ข้อสังเกตุการเสด็จสหราชอาณาจักรของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
อันเนื่องมาจากหมายกำหนดการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาฯ
พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ในวันเสาร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ในพระบรมมหาราชวัง เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา
นั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่พสกนิกรผู้จงรักภักดีต่อพระราชวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นล้นพ้นยิ่งนัก
ว่า น่าจะเป็นการบังเอิญที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ก็ทรงมีพระราชกรณียกิจเสด็จยังประเทศมาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในวันที่ ๒๔
และ ๒๕ กรกฎาคม แล้วเสด็จต่อไปเยือนสหราชอาณาจักรจนกระทั่งถึงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม
จึงจะเสด็จกลับพระนคร
แม้นว่าพระบรมโอรสาธิราชฯ
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะทรงพระราชอิสสริยยศใกล้เคียงในทางสืบราชสันตติวงศ์*(1)
นั่นคือพระเชษฐาทรง “สยามมกุฏราชกุมาร” และพระขนิษฐภคินี “สยามบรมราชกุมารี” แต่การที่มิอาจทรงสามารถเสด็จประทับร่วมพระราชพิธีมหามงคลอันสำคัญที่พระเชษฐาทรงมีพระชนมายุครบ
๖๐ พรรษา หรือ ๕ รอบนักษัตรเช่นนี้
ย่อม
เป็นที่เสียอกเสียดายของไพร่ฟ้าจะได้ชื่นชมพระบารมีอย่างพร้อมหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวโรกาสที่พระชนกทรงบรรเทาอาการพระโลหิตซึมใต้เยื้อพระ
สมอง
เช่นเดียวกับพระชนนีทรงพระวรกายดีขึ้นไม่มีอาการแทรกซ้อนทางพระสมอง
ดังนั้นในวันพระราชพิธีมหามงคลดังกล่าวจึงน่าที่จะเป็นวันที่ข้าราชบริพาร
ทั้งหลายได้แซ่ซร้องชื่นชมพระบารมีต่อพระราชวงศ์อย่างถ้วนทั่ว
แต่กระนั้นก็ดี
ในการเสด็จประเทศมาเลเซียของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
หมายกำหนดการแจ้งว่าทรงมีภารกิจนำคณะนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าชั้นปีสี่ไปทัศนศึกษา
และจะทรงรับตำแหน่งสมาชิกกิติมศักดิ์ จากสถาบันเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ด้วย
ส่วนการเสด็จเยือนสหราชอาณาจักรอาจไม่ปรากฏหมายกำหนดการแน่นอน
ทว่าเนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ณ นครลอนดอน วันที่ ๒๗
กรกฎาคม พอดี
จึงพออนุโลมว่าทรงเสด็จเป็นขวัญกำลังใจให้แก่นักกีฬาไทยที่แม้มีจำนวนไม่มากนัก
หากการปรากฏพระวรกายย่อมเป็นทั้งศิริมงคลแก่พสกนิกรไทย
และได้ประกาศนามประเทศไทยต่อประชาชนของประเทศเจ้าภาพไปพร้อมกัน
สำหรับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นประธานในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล
ในงานเฉลิมพระเกียรติ “๖๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ์” ที่บริเวณท้องสนามหลวง
ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ กรกฎาคมนั้น พระองค์ก็ทรงเสด็จต่างประเทศเนืองๆ
เช่นเดียวกับพระขนิษฐภคินี
นับว่าทรงภารกิจประกาศนามประเทศไทยให้ต่างชาติได้มักคุ้นอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน
ในทุกแห่งที่เครื่องบินโบอิ้งที่ทรงขับด้วยพระองค์เองไปลงจอด
ดังเช่นเมื่อไม่นานมานี้เองก็ได้ทรงนำคณะข้าราชการในพระองค์ราว ๓๐
คนไปเยี่ยมชมร้านค้าของเก่ามีชื่อในเมืองแฮมเชียร์ ชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งของอังกฤษ
นับว่าทั้งสองพระองค์
สยามมกุฏราชกุมาร และสยามบรมราชกุมารี ล้วนทรงภารกิจในฐานะตัวแทนแห่งองค์พระประมุขให้นานาชาติรู้จักไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
เป็นที่ผ่อนคลายกังวลของพสกนิกรผู้จงรักภักดีในยามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีโรคภัยให้ต้องระคายเคืองตามวิสัยของการเจริญพระชนมพรรษา
นัยหนึ่งประดุจว่ามีพระผู้สืบราชสันตติวงศ์มั่นคงเป็นกำลังสอง
เฉกเช่นเคยปรากฏมาในโบราณกาล
ครั้งหนึ่งนั้นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้ชาติ
ทรงมีพระอนุชา คือพระเอกาทศรถเคียงข้างอย่างจอมทัพในการทำศึกกับไพรี
อีกครั้งหนึ่งในราชวงศ์จักรีนี่เอง
สมัยที่พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์อยู่นั้น ก็ทรงมีพระปิ่นเกล้าฯ
พระอนุชาทรงพระราชอำนาจในการบริหารกิจการแผ่นดินเคียงข้างองค์พระมหากษัตริย์เช่นกัน*(2)
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าที่พสกนิกรผู้จงรักภักดี
และมีความสนใจเป็นพิเศษอย่างห่วงใยต่อการสืบราชสันตติวงศ์จะต้องวิตกไปเกินเหตุจนกลายเป็นการแบ่งฝักฝ่ายดั่งข้าคนละเจ้า
บ่าวคนละนาย ทำตัวเป็นอัลตร้ารอยัลลิสต์
มีความจงรักภักดีอย่างบ้าคลั่ง ลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าสายเลือดขัตติยะเอง
สร้างความอาฆาตเกลียดชังในหมู่พสกนิกรจนถึงขั้นห้ำหั่นทำลายล้างต่อกัน
อันเป็นปัญหาสากรรจ์ของบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้
*(1) รัฐ ธรรมนูญ ๒๕๑๗ บัญญัติให้ราชนารีสืบราชสันตติวงศ์ได้ แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔ ให้กลับไปใช้กฏมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ โดยมอบพระราชอำนาจในการแก้กฏมณเฑียรบาลแก่พระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ดู ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในเดลี่นิวส์ http://www.dailynews.co.th/article/351/3959
*(2) ทรง ได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือที่ออกพระนามกันว่า "วังหน้า" มีพระเกียรติยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูวิกิพีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2
*(1) รัฐ ธรรมนูญ ๒๕๑๗ บัญญัติให้ราชนารีสืบราชสันตติวงศ์ได้ แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔ ให้กลับไปใช้กฏมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ โดยมอบพระราชอำนาจในการแก้กฏมณเฑียรบาลแก่พระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ดู ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ในเดลี่นิวส์ http://www.dailynews.co.th/article/351/3959
*(2) ทรง ได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระมหาอุปราช) หรือที่ออกพระนามกันว่า "วังหน้า" มีพระเกียรติยศเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 เสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดูวิกิพีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2