คอลัมน์ เหล็กใน
ทั้งการปะทะกันเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และการใช้กำลังทหารและยุทโธปกรณ์บดขยี้กลุ่มผู้ชุมนุม ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.
แม้ที่ผ่านมาจะใช้อำนาจพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน บิดเบือนและปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
แรกๆ สังคมก็อาจรู้สึกคล้อยตาม หลงใหลไปตามกระแสแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ
ทั้งกรณีชายชุดดำบ้าง หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบ้าง
เพราะรัฐบาลใช้สื่อของรัฐออกข่าวสารด้านเดียว โหมประโคมใส่ร้ายผู้ชุมนุม จนละเลยข้อเท็จจริง
กล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง และล้มล้างสถาบัน
สร้างภาพป้ายสีผู้ชุมนุมให้คนบางกลุ่มเห็นพ้องว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ไม่เคารพสิทธิคนเมืองหลวง
เพื่อสร้างความชอบธรรมในการกวาดล้าง เข่นฆ่า และจับกุม
นายอภิสิทธิ์ยืนกระต่ายขาเดียวอ้างตลอดเวลาว่าไม่เคยสั่งให้ปราบปรามประชาชน
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ยืนยันทุกครั้งว่าไม่เคยสั่งให้ทหารลั่นกระสุนใส่ผู้ชุมนุม
ล่าสุด พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสธ.ทบ. ก็ยืนกรานอ้างว่าไม่เคยสั่งการให้หน่วยสไนเปอร์ขึ้นบนตึกสูง ยิงเด็ดหัวผู้ชุมนุม
แต่เมื่อมีการล้มตายที่เกิดจากคมกระสุนเกือบ 100 ศพ บาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันชีวิต
ใครจะออกปฏิเสธอย่างไร โยนผิดเช่นใด ก็ย่อมมิอาจปกปิดข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้
กาลเวลาผ่านล่วงเลยไป
การสังหาร การตาย และความรุนแรงที่แยกราชประสงค์ ผ่านมา 4 เดือนกว่าแล้ว
การที่ฝูงชนพากันหลั่งไหลออกมาร่วมกันรำลึกกว่า 1 หมื่นคน ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีใครลืมเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
อีกไม่นานก็จะถึงวันที่ 10 ต.ค. ซึ่งนัดหมายกันว่าจะออกมาร่วมรำลึกครบรอบ 6 เดือนเหตุการณ์อำมหิตที่สี่แยกคอกวัว
ก็จะพิสูจน์อีกครั้งว่า ผู้คนจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่
สำหรับผู้ที่อีกไม่กี่วันก็จะหมดอำนาจ แม้จะบอกว่าไม่ยุ่งกับการเมือง และจะอยู่ให้ห่างจากสื่อ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะตามหลอกหลอนไปตลอดชีวิต
ส่วนนายอภิสิทธิ์ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็มีเค้าว่าอาจจะต้องลงจากเก้าอี้
เหตุการณ์ที่นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้สั่งการ ก็จะตามหลอนหลอกตลอดชีวิตเช่นกัน
รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในส่วนอื่นๆ ที่มีส่วนทำให้ประชาชนล้มตายและได้รับบาดเจ็บ
ก็ยากจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบตามปกติ
อย่างน้อยก็ทางใจ