ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่าคนไทยจะเจ็บปวดกับคำว่า ตุลาการวิวัฒน์ไม่น้อย หลักของตุลาการวิวัฒน์ คือ การตัดสินคดีความต่างๆ ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักของนิติธรรม แต่ตัดสินต่างๆ ตามธงที่ได้ตั้งไว้แล้ว ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับว่าธงที่ตั้งไว้นั้น เป็นอย่างไร
มีตัวอย่างที่คนสงสัยการตัดสินของตุลาการหลายคดี เช่น การจำคุก กกต. การยุบพรรคพลังประชาชน และคดีความที่เกี่ยวของกับ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรทั้งหลาย ซึ่งสองสามวันมานี้มีคดีดังคดีหนึ่งคือ กรณีสินบน 2 ล้านบาท ที่ตัดสินออกมาแล้วทำให้คนเคลือบแคลงและเกิดคำถามค่อนข้างมาก แม้โดยกฎหมาย ประชาชนจะยอมรับการตัดสินของศาลก็ตาม แต่การยอมรับไม่ได้หมายถึงว่า ประชาชนจะวิพาร์กวิจารณ์หรือเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้ เพราะมันมีข้อสงสัยหลายประการเช่น มีคนสงสัยที่ผมยกเอามาจากเว็บบอร์ดเช่น
----------
- เงินของกลาง ที่สามารถตรวจสอบลายนิ้วได้ กลับไม่มี
- ทีวีวงจรปิด ที่หน่วยงานทั่วไป ถ้ามีเขาก็เปิดไว้ 24 ชม. แต่ที่นี้ดันไม่ได้เปิดในวันเกิดเหตุ
- คนระดับเป็นทนาย จะไม่รู้เหรอว่า ทำแบบนี้ จะไม่โดน
- อาจรู้กันกับ อีกฝ่าย ก็ได้
- อาจเพราะรู้แล้วว่า ไม่ได้ สาหัส อะไร 6 เดือน แลกกับเงิน หาที่ไหนก็ได้ 2 ล้าน
- การตัดสิน เร็วยังว่าสายฟ้าฟาด
- อาจมีเกม อะไร ถูกวางไว้
- อาจถูกกล่าวหาว่าถูกใส่ร้าย ทักษิณ ในภายหลังก็ได้
- สาเหตุ แลผลที่ปรากฏ คนระดับพวกนี้ ถ้าโง่ ในเรื่องเด็กๆแบบนี้ หาไม่ได้
- ลักษณะแบบนี้ พยามให้เห็นว่า ทักษิณ ใช้อำนาจเงินฟาด อะไรก็ได้ ในนี้
- จะบอกว่า ทักษิณ คิดและทำเลว แบบนี้ได้ ทุกเรื่อง ให้ภาพการยุบพรรคไทยรักไทยให้เป็นแบ็กกราว ว่าผิดอย่างไร ก็ยอมผิดแบบนั้น
----------
คือ คนยุคนี้ไม่ไว้ใจกระบวนการตุลาการวิวัฒน์ทั้งหลาย เพราะการกระทำต่างๆ มันมีพิรุธให้คนคิดได้มากมาย แม้จะปิดปากประชาชนอย่างไร แต่ไม่สามารถปิดใจคนไม่ให้คิดและมองอย่างเคลือบแคลงได้
และการที่ศาลรีบรับนาย สุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษกลับ กรณีมีเรื่องหมายจับ ทั้งๆ ที่นายสุนัย ได้เข้ามาอยู่ฝ่ายบริหารแล้ว และมีความขัดแย้งกับฝ่ายการเมือง เมื่อกลับเข้าไปเป็นผู้พิพากษา และต้องตัดสินคดีทางการเมืองเหล่านี้ จะเชื่อได้อย่างไรว่าดำรงตนเป็นกลาง และรักษาความยุติธรรมได้
