เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกับถ่าน เพียงแต่ถ่านเป็นไม้ที่ผ่านการอบการเผาไม่นาน แต่เพชรผ่านความร้อนไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้วด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเครื่องประดับอันงดงามมีความแข็ง และมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า
ช่วงก่อนผมรู้สึกหมดไฟ ทดท้อกับอะไรบางอย่าง อาการอ่อนแรงนั้นกลับสามารถทำให้ตัวเองนิ่งได้ ความเนิบช้าเป็นโอกาสให้ “ทบทวนความหลัง ระผิดความผิด เตือนจิตของตน” ได้พอประมาณ
การ ตามใจตัวเองอย่างไร้ สติตามนิสัยของผม แม้ไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็มักพรั่งพรูหากมีอะไรมาโดนใจอย่างจัง จนบางครั้งการปล่อยอารมณ์และความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ ที่มักเผลอไผลกระเจิงไปอย่างไร้ทิศทาง บางครั้งอาจไปก้าวล่วงใครต่อใคร
ความ รู้สึกท้ออ่อนแรง ดังว่า พอรู้ตัวทั่วพร้อมต้องกำจัดมันออกไป ฝึกที่จะตัดสิ่งเร้าที่เป็นตัวสร้างอารมณ์ขุ่นมัวเสีย เริ่มด้วยการอย่าจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้นานเกิน ฯลฯ หันมาดูทีวีประเภทสาระบันเทิงมากขึ้น เพื่อจำกัดพื้นที่ให้สติกลับมา และทำจิตใจให้เบิกบานอยู่ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้
*หนังสือ “ศิลปะ แห่งอำนาจ” (The Art of Power) ซึ่งเขียนโดยท่าน ติช นัท ฮันห์ พระนิกายเซนชาวเวียดนาม เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ปี 2510 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจผมแช่มชื่นขึ้นมาได้บ้าง ท่านติช นัท ฮันห์ ก่อตั้งชุมชนทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ให้ชื่อว่า หมู่บ้านพลัม (Plum Village) ช่วงแรกเป็นแหล่งพักพิงของผู้ลี้ภัย ปัจจุบันหมู่บ้านพลัมได้ต้อนรับผู้คนมากมายในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ผมเขียนถึงท่านในงานบางชิ้นบ้างแล้ว
ท่านกล่าวไว้ในหนังสือนี้ว่า “สังคมของเราตั้งอยู่บนอำนาจที่ถูกนิยามไว้อย่างคับแคบ อันได้แก่ ความมั่งคั่ง ความสำเร็จทางอาชีพ ชื่อเสียง ความเข้มแข็งของร่างกาย ความเข้มแข็งทางการทหาร และอิทธิพลทางการเมือง ...ยังมีอำนาจอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว นั่นคือ พลังอำนาจที่จะมีความสุขในปัจจุบันขณะ เป็นอิสระจากสิ่งเสพติด ความกลัว ความท้อแท้สิ้นหวัง ความแบ่งแยก ความโกรธ และความหลงลืม พลังอำนาจเช่นนี้เป็นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง หรือไม่มีใครรู้จัก คนรวยหรือคนจน คนแข็งแรงหรือคนอ่อนแอ...”
ประเด็นที่กระตุกความคิดของผมได้อย่างมากคือท่านได้ชี้ให้เห็นว่า “อำนาจ ที่เรียกว่าเป็นพื้นฐานแห่งความสุขที่แท้จริงนี้ มี 5 ประการ อันได้แก่ ศรัทธา ความเพียร สติ สมาธิ และปัญญา..... ในที่นี้ขอกล่าวถึงอำนาจที่สองและที่สาม อำนาจที่สอง คืออำนาจแห่งความเพียรที่จะรักษาการปฏิบัติและไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูง ความสนใจจนลืมที่จะปฏิบัติ อันได้แก่ การฝึกฝนไม่ให้อารมณ์เชิงลบหรือเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในจิตใจ การทำให้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีที่ได้ปรากฏขึ้น สงบตัวลง การบำรุงหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้ปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลาและรักษาให้ อยู่ได้นานที่สุด
ท่าน ติช นัท ฮันห์ อธิบายว่า จิตของเรานั้นล้วนมีเมล็ดพันธุ์ทั้งที่ดีและไม่ดีอยู่ในตัว การฝึกฝนจะทำให้เรารู้ทัน และสามารถดูแลไม่ปลุกให้เมล็ดพันธุ์ไม่ดี เช่น ความโกรธ ความกลัว ความรุนแรง ความท้อแท้ ตื่นขึ้น ในเบื้องต้นอาจทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นเร้า และคอยหมั่นบำรุงเมล็ดพันธุ์ที่ดี เช่น เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก การให้อภัย ความเบิกบาน
อำนาจ ที่สามคือ อำนาจแห่งสติ เป็นความสามารถในการตระหนักรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงสามารถโอบรับความทุกข์ ความโกรธ ความท้อแท้ใจ ได้อย่างสงบ และคลายทุกข์ลงได้ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง
อ่าน มาถึงตรงนี้ความ ท้อแท้ในใจทุเลาเบาบางลงเสียได้ ยิ่งได้ทบทวนประวัติบุคคลสำคัญๆ ในอดีตที่เคยทดท้อ ล้มเหลว แต่ท่านเหล่านั้นปลุกใจสู้มีกำลังใจแรงกล้าสามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนกลายเป็น บุคคลสำคัญของโลก อาทิ
ที่แฮนรีวิลล์ มลรัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา มีบุคคลท่านหนึ่ง **
อายุ 5 ขวบ พ่อของเขาเสียชีวิต
อายุ 16 ปี ต้องออกโรงเรียนกลางคัน
อายุ 16 ปี สมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพแต่ถูกเขาขับออก (โกหกเรื่องอายุเพื่อเข้าเกณฑ์ทหาร)
อายุ 18-22 ปี ประกอบอาชีพขายตั๋วรถไฟแต่ล้มเหลว
อายุ 20 ปี ภรรยาพาลูกสาวหนีไปเพราะทนใช้ชีวิตร่วมไม่ได้
จาก นั้นเขาจึงหันมา สมัครเข้าโรงเรียนกฎหมาย แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี เขาจึงสมัครทำงานเป็นพนักงานขายประกัน ในอาชีพใหม่นี้ เขาประสพความล้มเหลวอีกครั้ง เขาจึงเปลี่ยนงานเรื่อยไปทั้งเป็นนักดับเพลิง ฝึกงานที่ศาล เป็นคนขายยาง เป็นคนงานที่สถานีขนส่ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่ออายุ 47 ปี เขาพึ่งนึกได้ว่าตอนวัยเด็กเขาอาศัยอยู่กับแม่และได้เรียนรู้การทำอาหารจาก แม่ที่ต้องทำอาหารเลี้ยงน้องๆ อีก 2 คน ฝีมือการทำอาหารของเขาชนะการประกวดประจำหมู่บ้านเมื่อตอนเขาอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น
เขา จึงเริ่มทำงานที่เขา ถนัดคือสมัครเป็นพ่อครัวและเด็กล้างจานในร้านกาแฟเล็กๆ ในมลรัฐเคนทักกี้ เขาพัฒนาฝีมือในการทำอาหารเรื่อยมา อีก 9 ปีต่อมา สามารถเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง และคิดค้นสูตรลับไก่ทอดที่ประกอบด้วยเครื่องเทศต่างๆ ถึง 11 ชนิดได้สำเร็จ ไก่ทอดของเขาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทำให้เขาได้รับแต่งตั้งจากผู้ว่า การมลรัฐเคนทักกี้ให้เป็นถึง พันเอก
เขาผู้นั้นก็คือ พันเอก อาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ส เจ้าของผู้ก่อตั้งร้าน เคนทักกี้ ฟราย ชิคเคน และเจ้าของสูตรไก่ KFC นั่นเอง
จากที่เคยประกอบอาชีพมาหลายอย่าง และมักจะล้มเหลวเสมอ แต่ในที่สุดเขาได้กลายเป็นเศรษฐีในบั้นปลายชีวิต ปัจจุบันร้าน KFC มีสาขาต่างๆ กว่า 30,000 ร้านทั่วโลก
ประวัติอดีตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งซึ่งประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนี้ ***
อายุ 21 ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจ
อายุ 22 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของรัฐ
อายุ 24 ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจอีกครั้ง
อายุ 26 ปี คนรักของเขาตายจาก
อายุ 34 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
อายุ 36 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก
อายุ 45 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาวุฒิสภา
อายุ 47 ปี พยายามเป็นรองประธานาธิบดี แต่ไม่มีใครสนับสนุน
อายุ 49 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาวุฒิสภาอีก
อายุ 52 ปี ชนะการเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1861
อายุ 22 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสภานิติบัญญัติของรัฐ
อายุ 24 ปี ล้มเหลวในการประกอบธุรกิจอีกครั้ง
อายุ 26 ปี คนรักของเขาตายจาก
อายุ 34 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
อายุ 36 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก
อายุ 45 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาวุฒิสภา
อายุ 47 ปี พยายามเป็นรองประธานาธิบดี แต่ไม่มีใครสนับสนุน
อายุ 49 ปี พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภาวุฒิสภาอีก
อายุ 52 ปี ชนะการเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1861
บุคคล ผู้นี้คือ อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา เขาจะไม่มีวันได้เป็นประธานาธิบดีหากไม่สร้างความหวังและกำลังใจปลุกตนเอง ให้ลุกขึ้นจากความล้มเหลว
ความ หวังเป็นพลังช่วย ผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ เสียอะไรก็เสียไป แต่อย่าเสียกำลังใจ ความหวังและกำลังใจจะช่วยทำให้ร้ายกลายเป็นดี ดั่งเช่นในพระพุทธประวัติ
****นาง กีสาโคตรมี ได้กำเนิดบุตรน่ารักคนหนึ่ง แต่อยู่ได้ไม่นาน บุตรน้อยของนางเสียชีวิตกระทันหัน นางร่ำไห้เสียใจเป็นอย่างมาก จนสติฟั่นเฟือนครึ่งบ้า ไม่ยอมให้ใครเผาศพลูกชาย คิดเข้าข้างตัวว่าลูกชายของตนยังไม่ตาย เพียงสลบไปเท่านั้น นางมีความหวังว่าจะสามารถให้ฟื้นคืนชีพมาได้
ใครเขาจะบอกว่าลูกของนางตายแล้วก็ไม่ฟัง นางเที่ยวเสาะหาคนที่จะสามารถรักษาลูกชายของนางให้กลับฟื้น
จน มีผู้แนะนำให้นางไป เฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธองค์รักษา นางดีใจเป็นอย่างยิ่งจึงได้อุ้มศพบุตรชายรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่พระวิหารเชตวัน นอกเมืองสาวัตถี นางได้กราบทูลให้พระพุทธองค์รักษาบุตรน้อย พระพุทธองค์ตรัสให้นางไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักกำมือหนึ่งเพื่อนำมาเป็น ยารักษา แต่มีข้อแม้ว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะต้องเอามาจากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีใคร ตายมาก่อน
นาง กีสาโคตมีอุ้มศพลูก น้อยไปเที่ยวขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากชาวบ้านทั่วทุกครัวเรือน ไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว เนื่องจากแต่ละครัวเรือนก็มีคนตายมาแล้วทั้งสิ้น จนในที่สุดนางก็ได้สติกลับคืนมาและคิดได้ว่าความตายนั้นไม่ใช่ตายเฉพาะลูก เราคนเดียว คนอื่นก็ตายด้วย สักวันหนึ่งเราเองก็จะต้องตายเหมือนกัน
เมื่อ คิดได้ดังนี้ แสงสว่างแห่งปัญญาก็โพลงขึ้นกลางใจ ความเศร้าโศกที่แบกรับมาจนหนักอึ้งก็ผ่อนคลายเบาบาง จิตใจสดชื่น โปร่งโล่งสบาย นางจัดการเผาศพลูกชายตนเอง ด้วยความหวัง ความไม่ทดท้อที่จะให้ลูกฟื้น เป็นแรงบันดาลใจในการตามหาหมอรักษาลูก ทำให้นางกีสาโคตมีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจนบรรลุโสดาปัตติผล
ใน มหาเวสสันดรชาดก พราหมณ์ชูชกได้เข้าไปขอ กัณหาและชาลี ภาพตอนที่ชูชกฉุกลากสองพระองค์น้อยไปจากพระเวสสันดรและพระนางมัทรี ทำให้ชาดกเรื่องนี้เป็นที่สนใจอย่างมาก และยังเป็นประเด็นถกเถียงทางจริยศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ หากไม่มีพราหมณ์เฒ่าชูชกพระเวสสันดรก็มิอาจบำเพ็ญมหาบารมีทานได้สำเร็จ อุปสรรคปัญหาในชีวิตก็เช่นกัน เป็นสิ่งท้าทายให้เราก้าวพ้น เพื่อชีวิตที่ดี
พระพุทธเจ้าในสมัยที่เสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก***** ได้ชักชวนเพื่อนลงเรือสำเภาเดินทางไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ เมื่อเรือแล่นไปกลางมหาสมุทรในวันที่ 7 ประสบมรสุมใหญ่ถึงกับอับปาง พระมหาชนกครองสติปีนขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ แล้วดีดตัวเองให้ตกไปในที่ห่างไกลจากเรือ ซึ่งขณะนั้นมีสัตว์ร้ายกำลังรุมล้อมกัดกินคนอื่นๆ พระมหาชนกเพียรว่ายน้ำมุ่งหน้าเข้าฝั่งไปยังทิศที่ตนกำหนดว่าเป็นเมืองมิถิ ลานคร ผ่านไป 7 วัน ก็ยังเพียรว่ายไปไม่หยุดหย่อน โดยตั้งความหวังว่าจะต้องถึงฝั่งให้ได้
เทพธิดาชื่อว่ามณีเมขลาซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอด เห็นใจในความพยายามจึงถามพระมหาชนก ว่า “ท่านจะเพียรว่ายไปทำไมกัน เมื่อมองไม่เห็นฝั่งมหาสมุทร และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะไปถึง” พระมหาชนกตอบว่า “ วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา เกิดเป็นคน ควรพยายามร่ำไป จนกว่าจะได้สิ่งที่ปรารถนา” เมื่อได้เห็นความตั้งใจมุ่งมั่นเช่นนั้น เทพธิดามณีเมขลาจึงช่วยอุ้มขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย
การ ที่เราได้เจอสิ่งที่ คิดว่าดีสำหรับชีวิต ก็ต้องพยายามไข่วคว้าด้วยความปรารถนาที่ดีงาม แม้เจออุปสรรคปัญหาก็ต้องพยายาม เพราะในชีวิตประจำวันเราต้องเพียรต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ปลายังต้องว่ายทวนน้ำ เพื่อดักอาหารที่ลอยมาเลี้ยงชีพ “ปลา ที่ตายแล้วเท่านั้น ที่จะลอยไปตามกระแสน้ำ” ดนตรีที่จะไพเราะก็ต้องมีเสียงต่ำเสียงสูงของเครื่องดนตรีหลากชนิดบรรเลง ประกอบกัน หากมีเพียงเสียงเดียวหวานจ๋อยก็หาบันเทิงไม่
หลาย ท่านใดกำลังท้อ กำลังสิ้นหวัง ลองนึกทบทวนดูเถิดครับ ชีวิตคนเราต้องผ่านการเรียนรู้ภาคทฤษฎี และการทดลองพิสูจน์ทางกายภาพอย่างมากมาย ลองหันมาให้โอกาสกันและสร้างกำลังใจไม่ทดท้อต่อการพิสูจน์ด้านจิตวิญญาณ เพียรมุ่งมั่นฟันผ่าอุปสรรคขวากหนามที่ขวางกั้น
เพียง มีโอกาสและกำลังใจ ที่ดี จุดประกายสร้างความหวังเรื่อยไป ความหวังที่ไม่เสื่อมคลายจะทำให้สมปรารถนาสักวันหนึ่ง.. อย่าเพิ่งท้อ..นะครับ..อย่าเพิ่งท้อ เพราะ...ถ้าท้อเป็นถ่าน ถ้าผ่านเป็นเพชร
อ้างอิง
* ติช นัท ฮันห์, ศิลปะแห่งอำนาจ, สำนักพิมพ์ฟรีมายด์, กทม, 2552
** ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอร์ส จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, http://www.pooyingnaka.com/story/story.php?Category=forwordmail&No=1479/
***Robbins, A, Unlimited Powers, Fawcett Columbine, New York, 1986, P 73
**** พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย เถรีคาถา เอกาทสกนิบาต
***** พระมหาอภิเชต อภิเชฏฺโฐ, สร้างความหวังและกำลังใจ, สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง, กทม, 2538, หน้า 30