บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แก๊งพันธมาร...ข้างถนนได้เวลาเก็บของกลับบ้าน

คอลัมน์: รายงานพิเศษ

หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมผู้ชุมนุมเข้ายึดพื้นที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลถอนมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และปรับแผนเป็นขับไล่รัฐบาล ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนที่ต้องผ่านไปในบริเวณดังกล่าว จนกระทั่งประชาชนผู้เดือดร้อนรวมตัวกันเพื่อแจ้งความร้องทุกข์มากมาย ครั้งนั้นพันธมิตรฯ ย้ำจุดยืนว่าจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ โดยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า

“เราอยู่ตรงนี้ดีแล้ว เราจะกินนอนที่นี่ ภูมิประเทศแถวนี้ผมรู้ดีกว่าตำรวจ สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยเดินไปเดินมาบริเวณนี้ตั้ง 5 ปี ส่วนที่ทำเนียบก็เคยทำงานการเมืองมาหลายสมัย จึงรู้ทำเลดีกว่าตำรวจแน่”

รัฐบาลยอมที่จะถอย และทำตามข้อเรียกร้องสมาชิกรัฐสภาทยอยถอนชื่อจากญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 จนกระทั่งญัตติมีอันตกไป เท่านั้นยังไม่สะใจพันธมิตรฯ ยังพ่วงประเด็น นายจักรภพ เพ็ญแข หมิ่นสถาบันเบื้องสูง จนกระทั่งนายจักรภพประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดนี้เท่ากับว่ารัฐบาลได้ตอบสนองความต้องการอย่างครบถ้วนแล้ว แต่พันธมิตรฯ กลับยังไม่ยุติการชุมนุมและเปลี่ยนข้อเรียกร้องจากเรื่องรัฐธรรมนูญไปสู่การขับไล่รัฐบาล

และในที่สุดเมื่อวันวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2551 พันธมิตรฯ ก็เคลื่อนขบวนมาชุมนุมปิดล้อม บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เป็นเหตุให้สถานศึกษาต้องหยุดการเรียนการสอนถึง 3 แห่ง คือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชยการพระนคร โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ประถม) และโรงเรียนวัดสัมณานัมบริหาร ข้างสำนักงาน ก.พ. เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดการจราจร

จนกระทั่งวันที่ 27 มิถุนายน 2551 ผู้ปกครอง ครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม ได้ยื่นฟ้องแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจำเลย คำฟ้องสรุปว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดถนนพระราม 5 แยกวัดเบญจมบพิตร ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกนางเลิ้งถึงแยกพาณิชยการ ซึ่งเป็นทางสาธารณะ และได้ตั้งเวทีปราศรัยบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก ทำให้โจทก์ที่ต้องใช้เส้นทางผ่านที่ชุมนุมไปสอนหนังสือและเดินทางกลับบ้าน เกิดความไม่สะดวก ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น ซ้ำต้องเดินเท้าเข้า-ออกโรงเรียนทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย

คำฟ้องยังระบุอีกว่า การปราศรัยผ่านเครื่องกระจายเสียงที่ส่งเสียงดังอย่างมากโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตั้งแต่เวลา 07.30-14.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาการสอน การชุมนุมทำให้เกิดขยะมีกลิ่นเหม็น อุจจาระ ปัสสาวะไม่เป็นทาง ทำให้โจทก์ต้องทนรับเสียงและกลิ่น การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ จึงเป็นการจงใจทำให้โจทก์และนักเรียนได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำละเมิด

พล.ต.จำลอง แถลงต่อศาลว่า
“หากศาลไม่อนุญาตตามคำร้องฝ่ายจำเลย ขอยืนยันว่าในอนาคตจะไม่มีการชุมนุมเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน เพราะการที่โจทก์ร้องขอต่อศาลให้เปิดถนนเท่ากับว่าเป็นการขอให้ยุติการชุมนุม ซึ่งศาลจะพิจารณามีคำสั่งอย่างไรก็รับได้ และหากศาลยกคำร้องของฝ่ายจำเลยก็รู้สึกดีใจที่จะได้กลับบ้าน ไม่ต้องมาลำบากบนท้องถนนอีก แต่หากศาลมีคำสั่งที่เป็นประโยชน์ต่อพันธมิตรฯ ก็จะทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองต่อไป”

วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ในคดีที่ครูและผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพันธมิตรฯ โดยศาลมีคำสั่งให้พันธมิตรฯ เปิดถนนบริเวณถนนพระราม 5 - ถนนพิษณุโลก ให้ประชาชนสัญจรได้โดยสะดวก และห้ามใช้เครื่องขยายเสียงในอันที่จะก่อความเดือดร้อนแก่ครู นักเรียน โรงเรียนราชวินิตฯ ในการเรียนการสอน ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ช่วงเวลา 07.30 น. -16.30 น. โดยคำสั่งศาลให้มีผลโดยทันที

ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 ศาลแพ่งยกคำร้องแกนนำพันธมิตรฯ ที่อ้างรัฐธรรมนูญขอชุมนุมโดยปิดถนน เพราะถือว่าคำสั่งให้เปิดถนนถือเป็นการปกป้องสิทธิและเสรีภาพประชาชนตามมาตรา 63 เช่นเดียวกัน และทันทีที่สิ้นคำสั่งของศาลแพ่ง ให้พันธมิตรฯ ชุมนุมได้ตามกำหนดเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งหมายความว่าแกนนำพันธมิตรฯ ต้องรื้อถอนเวทีทุกวันก่อนเวลา 07.30 -16.30 น. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม ที่ต้องทนฟังเสียงแกนนำม็อบพล่าม และเดินไปโรงเรียนด้วยความยากลำบาก เพราะถนนถูกปิดตายมาหลายวัน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของพันธมิตรฯ ก็โต้กลับทันทีว่าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาล และไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ยังคงดึงดันที่จะชุมนุมกันต่อไป อ้างว่าคำสั่งศาลยังไม่ถึงภูมิลำเนาของแกนนำม็อบพันธมิตรฯ ทั้ง 6 คน ที่ถูกฟ้อง

ธาตุแท้ปิดไม่มิด อหังการจริงๆ ?
เพราะคำสั่งของศาลไม่เป็นไปดังใจตนเองจึงทำให้ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ รับไม่ได้ และไม่ยอมรับคำสั่งศาลในกรณีนี้ ทั้งๆ ที่ทนายความคนนี้กล่าวอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคำสั่งศาลมาโดยตลอด และประกาศบนเวทีพันธมิตรฯ มาหลายครั้งว่า มีแต่กระบวนการตุลาการ และศาลยุติธรรมเท่านั้น ที่ยังเป็นหลักให้แก่บ้านเมืองได้

เท่านี้ยังไม่จบ ล่าสุด นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 ใน 5 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยตามปกติ ตำหนิครูโรงเรียนราชวินิตฯ ไปฟ้องศาลเพื่อให้เปิดทางให้กับนักเรียน โดยบอกว่าพันธมิตรฯ กำลังทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติ สงสัยว่าอาจารย์ที่ไปฟ้องศาลเป็นพวกเขมร นอกจากนี้ยังกล่าวถ้อยคำจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง

โดยกล่าวว่าโรงเรียนราชวินิตมัธยมเป็นโรงเรียนของสมเด็จฮุนเซน โรงเรียนราชวินิตมัธยมถือกำเนิดขึ้นโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานที่ดินให้เป็นที่ตั้งโรงเรียน ขณะเดียวกันก็ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระมหามงกุฎเปล่งรัศมีมีเลขลำดับรัชกาลในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เป็นตราประจำโรงเรียน แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนราชวินิตเป็นโรงเรียนของพระเจ้าอยู่หัว การกระทำดังกล่าวจึงทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่าโรงเรียนราชวินิตมัธยมเป็นโรงเรียนในสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา

ถึงวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า “สัจจะไม่มีในหมู่โจร” คำพูดที่ผ่านๆ มาของพวกพันธมิตรฯ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่มีความเคารพยำเกรงต่ออำนาจศาล ยังคงเพิกเฉยต่อคำสั่งศาล และยังคง

เดินหน้าชุมนุมต่อไป ยังมีการขึ้นเวทีปราศรัยส่งเสียงรบกวนนักเรียนเหมือนเดิม มิหนำซ้ำทีมทนายความกลุ่มพันธมิตรฯ ยังได้เตรียมการที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล เตรียมที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งของศาลนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 63 หรือไม่

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น แต่ส่งผลรอบด้านต่อประเทศไทย ทั้งเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว อย่างหนัก นักลงทุนต่างชาติไม่กล้ามาลงทุน ซึ่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ระบุว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้ดัชนีปรับตัวลงกว่า 140 จุด ถือว่าปรับตัวลงต่ำกว่าทุกประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต่างพากันย้ายไปลงทุนที่ประเทศอื่นเป็นจำนวนมาก เท่านี้ประชาชนทั้งประเทศก็เดือดร้อนกันทั่วหน้าแล้ว ยังไม่เพียงพออีกหรือ ยังไม่ยุติอีกหรือ

หรือพันธมิตรฯ ลืมไปแล้วว่า ประชาชนเจ้าของประเทศต้องการเห็นความสงบเรียบร้อย ต้องการเห็นรัฐบาลแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน และยุติข้อบาดหมางทางการเมือง

เวลานี้ ประชาชนมีความเข้าใจ และเห็นรัฐบาลสมัคร ที่มาจากการเลือกตั้ง บริหารประเทศมาไม่ถึง 5 เดือน สิ่งที่พันธมิตรฯ กล่าวหามันรุนแรงเพียงพอที่จะขับไล่รัฐบาลเชียวหรือ