ผมคิดว่าขณะนี้ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจะรั้งกลับมันก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ประชาชนเขาตื่นแล้ว จะทำให้หลับใหล โดยการโฆษณาชวนเชื่อนั้นอย่าหวังเลยครับ
ดังนั้น การที่จะใช้ตุลาการวิวัฒน์ ต่อต้านอำนาจประชาชน สุดท้ายก็เสื่อมทั้งคนสั่ง และตุลาการทั้งหลาย
ผมไม่ได้กังวลเลยว่า พวกอำมาตย์จะใช้กลยุทธ์อะไรอีก เพราะหากมีเลือกตั้งใหม่ ผมก็เลือกพรรคที่อยู่ตรงข้ามกับพวกอำมาตย์ และพวกพอเพียงทั้งหลาย ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งพันตัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ผมอยากรู้นักว่า จะดิ้นไปได้อีกนานสักเท่าใด
เมื่อศรัทธามันหายไป ต่อให้มีเลห์เพทุบายอย่างไร ก็ยิ่งนำไปสู่ความเสื่อมมากยิ่งขึ้น
แต่หากทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ความศรัทธาก็จะกลับมาอีก แต่การจะให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เศรษฐกิจต้องเติบโต ต้องเปิดประเทศ ต้องพัฒนาอุตสาหกรรม ค้าขายกับทั่วโลก ต้องใช้ "ระบอบทักษิโณมิกส์เท่านั้น” จึงจะทำอย่างนี้ได้ เพราะระบอบทักษิณมันคือ ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ที่เป็นกระแสหลักของสังคมโลกในศตวรรษที่ 21
จะมาโฆษณาให้ประชาชนทำไร่นาสวนผสมอยู่ คงเหลือคนเชื่อน้อยเต็มที
ดังนั้น ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์มีแต่คนอย่างทักษิณ เท่านั้นที่ทำได้ดี พวกอำมาตย์นั้นไม่สามารถทำอย่างที่ทักษิณเคยทำให้กับประชาชนแน่นอน
แรงบีบจากคนชั้นล่างหรือคนชั้นรากหญ้านั้น เขาก็จะเลือกพรรคที่ทำให้เขากินดีอยู่ดี เท่านั้น ไม่เลือกพรรคที่ให้เขาจนอย่างไรก็จนอยู่อย่างนั้นอย่างแน่นอน
จะใช้ตุลาการวิวัฒน์ ต่อสู้กับกระแสการเปลี่ยนแปลง สวนกระแสโลกไปได้นานสักเท่าใด ถึงอย่างมันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางใดทางหนึ่งอย่างแน่นอน และสุดท้ายมันก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกระแสโลก ดังนั้นผมจึงไม่ได้ใจร้อน หรือทุรนทุรายแต่อย่างใด ผมทนรอดูได้อย่างใจเย็นได้ ทนดูลิเกโรงนี้ว่าจะไปได้นานสักเท่าใด
ชีวิตย่อมมีหนทางของมัน
Life has its way.
