ท่ามกลางความพยายามของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะปลุกกระแสการชุมนุมโดยอ้างดีเดย์ในวันที่ 1 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ ปรากฎว่าได้มีความพยายามปลุกระดมทุกรูปแบบ ตั้งแต่การที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำออกมาประกาศสงครามกับกัมพูชา ทั้งที่การเจรจาระหว่าง 2 ประเทศกำลังดำเนินไปด้วยดี
ล่าสุด น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ หรือที่กลุ่มม็อบเรียกกันว่าเจ๊ปอง ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงเช้าวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ประกาศถึงการเคลื่อนไหวในวันที่ 1 สิงหาคม และบอกกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่า มีนายทหารผู้ใหญ่ส่งกำลังทหารเข้าร่วมการชุมนุม 4-5 กองร้อย โดยขณะนี้ปะปนอยู่ในม็อบเรียบร้อยแล้วในชุดนอกเครื่องแบบ ขอให้ทุกคนปรบมือต้อนรับ
ทั้งยังระบุว่าทหารเหล่านี้จะอยู่ร่วมต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมีทั้งสารวัตรทหาร ทั้งกองทัพบก กองทัพอากาศ ซึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมตั้งแต่เวลา 05.00 น. ที่ผ่านมา ขอให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนอุ่นใจได้ว่าจะมีทหารอยู่เคียงข้างผู้ชุมนุม
การแอบอ้างทหารมาเป็นเกราะกำบัง และสร้างราคาให้กับการชุมนุมดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และถูกปฏิเสธจากกองทัพว่าไม่มีนโยบายอย่างนั้นแน่นอน
ระบุแค่ทหารแก่4คนร่วมการชุมนุม
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า การจะส่ง สห.ไปคุ้มครองตามพื้นที่ต่างๆ ที่มีการปะทะกัน ถ้าเกิดไปรักษาความสงบก็สามารถทำได้ หากขอมาก็จำใจที่จะต้องไป แต่ความจริงเขาไม่อยากไป เพราะทหารไม่ได้สงสารตรงกันข้ามอยากสมน้ำหน้า และหมั่นไส้
ที่ผ่านมาการเปิดเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ เอาแต่ด่าทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าข้างกลุ่มพันธมิตรฯ อีกทั้งเชื่อว่าไม่มีทหารเข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะทหารไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ หากจะมีก็มีทหารแก่ๆ เพียง 4 นายเท่านั้นที่ร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ
“ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าทหารจะเข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ”
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ขัตติยะ กล่าวอีกว่า การจะโค่นล้มรัฐบาลไม่สามารถทำได้ เพราะ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลที่เข้มแข็ง และการถอนตัวออกจากรัฐบาลของพรรคเพื่อแผ่นดินก็ไปเพียง 2 คนเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล และตนเชื่อว่าไม่มีเรื่องการปฏิวัติแน่นอน เพราะเงื่อนไขไม่มีอะไรรุนแรง เป็นเพียงความขัดแย้งของภาคประชาชนเท่านั้น
ยันไม่มีหนังสือขอกำลังดูแลม็อบ
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในส่วนของกองบัญชาการทหารกองทัพบกยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้บัญชาการทหารชั้นผู้ใหญ่ในเรื่องส่งกำลังคุ้มครองผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือขอกำลังมายังกองทัพบก อีกทั้งนโยบายของกองทัพบกเรื่องการขอกำลังคุ้มครองต้องมีหนังสือขอกำลังเป็นทางการและไม่ใช่ขอแค่ลมปาก ซึ่งในเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯทางกองทัพบกไม่ได้เข้าไปยุ่งมากนัก เพราะที่ผ่านมากองทัพบกยุ่งในเรื่องการประชุมมอบนโยบายช่วยเหลือพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ตามในเรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมตนไม่สามารถแสดงความเห็นได้ เพราะไม่ได้สนใจเรื่องการชุมนุมสักเท่าไร แต่หากต้องการกำลังจากกองทัพบกต้องมีหนังสือและมีการเซ็นเอกสารรับรองจากข้าราชการทหารหรือตำรวจเท่านั้น อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าจะส่งกำลังทหารไปคุ้มครองด้วยได้หรือไม่
ซัดอย่าแอบอ้างทหารเป็นเครื่องมือ
