สร้อยแก้ว คำมาลา
เขาเป็นชายร่างเล็ก หน้ากร้านเกรียม มือดำขมุกขะมอม
เขายิ้มง่าย พูดเก่ง และต้อนรับเราอย่างมีอัธยาศัยด้วยน้ำเปล่าในขวดน้ำอัดลม
เขาปาดเหงื่อบนหน้าผาก และคราบน้ำมันก็เลอะใบหน้าเขาเล็กน้อย
ด้วยอาชีพช่างซ่อมรถยนต์และความรู้ระดับ ป.7 ในหมู่บ้านชาวนาตีนเขา
ชายไทยอายุ 49ปี ผู้นี้คืออีกหนึ่ง,
ที่ฉันอยากถ่ายทอดคำพูดของเขาให้คุณฟัง
ทั้งหมดนี้คือภาษาที่เขาใช้ ฉันไม่ได้ดัดแปลง ตบแต่ง แต่อย่างใด
ทำไมถึงเข้าร่วมกับการชุมนุม
เรา ไปเพราะอยากให้มีประชาธิปไตยที่แท้จริง ถ้าได้เราก็เลิก ถ้าเขาบอกว่าจะไม่ปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วจะปกครองแบบเผด็จการก็บอกมาตรงๆ ไม่ใช่บอกว่าเราปกครองแบบประชาธิปไตย แต่เนื้อในจริงๆ ไม่ใช่ ผมไม่ชอบการรัฐประหาร
คุณเริ่มเข้าชุมนุมตั้งแต่เมื่อไหร่
อืม ม์... เมื่อไหร่ผมก็บอกไม่ถูก จำไม่ค่อยได้ แต่เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะบอกว่าผมสนใจการเมือง และผมก็เห็นความไม่ชอบธรรมตั้งแต่ตอนรัฐประหาร และผมก็เข้าร่วมแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนตอนโหวตไม่เอารัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ นั่นคือการใส่เสื้อแดงครั้งแรกของผม
ถามว่า ผมเข้าใจเรื่องการเมืองแค่ไหน ผมก็คงบอกว่าผมก็เหมือนคนรากหญ้าคนอื่นๆ ที่แต่ก่อนเข้าใจเรื่องการเมืองแบบผิวเผิน ไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้ง บอกตรงๆ เมื่อก่อนตอนไปก็เข้าใจแค่นิดหน่อย ก็พากันไป แต่พอไปทุกครั้งมันก็ค่อยยกระดับการรับรู้ขึ้นทีละหน่อยว่าการเมืองคืออะไร ในความรับรู้ของคนทั่วไปคิดว่าการเมืองคือความชั่วร้าย คือการคดโกง ความฉิบหายของประเทศนี้เกิดขึ้นเพราะนักการเมือง มันเป็นวาทกรรมที่เขาสร้างขึ้นมา คนพูดไม่รู้เข้าใจแค่ไหน แต่คนเสื้อแดงเข้าใจแล้วว่าการเมืองคืออะไร การเมืองคือปากคือท้องของเรา คือการได้อยู่ได้กินของเรา คือการได้รับของเรา มันสำคัญยิ่งกว่าคนชื่อทักษิณ ต่อไปมันจะเป็นใครก็ได้ อภิสิทธิ์ก็ได้ ถ้าประชาชนได้รับผลประโยชน์ เขาก็จะเลือกคุณ นี่คือความเข้าใจทางการเมืองของเรา และนี่คือการเมือง
มี คนบอกเราว่าอย่ามายุ่งกับการเมือง เพราะการเมืองน่ารังเกียจ สะอิดสะเอียน พยายามไม่ให้เรายุ่ง แต่มันเป็นไปไม่ได้ การเมืองมันยุ่งกับเราตั้งแต่เราเกิดแล้ว เขาไม่อยากให้เรายุ่งเพราะเขาอยากปกครองเราง่ายๆ มากกว่า
