คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
คำถามนี้กระหึ่มขึ้นมาทันทีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจไม่เก็บภาษีน้ำมันลิตรละ 5.31 บาท
เพราะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และภาคเอกชนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดวิธี
ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ทำลายระบบการเงินการคลังอย่างรุนแรง
หากย้อนกลับไปดูวิธีแก้ปัญหาน้ำมันดีเซลของนายอภิสิทธิ์
มองได้แค่มุมเดียวคือหาเสียงแบบประชานิยม!
นายอภิสิทธิ์เคยประกาศไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่าจะไม่ยอมให้ราคาดีเซลเกินลิตรละ 30 บาท
จึงต้องทำทุกวิธีทาง อุ้มดีเซลไว้
ให้เหตุผลสวยหรูว่าไม่ต้องการให้กระทบภาคขนส่ง ไม่อยากให้ราคาต้นทุนสินค้าสูงขึ้น
นี่ก็หาเสียงกับชาวบ้านอีก!
ทั้งที่ความเป็นจริงแทบไม่เกี่ยวข้องกันเลย
เพราะภาคการขนส่งทุกวันนี้ใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือเอ็นจีวี
ไม่ใช่น้ำมันดีเซล
จึงสรุปได้ว่าการอุ้มดีเซลเพื่อพยุงราคาสินค้าเป็นเพียงข้ออ้างหาเสียง
และมาตรการอุ้มดีเซลของนายอภิสิทธิ์ นอกจากจะทำลายระบบการเงินการคลังแล้ว
ยังทำลายการปลูกฝังเรื่องการประหยัดของคนไทยอีกด้วย
การไม่ปล่อยให้ราคาดีเซลเป็นไปตามกลไกของตลาด ทำให้คนยังรู้สึกว่าน้ำมันดีเซลถูก
เลยตะบันใช้กันแบบไม่บันยะบันยัง
ยอดการใช้น้ำมันดีเซลในช่วงที่รัฐบาลนี้อุ้มไว้พุ่งสูงพรวดขึ้นวันละ 1-2 ล้านลิตร
ผิดกับน้ำมันเบนซินที่ราคาเป็นไปตามตลาดโลก
คนใช้รถรับสภาพเข้าสู่โหมดประหยัดไปโดยอัตโนมัติ
ลดปริมาณการใช้รถลง
ตรงนี้เคยมีคนเตือนนายอภิสิทธิ์แล้วว่าควรปล่อยลอยตัวราคาดีเซล
เพราะหากไปแทรกแซง จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี
แต่ถึงตอนนี้ก็ถือว่าสายเกินไปแล้ว
เพราะกองทุนน้ำมันกว่า 2 หมื่นล้านบาทก็ถูกรัฐบาลชุดนี้ใช้ไปเกือบหมดในการอุ้มดีเซลและแอลพีจี
เหลือไม่ถึง 3 พันล้าน
นายอภิสิทธิ์ไม่มีทางเลือก จึงต้องลดภาษีน้ำมัน
ทำให้รัฐสูญเสียรายได้อีกกว่า 4 หมื่นล้าน
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะต้องการหาเสียง ทำทุกวิธีทางให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
ชาวบ้านต้องไตร�ตรองเอาเองแล้วกันว่า
ยังจะให้โอกาสนายอภิสิทธิ์กลับมาบริหารประเทศอีกหรือไม่