บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พันธมิตร แพ้...ความจริง

คอลัมน์: โต๊ะข่าวประชาทรรศน์

ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีอันต้องถอยทัพ อพยพกลุ่มผู้มาร่วมชุมนุมกลับไป “สะพานมัฆวานฯ” ที่ชุมนุมเก่า ก่อนที่จะรุกมายึดพื้นที่บนถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล อย่างไม่เป็นขบวน เพราะถูกคณะครูและเด็กนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม เอา “ความจริง” มาพิสูจน์ว่า สิ่งที่ม็อบพันธมิตรฯ ทำไปนั้น เป็นความไม่ถูกต้องชอบธรรม ละเมิดสิทธิ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ให้สังคมได้รับรู้

ถือได้ว่า นี่เป็น “จุดเปลี่ยน” ในการต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรฯ จากที่เคยตั้งหน้าตั้งตายุยงปลุกปั่นให้คนในชาติเกลียดชังรัฐบาล ใช้วาจาหยาบคาย จาบจ้วง ล่วงเกิน กล่าวหาบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พวกของตัวเอง ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ขยายไปตามจังหวัดต่างๆ ไม่เพียงเฉพาะในภาคใต้ ที่เป็นฐานที่มั่นของ

“พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยความย่ามใจ

เพราะที่ผ่านมายังไม่ค่อยมี “ใคร” ออกมาคัดค้านขัดขวางอย่างจริงจัง และเป็นระบบ

คำสั่งศาลแพ่งที่ออกมานั้น เป็นการสำทับให้ตระหนักว่า เสรีภาพต้องเคารพสิทธิสาธารณะ

ทั้งนี้ ศาลยึดหลักกฎหมายว่า เสรีภาพในการชุมนุม เป็นหลักการสำคัญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 วรรคหนึ่ง แต่ต้องใช้เสรีภาพในการชุมนุม มีข้อจำกัดตามมาตรา 63 วรรคสอง ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองประโยชน์ ในการใช้พื้นที่สาธารณะ

สารพัดวิธีการที่ม็อบพันธมิตรฯ นำมาใช้กดดันรัฐบาล ต้องมาเสียท่าให้กับเด็กนักเรียนขาสั้น เพราะรัฐธรรมนูญที่ตัวเองอ้าง ดังนั้นการที่หวังว่าจะได้แนวร่วมเพิ่มมากขึ้นนั้น ดูจะสิ้นหวังวังเวงไปแล้ว

เมื่อเหตุการณ์พลิกผันไป สิ่งเดียวที่แกนนำทำได้ก็คือ การปลุกปลอบขวัญกำลังใจผู้ร่วมชุมนุม ไม่ให้หวั่นไหว และยังเล่นบทเดิมต่อไป คือ จะยื่นอุทธรณ์ว่า ศาลใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ และมีความคิดที่จะถอดถอนศาล

เห็นได้ชัดว่า ม็อบพันธมิตรฯ นอกจากมีเจตนาต้องการทำลายฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างที่ได้ทำมาแล้ว...แม้กระทั่ง “ศาล” ก็ไม่เว้น

ความพยายามที่จะจุดประเด็นการปฏิวัติรัฐประหาร ก็เป็นอันต้องพับไป เพราะเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

สดๆ ร้อนๆ กับกรณี “ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกล่าสุด เป็นอุทาหรณ์ให้ต้องสำนึกว่า การปฏิวัติรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มีผลสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้ขาดตอนในการดำเนินการ และประเทศที่เป็น “ประชาธิปไตย” ทั้งหลาย กลับลำหันไปสนับสนุนกัมพูชาแทน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีความใกล้ชิดกับเรา ได้ส่งทีมงานเข้าไปในกัมพูชา เพื่อให้การช่วยเหลือ สำรวจศึกษา และเขียนรายงานให้

ต้องบอกว่า เราเสียเปรียบเขาจริงๆ เพราะกัมพูชาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก มีการทำงานกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยถือว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการขึ้นทะเบียน ในขณะที่เรายังอยู่ในวังวนของการ “ยึดอำนาจ” แย่งอำนาจกัน

ก็ไม่อยากพูดอะไรให้สะเทือนซางใครไปมากกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องพูดถึง เพื่อให้เกิดความสำนึกกันบ้าง ถ้าเทียบกันแล้ว เรามีอะไรด้อยกว่ากัมพูชาตรงไหน

วันนี้...เส้นทางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะเดินหน้าต่อไปนั้น ตีบตัน คับแคบ แทบไม่มีหนทางจะให้เดินต่อไปอีกแล้ว

เพื่อเห็นแก่บ้านเมืองอันเป็นที่รักและหวงแหน ถึงเวลาแล้วที่ “พลังเงียบ” ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ และได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาแสดงพลัง กดดัน ต่อต้าน คัดค้านม็อบพันธมิตรฯ อย่างมีพลังและมีเป้าหมาย จะเพียงมานั่งแช่งชักหักกระดูก...ไม่ได้อีกแล้ว

“พลังเงียบ” ต้องมีส่วนร่วมในการดูแลรับผิดชอบบ้านเมือง สนับสนุนส่งเสริมให้รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาตามวิถีทางประชาธิปไตย ได้ใช้ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์อย่างเต็มที่เต็มกำลัง ในการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศ เรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศกลับมาให้ได้โดยเร็ว เพราะที่ผ่านมา ม็อบพันธมิตรฯ ได้ซ้ำเติมความเลวร้ายที่ “เผด็จการ” ได้ฝากความอัปยศเอาไว้ในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจนความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ที่จะเป็นพลังในการ “กู้ชาติ”

“พลังเงียบ” ต้องไม่เงียบอีกต่อไป เพราะพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ชัดเจนว่า ต้องการทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า และขวางผลประโยชน์ของกลุ่มของพวกตนเอง โดยไม่ตระหนักสำนึกในความบอบช้ำเสียหายของประเทศชาติ และความเดือดร้อนของประชาชนคนส่วนใหญ่ที่ได้รับ

กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำไป อย่างสาสม


ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker