คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด
เพราะน้ำเหนือก้อนใหญ่ลงทะเลไปแล้ว ประกอบกับพ้นช่วงน้ำทะเลหนุนสูงสุดเช่นกัน
แต่สถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่แน่นอน เพราะน้ำก้อนมหาศาลที่กระจายอยู่ตามทุ่งต่างๆ ทั่วภาคกลางเคลื่อนตัวมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ
ตรงนี้สร้างความตื่นตระหนกให้ชาวกรุงอย่างมาก เพราะไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะป้องกันไว้ได้หรือไม่
ยิ่งมาเจอปัญหา "ศปภ." กับ "กทม." แถลงไปคนละทิศคนละทาง ก็ยิ่งสับสนไปกันใหญ่
จนล่าสุดนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งดูแลศปภ. แถลงเสียงสั่น-น้ำตาคลอ วอนทุกฝ่ายหยุดเล่นการเมือง ร่วมกันแก้วิกฤตชาติ
ขณะที่อีกฟากหนึ่งก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งต้องยอมรับว่าทุ่มเททำงานอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้กรุงเทพฯ รอดพ้นจากวิกฤตน้ำท่วม
แต่การแถลงแต่ละครั้งของผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ก็ทำให้ประชาชนสับสนเหมือนกัน
เพราะจะเน้นตลอดว่า "ขอให้ประชาชนฟังผมคนเดียว"
ประโยคนี้แหละที่เป็นปัญหา คนฟังไม่รู้จะเชื่อใครดีระหว่างกทม.กับศปภ.
จนเกิดข้อสงสัยว่าทำไม กทม.กับศปภ.จึงไม่ร่วมมือกันทำงานแก้ปัญหาวิกฤตน้ำท่วมด้วยกัน
จะว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว ศักยภาพในการบริหารจัดการของกทม. ไม่เทียบเท่ากับรัฐบาลแน่นอน
ศปภ.เป็นศูนย์ที่รัฐบาลตั้งขึ้น การบูรณาการครบถ้วนทุกภาคส่วน
รวมศูนย์หมดทุกกระทรวง ทบวง กรม และทุกเหล่าทัพ
เครื่องมือเครื่องไม้ครบครัน งบประมาณพร้อมสรรพ ทำงานได้ฉับไว
เป็นศูนย์รวมข้อมูลทุกอย่างที่จะใช้ในการตัดสินใจ
จึงแปลกใจว่าทำไมกทม.จึงต้องแยกตัวออกมาบริหารจัดการปัญหานี้เพียงลำพัง !?
จนเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันกระหึ่มว่า กทม.เป็นเวทีเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นพื้นที่หาเสียงในช่วงวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้
กรุงเทพฯ จะรอดพ้นวิกฤตน้ำท่วมหรือไม่ อยู่ที่ความร่วมมือแก้ไขของทุกภาคส่วน
ที่สำคัญต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หากกรุงเทพฯ ไม่รอดน้ำท่วมจริงๆ ก็ยังถือว่าทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาอย่างถึงที่สุดแล้ว
อย่าลืมว่าบ้านเมืองเราต้องสูญเสียครั้งใหญ่มาหมาดๆ เมื่อปี"53 ก็เพราะเกมช่วงชิงอำนาจที่แหกคอกแหกประชาธิปไตย
แล้วยังจะปล่อยให้กรุงเทพฯ ต้องพังพินาศจากพิษน้ำท่วม
เพราะเกมการเมืองกันอีกหรือ !?