ผมเคยอ่านงานเขียนของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขาบอกว่า การเมืองคือการเข้ามามีอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม
คุณดูมีความรู้มากกว่าชาวบ้านธรรมดา
ถ้า ถามผมว่าเป็นใคร ผมเป็นคนธรรมดา ถ้าถามผมว่ามีความรู้เท่าไหร่ ถ้าเป็นใบปริญญาอย่างพวกคุณ ผมไม่มี แต่ผมมีปัญญา ผมศึกษา ถ้าอยากรู้ว่าคนรากหญ้าคิดอย่างไร ผมทำหนังสือเป็นเล่มได้อย่างคุณเหมือนกัน
ผลประโยชน์ที่คุณได้รับจากการเมืองชัดเจนที่สุดคืออะไร
ผม มีลูกสาวสองคน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับผมมาตลอดยี่สิบปีนี้คือ เรื่องการศึกษาของลูกผม ทุกปีที่ลูกผมเลื่อนขึ้นชั้นเรียนใหม่ ผมจะต้องไปขอทุนการศึกษาให้ลูก ผมจะต้องไปพิสูจน์ความยากจนต่อหน้าคณะกรรมการสี่ห้าคนเพราะทุนมีจำกัด คนอยากได้ทุนมีหลายคน ดังนั้น เราต้องมาแข่งกัน พูดอย่างไรก็ได้ให้เราดูยากจนที่สุด ทุเรศที่สุด น่าอเนจอนาถที่สุด ไฟไหม้บ้าน น้ำท่วมนา หลังคารั่ว ข้าวไม่มีกิน เพื่อให้เราดูยากจนกว่าคนอื่นๆ นี่คือหลักการให้ทุน ถามว่าแล้วศักดิ์ศรีของผมอยู่ตรงไหน
แต่ระบบการ เมืองในหลายปีที่ผ่านมามันมีนโยบายใครเรียนได้ ต้องได้เรียน เราไม่ต้องไปพิสูจน์ความยากจน คือถ้าคุณสอบเข้าได้ คุณต้องได้เรียน คุณไม่ต้องไปทำอะไรเลย แค่ไปเซ็นเท่านั้น มันจะมีการติดต่อระหว่างรัฐกับสถานศึกษานั้นเลย ไม่ต้องไปพิสูจน์ความยากจนหรือไม่ยากจน
ในประเทศ ที่เขาพัฒนาแล้ว การเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะทรัพยากรมนุษย์มันจะต้องมีคุณค่า แต่ในอดีตเราถูกหลอกว่าเป็นเวรกรรม ความเป็นจริงเราขาดโอกาสต่างหาก อย่างทุกวันนี้เราก็ขาดโอกาสในการเข้าถึงสื่อสารมวลชน (หมายเหตุ : ปัจจุบันลูกสาวคนโตของเขาเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
ชอบ ทักษิณหรือไม่ชอบทักษิณผมไม่รู้ แต่เขาเอาประชาธิปไตยที่อยู่บนพานลงมาให้คนจนสัมผัส ได้รู้ว่าถ้าคุณเลือกคนที่เหมาะสม เขาก็จะจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์กับคุณได้ มันอยู่ในรูปของโอกาส
อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค ถามหน่อยเถอะ ชั่วนาตาปี คนที่อ้างว่าตนเองทำเพื่อประเทศชาติๆ ชั่วนาตาปีเคยหยิบยื่นโอกาสนี้ให้คนจนไหม สมัยก่อนเราป่วย เราไม่กล้าไปหาหมอ เพราะเราไม่มีเงิน ป่วยก็อดเอา ถ้าไม่ไหวจริงๆ มีนาขายนา มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ ถ้าเข้าโรงพยาบาลมันเป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้คนเสื้อแดงเข้าใจแล้วว่า เรามีสิทธิ์ที่จะได้รับการรักษาฟรี และมันไม่ใช่เงินใคร ไม่ใช่เงินทักษิณด้วย แต่เป็นเงินของพวกเรา เป็นเงินจากการจัดเก็บภาษีอากรของเรา
พรรคเก่าแก่พรรคนั้นมันบอก ว่า 30 บาทตายทุกโรค แต่มันมีเงิน มันไม่ได้จนเหมือนเรานี่ มันป่วยมันเข้าโรงพยาบาลเอกชน แล้วมันก็ป่าวประกาศว่านโยบายนี้ล้มเหลวๆ แต่สำหรับคนจน มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และที่มีค่ามากกว่านั้นคือ เราได้รู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะรักษาฟรี ถึงวันนี้คุณจะมายึดสิทธินี้เราไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะแม้เราจะรักษาฟรี แต่คุณไม่ได้ให้เราฟรี คุณไม่ได้ให้อะไรเราเลย เพราะมันเป็นสิทธิที่เราต้องได้ มันคือเงินภาษีของประชาชน
หลาย คนชอบคิดว่าเสื้อแดงโง่ ถูกจ้างมา ถามหน่อยว่าคุณจะไปจ้างคนเป็นล้านเป็นแสนได้ไหม เอารายชื่อถวายฎีกาไป 5 ล้านคน จ้างได้หรือ ผมสาบานได้ ผมไม่ได้รับเงินจากใคร
หรือ อย่างที่เขาชอบว่าพวกเราโดนซื้อเสียง ถ้าเราซื้อเสียงได้ง่ายอย่างนั้น เอาอย่างนี้ นายชวนเดินเข้ามาที่นี่ เอาเงินมาให้เรา ซื้อเสียงให้เต็มที่เลย ถามว่าเราจะเลือกเขาไหม ของอย่างนี้มันมีความผูกพันครับ มันไม่ใช่แค่คุณมีเงิน ถ้าเราจะเลือกคนคนนี้เสียอย่าง ไม่ต้องเอาเงินมาให้สักบาทหรอก ล้าสมัยแล้วครับที่จะมาบอกว่าเราโดนซื้อ อย่างตอนนี้รัฐบาลก็ทุ่มงบแจกทั้งชนชั้นกลาง ชาวบ้าน ข้าราชการ ถามว่าเขาจะซื้อใครได้บ้าง ช้าราชการ ชนชั้นกลางอาจจะได้ แต่ชาวบ้านไม่ได้หรอก
เป็นความคิดที่ตื้นเขินมากนะครับที่คิดว่าเงินอย่างเดียวมันจะซื้อคนได้
แล้ว ความผูกพันระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน มันผิดตรงไหนครับ มันเป็นวิถีธรรมดาที่คนในอนารยประเทศนานาเขาทำกันอยู่นะครับ มันไม่ใช่ว่าเราเกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง เราต้องเป็นคนไม่ดี เรากลายเป็นคนไม่ดีไปแล้ว ไอ้นี่มีผลประโยชน์แอบแฝง แล้วถามว่าทุกครั้งที่เราเลือกนักการเมืองเข้าสภา เราไม่ได้เลือกจากการที่เขาจะจัดสรรผลประโยชน์ให้เราหรือ ก็ไอ้นโยบายต่างๆ นั่นล่ะที่เราต้องมาพิจารณาว่ามันจะเอื้อประโยชน์อะไรให้กับเราบ้าง
พูดภาษาบ้านๆ ไปด้วยใจของผม คือ แบบนี้
คำ ว่าประชาธิปไตยคุณต้องยอมรับหนึ่งคนหนึ่งเสียง คุณต้องยอมรับเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก่อน ไม่งั้นพูดเรื่องอื่นไม่ได้ อย่าคิดว่าชอบหรือไม่ชอบ คุณอยู่ในขบวนประชาธิปไตย คุณต้องยอมรับหนึ่งคนหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง จะทำอะไรก็ต้องถามสังคมก่อน ถามว่าสังคมคืออะไร สังคมคือการที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีกิจกรรมร่วมกัน มีศิลปวัฒนธรรมร่วมกันมายาวนานและมีข้อตกลงร่วมกัน ไม่ใช่การบังคับนะครับ และไม่ใช่เรื่องชั่วครู่ชั่วยาม เพราะถ้าชั่วครู่ชั่วยามอย่างการมุงดูรถชนกัน มันเป็นแค่ฝูงชน ไม่ใช่สังคม มันจึงต้องยอมรับกติกาของการอยู่ร่วมกัน แต่พอกติกามันบอกว่าจะเอาคนนี้ เลือกคนนี้ คุณกลับบอกว่าไอ้พวกนี้โง่ มันถูกซื้อเสียง
ที นี้ถ้าคุณอยากปกครองแบบประชาธิปไตยคุณก็ต้องยอมรับเสียงของประชาชน แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับคุณก็บอกไปเลยว่าเราปกครองแบบเผด็จการ ผมจะได้ไม่ต้องไปไล่เถียงกับใครต่อใครว่าประชาธิปไตยคืออะไร แต่นี่คุณบอกประชาธิปไตยแต่กลับไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ มันคืออะไร ผมก็งง (หัวเราะ)
สิ่งที่คุณทำมันขัดแย้งในหลักการ รัฐบาลตอนนี้ไม่มีหลักการอะไรเลย ขณะที่ประชาชนเขาชัดเจนว่าเขากำลังต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ต้องเอาคนฆ่าประชาชนมาลงโทษ แต่คณิตบอกว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่เอาคนฆ่ามาลงโทษ เขามีหน้าที่มาปรองดอง อ้าว! มันขัดกันนะ มันจะปรองดองได้ยังไง
ผมไม่หวัง เรื่องปรองดอง ขนาดญาตินักข่าวประเทศญี่ปุ่นที่เสียชีวิตเขามาถามความคืบหน้ากับตำรวจไทย เราไม่มีความคืบหน้าให้เขาเลย สามเดือนแล้ว เขาเลยใช้สิทธิ์พลเมืองไปฟ้องศาลเอง ศาลจะต้องเปิดพิจารณา มันก็ผ่านขั้นตอนพนักงานสอบสวนและอัยการ แต่ว่าศาลไม่รับฟ้อง ถ้ามันมีการฟ้องมันจะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ทีนี้มันไม่มีไง มันแสดงถึงกระบวนการยุติธรรมเราไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้
ผมถึงถามย้ำว่า เรากำลังต่อสู้ในระบอบของอะไร
จริงไหมครับ ตอนเราต่อสู้กับอะไรไม่รู้ วันนั้นผมอ่านในเว็บไซต์หนึ่ง มีงานเขียนของคนชื่อ ปรวย
คุณเข้าอินเตอร์เน็ตด้วยหรือ
ครับ ผมเป็นคนแก่ทันสมัย คุณปรวยทำให้เรามีแง่คิด เกี่ยวกับดีเอสไอ เขาถามว่า คุณกล้าจับคนที่ปิดสนามบินไหม ยกตัวอย่างถ้ามีรถเบ๊นซ์กับมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดง คุณไม่จับรถเบ๊นซ์ คุณจับมอเตอร์ไซค์ ถามว่าทำไมคุณไม่จับรถเบ๊นซ์ เพราะคุณกลัวรถเบ๊นซ์หรือ ไม่ใช่ คุณไม่ได้กลัวรถเบ๊นซ์ แต่คุณกลัวคนที่อยู่เบื้องหลังรถเบ๊นซ์นั่น นี่เป็นคำเปรียบเทียบที่ผมชอบใจมาก คือ เขาไม่ได้กลัวรถเบ๊นซ์ แต่เขากลัวคนที่อยู่เบื้องหลังรถนั้นต่างหาก
เพราะ ฉะนั้น ที่คุณไม่จับคนยึดสนามบิน คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณไม่ได้กลัวคนยึดสนามบิน แต่คุณกลัวคนที่อยู่เบื้องหลัง คุณรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ ไม่เป็นไร วันหนึ่งความจริงจะปรากฏ ไม่เกินยี่สิบปีนี้หรอก จากนี้ไปมันเป็นเรื่องของประชาชน ตอนนี้ไม่ว่าองค์กรใดก็ตาม เขาพยายามจะหาหลักฐานมาสู้ หาข้อมูลหาหลักฐานมามัดให้แน่นๆ ไม่ว่าในส่วนของพรรคการเมืองและ ของหน่วยงานอื่น
เห็นบางคนบอกว่าหลัง พรก.ฉุกเฉินเลิกใช้ คนเสื้อแดงจะลุกฮืออีก
ผม ไม่เห็นด้วยเลย คุณจะลุกฮือไปทำไม คุณจะไปทำอะไร ประชาชนตายกันเท่าไหร่ตั้งแต่สมัยเดือนตุลาแล้ว เราไม่เคยหลาบจำกันหรือ ไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการเคลื่อนไหว พยายามจะยับยั้งด้วยซ้ำ เพราะเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนชุมนุมเขาบอกเราหลายครั้งแล้วว่า สู้อีกหน่อย สู้อีกหน่อย อีกแค่สองขีดเท่านั้น เดี๋ยวทหารแตงโมจะมาช่วยเรา ตำรวจมะเขือเทศจะช่วยเรา พยายามปลุกเร้าเราให้สู้ อดทนอีกหน่อย อีกสองขีดเราก็จะชนะ จะเกิดแนวร่วมมหาศาล จะเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ กระบอกปืนจะหันไปทางผู้บัญชาการ ไม่ใช่ประชาชน ตามแต่จินตนาการของคนที่ปลุกเร้าบนเวที เขาเรียก นักจินตนาการ เสร็จแล้วผมก็บอกว่า บทเรียนเราผ่านมาตั้งหลายครั้งเราไม่ได้จดจำหรือ เราเดินเข้าไปให้เขาตี ให้เขาเอาเราเป็นเป้า เราโดนตีครั้งแล้วครั้งเล่า ไปเพื่ออะไร ถึงเวลาหรือยังที่เราจะหันมาทบทวนบทเรียนและหายุทธวิธีกันใหม่
คุณพูดกับใคร
พูด กับเสื้อแดงด้วยกัน -- ต่อให้คุณเผาอะไรไปสารพัด แค่เผากองขยะเล็กๆ สักกอง ควันไม่ทันจางเลย ถามว่า แล้วคุณจะไปอยู่ที่ไหน คุณจะมีแผ่นดินยืนอยู่หรือ มันไม่มีทาง เพราะเงินเขาก็มี อำนาจเขาก็มี กระสุนปืนเขาก็มี
แล้วคุณคิดว่าควรทำอย่างไร หรือว่าอยู่เฉยๆ
ไม่ ใช่อยู่เฉยๆ แต่เราก็ทำของเราไป ตามแนวทางของเรา สร้างความรู้ต่างๆ ขึ้นมาให้กับประชาชน สิทธิของพลเมือง อำนาจอธิปไตยต่างๆ ของประชาชน มันคืออะไร เราจะต้องวางรากฐาน ปูฐานตัวนี้ให้แข็งแรง เขาบอกว่ามีผู้นำแนวดิ่งมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัยแล้วที่พาคนไปตายไม่รู้จักจบ จักสิ้น พอได้หรือยังที่ผู้นำจะพาคนไปตาย อย่างที่สมบัติทำตอนนี้เป็นผู้นำแนวนอน ผมเห็นด้วย
เราไม่ได้ปล่อยเวลาไปเฉยๆ นะ ก็อย่างที่เรากำลังคุยนี่ล่ะคือเรากำลังเริ่มทำ
เน้นสร้างความรู้ ไม่เอาการเคลื่อนไหว
ไม่ ใช่ คือกิจกรรมอะไรก็ต้องมี คือมีรูปแบบกิจกรรมแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ต้องไปในแนวทางเดียวกันหรอก ไม่ต้องมาทำอะไรเหมือนๆ กัน ไม่ต้องมาระดมกันทุกภาคส่วนกันหรอก ขอใช้ภาษาของหมอประเวศหน่อย ฮ่าๆ (หัวเราะ)
คุณพอใจคณะปฏิรูปไหม
ตราบ ใดที่เราอยู่ในรัฐบาลนี้ ผมยอมรับไม่ได้ แล้วอาจารย์หมอประเวศนี่ ผมถามคุณหน่อยในฐานะที่คุณเป็นสื่อ คุณเคยได้ยินหมอประเวศให้สัมภาษณ์ครั้งใดบ้างที่แสดงออกให้เห็นว่าเขามีจุด ยืนอยู่เคียงข้างประชาธิปไตยที่แท้จริง มีไหมที่เคยออกมาพูดว่าผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร มีไหม ผมว่าจุดยืนของเขาชัดเจนนะว่าเป็นอย่างไร
แล้วผม ถามหน่อย นายอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมอันใดที่จะมาตั้งคณะกรรมการปรองดองหรือปฏิรูป ในเมื่อคุณคือคู่ขัดแย้งกับประชาชน แล้วผมขอถามว่านายประเวศหรือนายอานันท์หน่อยว่าคุณใช้อำนาจในมาตราใดมา ปฏิรูป มีกฎหมายใดรองรับพวกคุณหรือ?
แต่คุณอานันท์ หมอประเวศ มีภาพพจน์ในการช่วยเหลือคนจน คนด้อยโอกาส
ก็ นั่นมันภาพ ภาพที่รัฐบาลอยากให้เราเห็นเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เราก้าวล้ำไปกว่านั้นแล้ว เรามาถึงการคิดวิเคราะห์กันแล้วว่าบทบาทที่แท้จริงของประชาชนควรเป็นอย่างไร แล้วบทบาทของพวกเขาควรเป็นอย่างไร เขาถือสิทธิ์อะไรมาอยู่เหนือเราในการจะมาปฏิรูปประเทศ แล้วคุณอานันท์นี่ ถ้าย้อนกลับไป เขาเคยเป็นนายกฯ ได้เพราะอะไร ก็เพราะการรัฐประหารไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้มาจากระบอบการเลือกตั้ง อันนี้ผมพูดเพราะที่มาที่ไปของคุณอานันท์มันก็ไม่ชอบธรรมแล้ว
คือนี่แหละโลกของเรา ประเทศไทยเราอยู่กับโฆษณาชวนเชื่อ บางทีคนที่ดีที่สุด อาจจะชั่วร้ายที่สุดก็ได้
ยก ตัวอย่างเวลาคุณเดินออกไปจากหมู่บ้าน คุณจะเจอป้ายโฆษณา เป๊บซี่ดีที่สุด เป๊บซี่ดีที่สุด ออกไปสักครึ่งชั่วโมง คุณเห็นอยู่สามป้าย อยู่ในบ้านคุณดูทีวี คุณเห็นเป๊บซี่ดีที่สุด ทีนี้ พอคุณมีงานบุญอะไร คุณไม่มีเป๊บซี่ไม่ได้แล้ว คุณจะเลี้ยงแค่น้ำเปล่า เขาจะหาว่าขี้เหนียว ต้องมีเป๊บซี่ดีที่สุด เพราะเขาบอกว่า เป๊บซี่ดีที่สุด ทั้งที่เป๊บซี่นี่มันเป็นกรดนะครับ ที่ประเทศอินเดียนี่เขาฟ้องร้องกันนะครับ แต่ว่าคนไทยเราเชื่อปักใจกันไปแล้วว่าเป๊บซี่ดีที่สุด
ดังนั้น เราต้องแยกกันให้ได้นะครับว่าความจริงคืออะไรกับภาพที่เขาต้องการให้เราเห็นคืออะไร
รู้สึกอย่างไรที่คนในเมืองมักจะมองว่าผู้มาชุมนุมมาสร้างความเดือดร้อนให้
รู้สึก ว่าไม่เป็นธรรม รู้สึกว่าเราถูกแบ่งแยก ก็เหมือนภาพที่เขาเอาน้ำมาฉีดถนน ทำความสะอาด เอายาฆ่าเชื้อมาโรย แล้วจากนั้นก็จัดถนนคนเดิน มีคอนเสิร์ต มันเป็นการเหยียดหยามคนจน เป็นการตอกย้ำความแตกต่างของคนในเมืองกับคนชนบทชัดเจน เป็นการตอกลิ่มความขัดแย้ง เป็นสองนครา
มันเป็นการ บอกว่าคุณนี่ไม่มีคุณค่าแม้แต่จะเหยียบตีนเข้ามาในกรุงเลย มาล้างรอยตีนหมู่เฮา เป็นรอยเสนียดจัญไร คนเหนือเรานี่ถือนะครับ ถ้าใครออกบ้านไปแล้วเอาไม้กวาดมาปัดนี่ แสดงความรังเกียจกันอย่างแรง เป็นการบอกว่ามึงอย่ามาที่นี่อีก ภาพเหล่านี้มันตรึงตราครับ มันเจ็บปวด เรานี่ไม่มีคุณค่าเลย
แต่รู้ไหมครับ มันก็เป็นธรรมดาของคนเราเพราะเรื่องที่คนเราต้องต่อสู้จะมีแค่นี้คือดำรง เผ่าพันธุ์และสืบทอดเผ่าพันธุ์ เราทำให้เขาไม่ได้ช็อปปิ้ง ไม่ได้เดินห้าง เขาเดือดร้อน เราทำลายวิถีการดำรงเผ่าพันธุ์ของเขา เขาก็สู้
คำ ที่ผมเจ็บปวดมากคือ ไอ้พวกรถไฟพามา เขามองเราเป็นคนบ้านนอก มากับรถไฟ มันรู้สึกเจ็บปวด บ่อยครั้งที่ดูทีวี ขอความสุขคืนมาผมน้ำตาไหล
ถ้าวันนั้นเสื้อแดงชนะ คุณจะรู้สึกอย่างไร
ว่า ตามจริง ถึงตอนนี้แล้วผมไม่อยากให้เสื้อแดงชนะหรอกครับ ถึงชนะก็ไม่จบ เสื้อเหลืองก็คงจะออกมา คุณต้องเข้าใจ ประเทศเราไม่ได้มีแค่รัฐกับเสื้อแดงนะ มันมีกลุ่มอื่นๆ อีก เพราะฉะนั้น การจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยต้องเป็นกำลังประชาชาติ คือ มีความหลากหลายของหมู่คน ไม่มีใครยึดติดอันใดอันหนึ่ง มันต้องเป็นความร่วมมือของชนชั้นที่หลากหลาย ผมอยากเห็นอย่างนั้นมากกว่า ประเทศถึงจะสงบอย่างแท้จริง
ถ้าไม่อยากให้เสื้อแดงชนะแล้วการต่อสู้ที่ผ่านมาของคุณล่ะคืออะไร
คือ ผมไม่อยากให้เสื้อแดงชนะเพียงกลุ่มเดียวเข้าใจไหมครับ แต่หมายถึงเป็นความตกลงยินยอมสมัครใจของคนทั้งประเทศ เป็นข้อตกลงที่เรามีร่วมกัน เป็นการจัดสรรผลประโยชน์ที่ลงตัวของคนในชาติเรา คือเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศไม่ใช่แค่เสื้อแดง พูดตามจริง ถ้าคนไทยเราคิดตรงกันว่ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ มันก็จะดีมาก มันจะไม่มีความขัดแย้งต่อกันอีก ตอนนี้ผมถึงเห็นด้วยกับการให้ความรู้กับประชาชนว่าประชาธิปไตยคืออะไร