ผมไม่ได้มองการเมืองว่าเป็นเรื่องของ "อุดมการณ์" แต่เพียงอย่างเดียว แต่การเมือง เป็นเรื่องของ ”ผลประโยชน์ของผู้เลือกตั้ง"
ดังนั้น คำกล่าวของผมที่ว่า ประชาชนตื่นแล้ว ผมหมายถึงเขาตื่นขึ้นเพราะรับรู้อำนาจของพวกเขา ว่ามีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ดังนั้น พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชน จึงเปลี่ยนแปลงไป คือ ประชาชนจะเลือกแบบเหมารวมเป็นพรรค และเลือกพรรคที่ "เสนอนโยบายเป็นประโยชน์แก่พวกเขา" สุดท้าย พรรคที่จะชนะเลือกตั้งคือ พรรคที่เสนอนโยบาย "เศรษฐกิจนิยม” เศรษฐกิจก้าวหน้า รายได้ประชาชาติโตขึ้น รายได้คนดีขึ้น
พรรคที่มีนโยบายแบบนี้คือ พรรคทุนนิยมโลกาภิวัฒน์คือ พรรคระบอบทักษิณครับ
สำหรับพรรคที่เสนอแต่นามธรรม ปฏิบัติไม่ได้ ไม่ทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชาชนก็จะไม่เลือก
เมื่อแนวโน้มเป็นอย่างนี้ ต่อให้พวกนิยมประชาธิปไตยแตกกัน มันก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด เพราะคนรากหญ้า 70% มีพฤติกรรมการเลือกตั้งแบบนี้ คนรากหญ้าตลาดการเมืองขนาดใหญ่ เป็นตลาดที่ซื้อแบบ "เหมาโหล" พรรคที่มีนโยบายถูกใจ ปฏิบัติได้ จะได้คะแนนเสียงประชาชน 70% นี้ ทั้งหมด
หาก ปชป. ปรับนโยบายมาแบบนี้ และมีคนมีฝีมือเท่าทักษิณ ปชป. ก็จะชนะเลือกตั้ง แต่นั้นมันก็คือ "วิญญาณพรรคไทยรักไทย" เข้าสิงนั่นเอง หากเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ว่าอะไร แต่หมายถึง ปชป. ต้อง Reengineering พรรคแบบถอนรากถอนโคนทีเดียว
ผมจึงไม่กลัวฝ่ายประชาธิปไตยเสียงแตก เพราะมันคือ Mega trend หรือแนวโน้มใหญ่ครับ ถึงอย่างไรทิศทางและกระแสของผู้เลือกตั้งก็จะไปในทิศทาง
ต่อให้ "ผู้มีบารมี” มีบารมีมากเท่าใด ก็ทานกระแสไม่ไหว ยิ่งทานกระแสก็จะยิ่งแตกหักมากยิ่งขึ้น และประชาชนจะไม่มีทางแพ้แน่นอน เพราะประชาชนคือเจ้าของประเทศตัวจริง ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของประเทศ
การเปลี่ยนแปลงของประชาชนในระดับรากหญ้า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบ Paradigm Shift คือ โลกทรรศ์ของประชาชนเปลี่ยนไป เมื่อโลกทรรศ์ เปลี่ยนพฤติกรรมคนก็เปลี่ยนตามโลกทรรศ์แบบใหม่ ตามทฤษฎีของ Paradigm Shift ของ Thomas Kuhn นั้น เมื่อ Paradigm ใหม่มาแทนที่ Paradigm เก่า มันจะแทนที่อย่างช้าๆ คนรุ่นเก่าจะรับไม่ได้ แต่คนรุ่นใหม่จะเปลี่ยนไปรับแนวคิดใหม่ โลกทรรศ์ใหม่
คนบางคนอยู่นานเกินไป อุปมาอุปไมยเหมือน เขาเกิดในยุคที่คนเชื่อว่า "โลกแบน" แต่ในบั้นปลายชีวิต ดันมีคนเสนอว่าโลกกลม พวกเขาย่อมรับไม่ได้ การต่อสู้ดิ้นรนย่อมมี แต่สุดท้าย Paradigm เก่า ความเชื่อเก่า ๆ ก็จะตายไปพร้อมกับพวกเขา
------------
มีคนกล่าวว่า
ทำอย่างไรเราจะได้พบความชั่ว ร้ายกาจ กับไอ้ที่ร้ายยิ่งขึ้นไปกว่า เพื่อจะได้กล่าวว่า นี่คือกฎหมาย องสู้ความขี้ฉ้อด้วยความคดโกงที่เหนือกว่า แล้วประกาศออกมาว่า นี่ละคือศีลธรรม ทำไฉนเราจะได้ผ่านพบอาชญากรรม ด้วยอาชญากรที่ร้ายกาจกว่า แล้วเรียกมันว่า นี่สิคือ ความยุติธรรม
(บางส่วนจากความยุติธรรมอยู่ที่ไหน)
...................................................
คำเตือน ความยุติธรรมข้างต้น คือคำประกาศสงครามกลางเมือง
จาก thaifreenews