สมศักดิ์ เทพสุทิน
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
เห็นพฤติกรรมของผู้มีอำนาจและผู้ที่เกี่ยวข้องในการอนุมัติขายข้าวสาร และมันเส้นในสต็อกรัฐบาลหมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาทแล้ว บอกได้คำเดียวว่า เป็น "5ห่วงตัวแม่(พ่อ)"จริงๆ
เพราะขนาดถูก(หนังสือพิมพ์)จับได้คาหนัง คาเขา คาปากว่า บริษัท ที่เสนอซื้อเป็นบริษัทในเครือข่ายของที่ปรึกษานางพรทิวา นาคาสัย รัฐมนตรีพาณิชย์และเครือข่ายของครอบครัว"เทพสุทิน"ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มวังน้ำยม (พรรคภูมิใจไทย)ต้นสังกัดของนายพรทิวา ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน(conflict of interest)ชัดเจน ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า ไม่ทราบ(ไม่สนใจ?)ว่า บริษัทที่ได้รับการอนุมัติให้ซื้อข้าวสารแอละมันสำปะหลังเส้น ใครเป็นใครหรือเกี่ยวโยงกับใคร โดยอ้างว่า เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และให้ราคาดี
นอกจากนั้นยังมีคำพูดเก๋ๆให้ดูดีว่า
"การ ค้าเสรี เราปิดกั้นไม่ได้ ใครจะมาซื้อมาขาย หลักๆ เป็นแบบนี้ ใครมาตามกระบวนการ ก็ต้องขาย ไม่ใช่เผด็จการ จะทำแบบนั้นไม่ได้ แล้วคนซื้อจะเป็นใคร เกี่ยวโยงกับใคร เราไม่รู้..."
ทั้งๆที่ถ้า เป็นการค้าเสรีจริงๆ กระบวนการซื้อขายต้องโปร่งใส การแข่งขันต้องเป็นธรรม และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเพราะเป็นช่องทางที่อาจทำให้เล่นพรรคเล่นพวกหรือ ใช้อิทธิพลแทรกแซงการประมูลได้ หรือถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจริงก็ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ก่อน
มิ ใช่ทำแบบลับๆล่อๆอย่างทุกวันนี้โดยอ้างว่า เป็นความลับทางการค้า แต่ความจริงเป็นการปิดประตูตีแมวเพราะขนาดอนุมัติให้ขายให้บริษัทใดแล้ว ยังอ้างว่า ไม่ยอมเปิดเผยชื่อบริษัทเนื่องจาก กลัวถูกขุดคุ้ยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนั้น การปกปิดข้อมูลดังกล่าวยังเป็นขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการซึ่งนายกรัฐมนตรีมักพูดในที่ต่างๆว่าให้ความ สำคัญกับกฎหมายฉบับนี้
มาดูกันว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายข้าวสารและมันเส้นในสต็อกรัฐลเป็นอย่างไร
หนึ่ง ปัจจุบันคาดกันว่า สต็อกข้าวสารของรัฐ(ทั้งในโกดังขององค์การคลังสินค้า-อ.ค.ส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร-อ.ต.ก.)มีรวมกันประมาณ 5.6 ล้านตัน
ปรากฏ ว่า ในการขายข้าวที่ฝากไว้กับ อ.ต.ก. 1.5 ล้านตัน มูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท เมื่อสิงหาคม 2553 คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร ซึ่งมีนายมนัส สร้อยพลอย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธาน คัดเลือกผู้เสนอซื้อ 4 ราย ได้แก่ บริษัท ไชยพร บริษัท นครหลวงค้าข้าว และบริษัท เอเชียโกลเด้นท์ไรซ์ ซึ่งทั้ง 3 รายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ได้ข้าวไปเพียง 4 แสนตัน
ขณะอีกหนึ่งบริษัทโนเนมคือ เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ตั้งเมื่อ 20 เมษายน 2551 ได้ข้าวไปถึง 1.1 ล้านตัน มูลค่าไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท
จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท เอ็มทีฯ มี น.ส.ภาวินี จารุมนต์ เป็นหนึ่งในกรรมการผู้มีอำนาจ และถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เม้งไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2552 มีน.ส.ภาวีนีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ด้วย
น.ส.ภา วินีและครอบครัว"จารุมนต์"ยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท ในกลุ่มของครอบครัว"เทพสุทิน"หลายแห่ง เช่น บริษัท ดี แลนด์ เพอร์เฟคที่ นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดาบุตรของนายสมศักดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น
บริษัท เมก้า แลนด์ มีนายเทิดไท เทพสุทินและ นายภเชศ จารุมนต์ เป็นกรรมการผู้อำนาจ มี นายเทิดไท-น.ส.ณัฐธิดา-นางพร เทพสุทิน เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับน.ส.ธราพัน -นายภเชศ จารมนต์
สอง การประมูลมันเส้นกว่า 250,251 ตัน มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2551/52 เมื่อมิถุนายน 2553
บริษัท ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะทำงานดำเนินการระบายผลิตภัณฑ์มัน สำปะหลังที่มีนายมนัส สร้อยพลอย เป็นประธานคณะทำงาน(อีกแล้ว)คือ กาญจนาพันธ์ ฟาร์ม หนองลังกาฟาร์ม และ ไพรสะเดาฟาร์ม ในเครือของบริษัท กาญจนาฟาร์ม มีนายวิวัฒน์-นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นใหญ่
สำหรับนางบุญยิ่งนั้น ครม.เมื่อ 13 มกราคม 2553 มีมติแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีพาณิชย์
สามี นางบุญยิ่งคือ นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา เป็นอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย จ.ราชบุรี(ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง) สังกัดกลุ่มวังน้ำยมที่มีนายสมศักดิ์ เป็นหัวหน้า
ดัง นั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นางบุญยิ่ง ภรรยานายวิวัฒน์ได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือของนางพรทิวา (ดู "เปิดหลักฐานเครือข่ายกลุ่มวังน้ำยมเร่งสะสมทุน กินรวบประมูลข้าว -มันเส้นกิน มูลค่า15,000 ล้าน" http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284900686&grpid=10&catid=no)
พยาน หลักฐานเอกสารที่เชื่อมโยงบริษัทดังกล่าวเข้ากับกลุ่มวังน้ำยม และที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ แม้มิได้บ่งบอกถึงการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบโดยตรง
แต่พฤติการณ์ดังกล่าวขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองพ.ศ. 2551 อย่างชัดแจ้ง อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบต้องดำเนินการ
ถ้านายกฯเพิกเฉย ผู้ตรวจการแผ่นดินต้องเข้ามาสอบสวน ถ้าพบว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงต้องส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน
ถ้ายังไม่มีใครทำอะไรอีก ก็เอาระเบียบที่ว่าไปเช็ดก้นยังมีประโยชน์กว่า