25 กรกฎาคม, 2012 - 22:59 | โดย Somyot-Redpower
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
โลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
วิกฤติจากประเทศหนึ่งลุกลามขยายตัวไปทุกส่วนของโลก
จากศูนย์กลางทุนนิยมโลกอเมริกาถึงยุโรป ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายจึงต้องเตรียมความพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ประเทศไทยพึ่งพิงการค้าการลงทุนระหว่างประเทศย่อมต้องได้รับผลกระทบ
อย่างรุนแรง จะเห็นได้ว่าในปี 2555 การส่งออกขยายตัวเพียง 12.8%
และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 3-5% ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาคเดียวกัน
อีก 3 ปีข้างหน้า (2558) ประเทศในอาเซียน
รวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community: AEC)
แต่ละประเทศในภูมิภาคนี้จึงเตรียมความพร้อมที่จะช่วงชิงโอกาสของการเปลี่ยน
แปลงที่จะเกิดขึ้นอีก 3 ปีข้างหน้า
เพราะจะมีฐานการผลิตและการตลาดเป็นหนึ่งเดียวกัน
รวมทั้งการเคลื่อนย้ายการค้าการลงทุนอย่างเสรีไร้ขีดจำกัด
พม่าสามารถปรับตนเองอย่างรวดเร็วด้วยการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการ
เมือง เช่น การปล่อยตัวนักโทษการเมือง
การยอมให้มีเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น และการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้น
ส่วนลาว-กัมพูชา มีรัฐบาลมั่นคง
กำลังปรับปรุงระเบียบแบบแผนระบบราชการให้พร้อมกับการขยายตัวของการค้าการลง
ทุน
ในขณะที่ประเทศไทยมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจนกองทุนการเงิน
ระหว่างประเทศ (IMF) จัดให้ไทยเรามีขนาดของจีดีพี สูงเป็นอันดับที่ 21
ในบรรดา 179 ประเทศ แม้ว่าประเทศไทยจะเคยมีวิกฤติการณ์เศรษฐกิจตกต่ำในปี
2540 แต่ก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
ความรุนแรงและความผันผวนทางการเมือง รัฐบาลที่อ่อนแอ-อายุสั้น
การบริหารประเทศด้วยระบอบอำมาตย์เฒ่า การสนับสนุนนักการเมืองเมื่อวานซืน
ที่ใช้แต่ฝีปากกับฝีตีนมากกว่าใช้ฝีมือ
ใช้กำลังทหารเข่นฆ่าประชาชนอย่างป่าเถื่อน
นักการเมืองและข้าราชการสอพลอโกงกินรับตำแหน่งต่างตอบแทน
ทำให้การบริหารงานราชการแผ่นดินเหลวแหลกเละเทะ
การทุจริตคอรัปชั่นแพร่ระบาดอย่างหนัก
นักธุรกิจต้องจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ข้าราชการ-นักการเมืองที่คดโกง
เป็นจำนวน 30-35% ของงบรายจ่ายและการลงทุน คิดเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 300,000
ล้านบาท จากงบรายจ่ายปี 2555 จำนวน 840,143.2 ล้านบาท
กลไกการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นสตง. หรือปปช.
มิได้มีการปราบปรามกวาดล้างอย่างจริงจังเด็ดขาด
แต่กลับทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
ทำให้การทุจริตคอรัปชั่น เป็นมะเร็งร้ายในระบบเศรษฐกิจ
อุทกภัยน้ำท่วมเมื่อ ปี2554
รัฐบาลทุ่มเงินจำนวนมหาศาลในการชดเชยเยียวยาประชาชน
แต่ทว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์
ทำให้การเยียวยาประชาชนในเขตพื้นที่น้ำท่วม กลายเป็นประเด็นทางการเมือง
จนทำให้การจ่ายเงินเยียวยาบานปลาย
กลายเป็นกระแสความไม่พอใจของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
ความอ่อนหัดในการบริหารจัดการด้านพลังงานแทนที่จะลดภาษีสรรพสามิต
น้ำมันแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้น้ำมันราคาถูกลง
เพื่อลดต้นทุนการผลิตขนส่งภาคเกษตร
แต่รัฐบาลกลับลดเก็บเงินเข้ากองทุนราคาน้ำมันในส่วนของเบนซิน
ทำให้กองทุนขาดรายได้เดือนละ 7,000 ล้านบาท
ในที่สุดเมื่อกองทุนน้ำมันขาดสภาพคล่อง
จึงไม่สามารถพยุงราคาแก๊สแอลพีจีได้อีกต่อไป
ต้องประกาศลอยตัวราคาตามต้นทุนที่แท้จริง
ซึ่งจะส่งผลให้มีการขึ้นราคาจากกิโลกรัมละ 18 บาท เป็น 24 บาท
หรือแอลพีจีขนาด 13.5 กิโลกรัม ถังละ 250 บาท จะเพิ่มขึ้นเป็น 350 บาท
จะทำให้ค่าครองชีพด้านอาหารมีราคาแพงขึ้น
เรื่องน่ายินดีทางด้านเศรษฐกิจก็คือรัฐบาลเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำวันละ
300บาท หรือเพิ่มขึ้น 40% สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
เป็นการรักษาอำนาจซื้อของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาคือประสิทธิภาพการผลิตยังเพิ่มได้ไม่มากนัก