เมื่อรัฐบาลนิ่งและสงบ พันธมิตรฯ คงจะต้องรบกับประชาชนเจ้าของประเทศโดยตรง เหตุผลและเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ กล่าวอ้าง ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผู้อำนวยการโรงเรียน นักเรียน และตำรวจ ได้ขยายผลกระทบจากการชุมนุมปิดถนนว่าไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่เด็กนักเรียน ทำให้รถติดทั้งกรุงเทพฯ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ บาดเจ็บเพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯ หลายนาย

เดือดร้อนกันถ้วนหน้า
นายบำเหน็จ ทิพย์อักษร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนรวมถึงข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของ สกสค.ไปแจ้งความที่ สน.ดุสิต เพื่อดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปักหลักชุมนุมที่ถนนราชดำเนินนอก เพราะทำให้ได้รับผลกระทบ ต่อการเดินทางมาปฏิบัติงานดังกล่าว ไม่มีผู้บริหารคนใดมาสั่งการให้ไปแจ้งความตามที่มีคนบางกลุ่มพยายาม กล่าวอ้าง การไปแจ้งความเพราะได้รับผลกระทบจากการปิดถนนของกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงจริงๆ

“อย่าพยายามโยงสิ่งที่ตน ข้าราชการ และบุคลากรของ สกสค.ไปแจ้งความไปเป็นเรื่องการเมือง เพราะตนก็เป็นบุคคลหนึ่งที่สนใจเรื่องการเมือง เคยไปฟังการปราศรัยของผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่ม และสิ่งที่พวกตนทำก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมาย เพราะได้รับความเดือดร้อน”

นายปกป้อง เลาวัณย์ศิริ ผู้ประสานชมรมนักกิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกลงชื่อนักกิจกรรม นักวิชาการ นักศึกษา และนักสหภาพแรงงาน จำนวน 52 คน ประณามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยจดหมายเปิดผนึกระบุว่า แม้การชุมนุมของพันธมิตรฯ จะสามารถกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ แต่พันธมิตรฯ มีการปลุกปั่นสร้างกระแสความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม มีการใช้วาทกรรมพิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปราบปรามประชาชนช่วง 6 ตุลาคม 2519 และยังมีข้อเสนอที่ถอยหลังเข้าคลองของนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ที่เสนอให้ ส.ส. มาจากการแต่งตั้งร้อยละ 70 และ การเลือกตั้งร้อยละ 30

ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการใช้กระแสชาตินิยม วาทกรรมพิทักษ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” มาเป็นเครื่องมือทำลายผู้เห็นต่างจากฝ่ายพันธมิตรฯ ยุติการให้ข้อมูลที่ผิดพลาด และยุติการเสนอแนวคิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการแต่งตั้ง และข้ออ้างทุกรูปแบบเพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดรัฐประหาร

พันธมิตรทำเศรษฐกิจพัง !
นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย ระบุว่า ไม่อยากให้พันธมิตรฯ ชุมนุม เพราะเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมให้เศรษฐกิจของชาติแย่ลงไปอีก ซึ่งโดยส่วนตัวนายสันติ พอใจกับการทำงานของรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจ และชี้แจงว่าการที่เศรษฐกิจในประเทศไทยตกต่ำนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทั่วโลกก็เผชิญกับสภาวะเดียวกับประเทศไทยเช่นกัน

โรงเรียนเดือดร้อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยว่า กทม. ได้ประกาศให้โรงเรียนในสังกัด กทม. จำนวน 2 แห่งหยุดการเรียนการสอนต่ออีก 1 วัน คือในวันจันทร์นี้ หลังจากได้ประกาศหยุดตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แก่โรงเรียนวัดสมณานัมบริหาร และโรงเรียนเบญจมบพิตร เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชุมนุมของกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

นางวรรธนันท์ พรวนต้นไทร โจทก์ที่ 1 ครูที่ปรึกษาชั้น ม.1 กล่าวว่า สุขภาพของตนเองไม่ดี เจ็บขา ทุกวันนี้เดินทางไปสอนหนังสือลำบาก ต้องเดินไกล ใช้รถยนต์ไม่ได้ ตอนเช้าต้องเดินผ่านกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บางคนนอนเกะกะถนน รู้สึกไม่ปลอดภัยในเสรีภาพ และบริเวณที่ชุมนุมก็สกปรก เหม็นกลิ่นปัสสาวะ อยากขอร้องให้ไปชุมนุมที่อื่น

นายธนชาติ ธรรมโชติ ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม กล่าวว่า ต้องการให้กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดถนนให้เด็กนักเรียนนักศึกษา จะอ้างชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ แล้วมารุกล้ำสิทธิคนอื่นไม่ได้ ขอให้ไปชุมนุมที่สนามหลวง สวนลุมพินี หรือสวนจตุจักร เด็กนักเรียนฝากมาบอกลุงจำลองช่วยเปิดถนนให้ด้วย จะได้ไปศึกษาเล่าเรียน โตเป็นผู้ใหญ่จะได้เป็นคนดีในสังคม



ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker