ที่มา ไทยรัฐ
รัฐบาล “อภิสิทธิ์” เดินหน้าท้าพิสูจน์ฝีมือว่าแน่สักแค่ไหน หลายเรื่องหลายราวล้วนยากยิ่ง ครม.ใหม่ไม่ได้ดังใจนึกเพราะเงื่อนไขและปัจจัยมันบีบรัด หนี้บุญคุณก็ต้องจำใจยอม
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ไม่ได้เป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลมานานราว 8 ปี เมื่อมีช่องเปิดให้ก็ต้องกระโจนเข้าใส่จนได้สมอยาก
“ประชาธิปัตย์” เป็นแกนนำรัฐบาล มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ
แต่เมื่อมีแค่ 163 เสียง แต่รัฐบาลได้เสียงสนับสนุน 235 เสียง ต้องอาศัยเสียงสนับสนุน 72 เสียงจากพรรคร่วม 4 พรรค และกลุ่มเพื่อนเนวิน ดังนั้น ครม.ชุดใหม่ก็เลยหน้าตาออกมาอย่างที่เห็นๆกันอยู่
ดีที่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติและผู้คนทั้งประเทศต้องการให้มีรัฐบาล ซึ่งเปลี่ยนขั้วการเมืองที่สามารถทำงานได้ต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหา
เศรษฐกิจ การเมือง และความขัดแย้งแบ่งค่ายแบ่งสี
โดยเฉพาะนายกฯคนใหม่ที่แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ภาพลักษณ์ดี มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยดังจากต่างประเทศ ซื่อสัตย์สุจริตจึงได้รับการยอมรับและให้พิสูจน์ตัวเอง
การออกตัวด้วยการเปิดใจ แนวคิดและแนวทางการทำงานก็ได้รับการขานรับ แต่การที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯครั้งนี้ด้วยบุญคุณทางการเมืองจากคนหลายกลุ่ม จึงมิอาจจัดการในเรื่อง ครม.อย่างที่ปรารถนาได้
เพราะต้องผ่องถ่ายให้พรรคร่วมและกลุ่มเพื่อนเนวิน รวมถึง “ทุน” ที่โผล่เข้ามามีชื่อแบบเหนือเมฆแม้แต่ลูกพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่รู้มาก่อน
ขณะที่การตั้งรัฐมนตรีในส่วนของพรรคก็เกิดปัญหาเพราะมีบรรดา ส.ส.ไม่ค่อยสบอารมณ์ การจัดสรรจึงเปิดฉากฟัดทันที
“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ประกาศใช้หนี้ทุน “วีระชัย วีระเมธีกุล” เรียบร้อยไปแล้ว
เรียกว่าเริ่มต้นก็เกิดอาการกระเพื่อม ยังไม่รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดปัญหาขัดแย้งภายใน ซึ่งต้องดูว่าน้ำหนักจะเทไปข้างไหน
อีกทั้งพวก “เสื้อแดง” ที่แม้ว่าจะไม่คึกคักเหมือนเก่า แต่ก็ยังประกาศจะลุยรัฐบาลต่อไป บางจังหวัดห้ามนายกฯและรัฐมนตรีเข้าพื้นที่
ยังมี “สีเขียว” บางท่านออกมาระบุว่านายอภิสิทธิ์จะทำงานได้ลำบาก เพราะบารมียังน้อยและต้องถูกครอบงำจาก “สุเทพเนวิน”
เรียกว่าเริ่มต้นก็ดูตึงๆเลยทีเดียว
และเท่ากับว่าทุกอย่างต่างก็กดดันไปที่ตัวนายอภิสิทธิ์ ว่าจะสามารถแหวกม่านทะมึนที่ปกคลุมอยู่ได้หรือไม่
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนท้าทายนายกฯคนใหม่ว่าจะจัดการกับปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละเรื่องล้วนหนักหนาสาหัสสากรรจ์และสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
แม้จะมีแนวทางที่ชัดเจน มีความตั้งใจจริง แต่ก็ยังพิสูจน์ว่าจะมีความกล้าหาญมากน้อยแค่ ไหนที่จะตัดสินใจต่อการแก้ไขปัญหา
จะสามารถควบคุมรัฐมนตรีให้ทำงานร่วมกันได้แค่ไหน ทำยังไงไม่ให้เกิดการแหกคอก ก่อปัญหาการใช้อำนาจ การทุจริตคอรัปชัน ฯลฯ
นั่นคือจะมีภาวะความเป็นผู้นำในความเป็นจริงได้หรือไม่
ว่าที่จริงแล้วก็คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่นายอภิสิทธิ์ ได้เป็นผู้นำประเทศในขณะที่บ้านเมืองกำลังมีปัญหา ดังนั้น ความคาดหวังจึงสูงและต้องการให้แก้ไขผ่านพ้นไปได้ และไม่ต้องการให้คืนกลับไปสู่วงจรเก่าไม่รู้จบ กันอีก
ข้อสำคัญก็คือหากนายกฯและรัฐบาลชุดนี้สามารถนำรัฐนาวาปริ่มน้ำ ผ่านพ้นไปได้ก็มีโอกาสที่จะอยู่ยาวได้
และนั่นจะทำให้พรรคเพื่อไทยหงอยแน่
หากบริหารประเทศไปได้ห้วงหนึ่งและเห็นว่าแก้ไขปัญหาได้ระดับหนึ่ง โอกาสที่จะ “ยุบสภา” เพื่อเลือกตั้งใหม่ก็เป็นไปได้ เพราะเชื่อว่าประชาชนพอใจ
นั่นหมายความว่าประชาธิปัตย์ต้องมั่นใจว่าเห็นชัยชนะรออยู่ข้างหน้า หากรูปการณ์ออกมาอย่างนั้น
แต่ที่แน่ๆหากเป็นไปเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยก็คงจะลำบาก
อีกไม่นานก็ได้รู้ฝีมือกันแล้วว่าจะแน่สักแค่ไหน?
"ลิขิต จงสกุล"