานของกระทรวงแรงงานปีนี้มีแนวโน้มไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคน รวมกับคนที่ยังหางานทำไม่ได้ ผมว่าตัวเลขเป็นแสน ในขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นๆ เข้าตาจนขึ้นมาจริงๆก็ไปก่ออาชญากรรมกลายเป็นปัญหาสังคม และความสุขของสังคมครอบครัวก็หมดไป เพราะต้องสาละวนอยู่กับการเอาชีวิตรอด
อันที่จริงผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ ที่จะให้ ลดภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เหลือร้อยละ 3 ซึ่งที่ถูกปีนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องขึ้นเป็นรอยละ 10 ด้วยซ้ำ เพื่อให้เกิดรายได้เพียงพอกับรายจ่ายของประเทศ แต่ก็เอาเถอะ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานไม่ขึ้นภาษีก็ดี เท่าไหร่แล้ว
ที่ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับการลดภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เพราะไม่ได้ ช่วยประชาชนผู้เดือดร้อนจริงๆ ส่วนหนึ่งอาจจะได้ประโยชน์กับผู้ประกอบธุรกิจ ลดภาษี สินค้าก็ถูกลง จูงใจให้คนบริโภคมากขึ้น แต่ก็เป็นดาบสองคม เพราะถ้า เป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยก็ไม่มีประโยชน์อะไร จะทำให้คนเป็นหนี้เป็นสินกันโดยไม่จำเป็น และนอกจากนี้คนรวยที่ยังเดือดร้อนไม่มากนักก็เลยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย
แทนที่จะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มในสัดส่วนที่จะลดไปร้อยละ 4 มาเป็นสวัสดิการให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยจะดีกว่า แถมยังไม่ทำให้ระบบการเงินการคลังของประเทศมีผลกระทบอีกด้วย
วันนี้มีคนส่วนหนึ่งไปเฮๆ กันแถวสะพานมัฆวาน แต่คนอีกส่วนหนึ่งต้องนอนเอามือก่ายหน้าผาก คิดหนักว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรกินจะเอาเงินที่ไหนให้ลูกไปโรงเรียน จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าเช่าบ้าน
วันนี้คนส่วนหนึ่งหน้ามืดตามัวอยู่กับการเมือง แต่คนอีกส่วนหนึ่งต้องเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจที่รัดตัวโดยลำพัง และคนส่วนหนึ่งจะไปไหนมาไหนก็ต้องเกณฑ์คนไปห้อมล้อม ต้องมีกำลังอารักขาและมีปากเป็นอาวุธ มีอภิสิทธิ์พิเศษเหนือคนอื่น แต่คนอีกส่วนหนึ่งมีอันตรายรอบตัว มีปากก็พูดอะไรไม่ได้
เชื่อหรือไม่ว่า นี่คือแผ่นดินเดียวกัน
ผมยังตั้งความหวังไว้กับกระบวนการยุติธรรม และสถาบัน จะพลิกฟื้นให้ประเทศไทยกลับมาอยู่ในครรลองคลองธรรม ให้สิทธิหน้าที่และความมีเสรีภาพเสมอภาคกัน ไม่ว่าจะเป็นคนบนเวทีหรือไม่มีเวที.
“หมัดเหล็ก”