เนื่องจากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงใช้แรงงานไร้ฝีมือเสียมากกว่า
และในส่วนนี้หันกลับไปจ้างงานแรงงานต่างด้าว แทนที่แรงงานไทย
ส่วนแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหางานทำไม่ได้ เป็นจำนวน 152,000
คน คิดเป็น 42.33% ของจำนวนผู้ว่างงาน
ซึ่งหมายถึงการสูญเสียทางด้านการศึกษา ที่ไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน
ส่วนภาคเกษตรก็ต้องพบกับภัยธรรมชาติ ความผันผวนของราคาพืชผลการเกษตร
งบประมาณของรัฐได้ทุ่มเทเพื่อแทรกแซงกลไกการตลาด
ด้วยการรับจำนำข้าวจะช่วยให้เกษตรกรรักษาระดับรายได้
การรับจำนำข้าวจะทำให้รัฐต้องใช้เงินงบประมาณปีละ 500,000 ล้านบาท
หากการบริหารจัดการหละหลวม จะเป็นเหตุให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย
ปัญหาพื้นฐานภาคเกษตรมีมาช้านานแล้ว คือปัญหาการถือครองที่ดินทำกิน
ชาวนาทั่วประเทศเช่านาสูงถึง 75% อีกทั้งประสิทธิภาพการผลิตต่ำ
กล่าวคือชาวนาไทยปลูกข้าวตามยถากรรมได้ 448 กิโลต่อไร่
ส่วนเวียดนามปลูกข้าวได้ 862.4 กิโลต่อไร่ สูงกว่าไทย 2 เท่า
การทุ่มงบประมาณในโครงการประชานิยม ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วย อาทิเช่น
การใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต การปฏิรูปที่ดิน
การส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรสร้างอำนาจการตลาดด้วยตนเอง
การหลับหูหลับตาโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
จะทำให้ทิศทางการพัฒนาด้านการเกษตรของไทยกลับหัวกลับหาง
งบประมาณจำนวนมากถูกนำมาใช้ภายใต้ชื่อ “เศรษฐกิจพอเพียง” แบบผักชีโรยหน้า
ก่อให้เกิดการสูญเปล่างบประมาณด้านการพัฒนาการเกษตร
ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลก
ยังมีโครงการขนาดยักษ์หรือเมกะโปรเจกต์จำนวนมากที่ไปไม่ถึงไหน อืดอาด
ทั้งในเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ การสร้างทางรถไฟรางคู่ และรถไฟความไวสูง
เมื่อเปรียบเทียบกับฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ซึ่งกำลังลงทุนก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนของประเทศไทยยังทะเลาะกันไม่จบ
จนไม่มีเวลาพัฒนาโครงการขนาดยักษ์ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้คงไม่สดใสเท่าใดนัก อีกทั้งในช่วง 10
ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการกระจายรายได้แย่ที่สุด
คือมีช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวย ห่างกัน 15 เท่า
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งมีช่องว่างอยู่ราว 10 เท่า
ผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจ-สังคมพบว่า ครัวเรือนมีหนี้สินคิดเป็น 56.9% ของประชากรทั้งหมด โดยมีหนี้เฉลี่ย 136,562 บาทต่อครัวเรือน
รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาล
เพื่อผลักดันนโยบายตามที่หาเสียงไว้ ด้วยการออกพรบ.กู้เงินทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จาก 42% เป็น 50%
ของจีดีพีในปี 2556 หากเศรษฐกิจหดตัว การจัดเก็บภาษีไม่บรรลุเป้าหมาย
จะนำมาซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อฐานะการคลังของประเทศได้
โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะตกต่ำถึงขั้นล่มสลายมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง
ทีเดียว เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางการเมือง อันได้แก่การรัฐประหาร
ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน
ระบบตุลาการขาดความเป็นกลาง ไม่มีความน่าเชื่อถือ ภายใต้กฎหมายที่ล้าหลัง
ศาลเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการละเมิดสิทธิเสรีภาพ
การจับกุมคุมขังนักโทษการเมือง การใช้มาตรา 112
ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ดังเช่น
ความขัดแย้งระหว่างศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งขยายขอบเขตอำนาจไปก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
และการยกเลิกโครงการนาซ่าสำรวจอากาศ เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจะกลายเป็นระเบิดเวลา
ทำลายล้างสังคมไทย โอกาสแห่งความฉิบหายทั้งหลายทั้งปวง
กำลังใกล้เข้ามาถึงอยู่ในเร็ววันนี้