ขณะเดียวกันแหล่งข่าวกองทัพบก กล่าวว่า เรื่องการส่งกำลังทหารไปคุ้มครองผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ทางกองทัพบกยังไม่เห็นหนังสือขอกำลังคุ้มครอง อีกทั้งบุคลากรกองทัพบกต้องมีวิจารณญาณในการเข้าไปดูแลหรือร่วมชุมนุม และทุกคนก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ต้องมองในเรื่องของความเหมาะสมด้วย คนที่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ และไม่ใช่พันธมิตรฯ ควรแสดงออกด้วยความเหมาะสมและอยู่ในขอบเขต ซึ่งบุคคลที่จะให้แสดงความเห็นในเรื่องความเหมาะสมหรือไม่ต้องเป็นบุคคลระดับหัวหน้า แต่โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นคนไทยด้วยกันต้องมีความสามัคคีกันให้มากที่สุด บ้านเมืองถึงจะมีความเจริญ
อย่างไรก็ตามเป็นไปได้ว่าการมีนายทหารบางคนไปร่วมเวทีพันธมิตรฯ ก็อาจจะขนลูกน้องไปร่วมการชุมนุมได้บ้าง เพราะหลายคนก็คงมีอำนาจอยู่บ้าง แม้จะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ตาม แต่การระบุว่ามีทหารหลายกองร้อยนั้น ไม่มีแน่ และไม่ควรที่จะแอบอ้างทหารสร้างราคาให้ตัวเอง
“ทหารมีศักดิ์ศรีมากกว่าที่คุณคิด ขอร้องอย่าได้เอาเราไปแอบอ้างเป็นเครื่องมือของพวกคุณ”
ทนายความขับรถชนรั้วพันธมิตร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวลา 03.10 น. วันเดียวกันนี้ได้เกิดเหตุนายสโรชคริษฐ์ พรหมอักษร อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 18 หมู่ 8 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. อาชีพทนายความ และเจ้าของร้านอาหารเรือนคำหยาด เมาแล้วขับรถยนต์ ยี่ห้อ แลนด์โรเวอร์ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน พว 2243 กทม. ชนรั้วเหล็กแผงกั้นทางเข้า-ออก เวทีปราศรัยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถนนเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์
จากการค้นในตัวนายสโรชคริษฐ์ พบว่า สวมเสื้อเกราะพกอาวุธปืนขนาด .357 และขนาด 11 มม.อยู่ 2 กระบอก และตรวจค้นภายในรถพบอาวุธปืนซุกซ่อนอยู่ด้วยกัน 4 กระบอก ประกอบด้วย ปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ขนาด.32 มม. .380 และปืนลูกซองยาว อย่างละ 1 กระบอก และเครื่องกระสุนจำนวนมาก
พ.ต.อ.วิบูลย์ยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง กล่าวว่า ผู้ต้องหาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ดื่มสุราที่ร้านเมื่อเมาได้ที่ได้นึกครึ้มใจ อยากมาสักการะพระบรมรูปทรงม้า จึงได้ขับรถมา เมื่อถึงจุดเกิดเหตุพบว่าเป็นที่มืด ไม่มีสัญญาณไฟ หรือป้ายบอกทางใดๆ ประกอบกับความเมา จึงได้พุ่งชนแผงเหล็ก เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหาพกพาอาวุธปืน ไปในที่สาธารณะในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขับรถโดยประมาท และขับรถขณะมึนเมาสุรา
โอละพ่อคนชนรั้วที่แท้สมาชิกปชป.
นายสโรชคริษฐ์ ให้การยอมรับว่าไม่ชอบกลุ่มพันธมิตรฯและไม่ทราบว่า พันธมิตรฯมาชุมนุมอยู่ในบริเวณดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งให้นำหลักฐานใบพกพาอาวุธปืนมาแสดง แต่ผู้ต้องหายังอยู่ในอาการมึนเมาและแจ้งว่า ต้องการแจ้งความกลับข้อหาทำร้ายร่างกายและขอพักผ่อน เจ้าหน้าที่จึงให้พาตัวไปสงบสติอารมณ์ในห้องขัง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นพบว่า นายสโรชคริษฐ์ มีอาชีพเป็นครูสอนยิงปืนและเป็นทนายความจริง
จากเหตุดังกล่าวกลุ่มพันธมิตรฯ ได้พยายามโยงเรื่องว่าเกี่ยวพันกับพรรคชาติไทย เนื่องจากพบเสื้อยืดของพรรคและบัตรสมาชิกพรรคชาติไทย โดย น.ส.อัญชลี ได้ประกาศบนเวทีว่าเรื่องนี้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ต้องรับผิดชอบ
กรณีดังกล่าวนายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทย แถลงว่า นายสโรชคริษฐ์เคยเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย แต่ได้ลาออกตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2550 เพราะฉะนั้นพรรคจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนที่ยังพบบัตรสมาชิกพรรคชาติไทยด้วยก็ไม่ทราบเป็นไปได้อย่างไรเพราะการลาออกทางพรรคจะต้องขอบัตรสมาชิกคืน และการลาออกได้แจ้งให้กกต.รับทราบแล้ว
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบฐานข้อมูลของ กกต. ยังพบว่านายสโรชคริษฐ์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2543 จนถึงปัจจุบัน