พื้นที่บทความไม่เที่ยงจึงต้องเปลี่ยนแปลง...เหตุเพราะถูกกระชับพื้นที่ แต่เนื้อหาก็จะยังคงเข้มข้นเต็มไปด้วยสาระข้อเท็จจริง พร้อมข้อกฎหมายข้อคิดและหลักธรรมในประเด็นสาธารณะต่างๆ...เพราะ “เรืองไกร” จะฟ้องประชาชนต่อไป ประเด็นสาธารณะนั้นมีความสำคัญที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งนักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเข้ามา “แทรกแซงขัดขวาง” ย่อมเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบและไม่มีผลใช้บังคับ ถ้าอ้างว่ามีกฎหมายให้อำนาจกระทำได้ ก็คงมีการตีความกฎหมายแบบเอาสีข้างเข้าถูหรือแถไปตามใจผู้มีอำนาจ โดยการใช้กฎหมายตามอำเภอใจ
ทั้งๆ ที่ตัวอักษรในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดว่า กระทำไม่ได้ มันบางคนก็ยังทำ...ยังแอบอ้างฐานะต่างๆ มากระทำ โดยการปิดกั้นสื่อ แทรกแซงสื่อ ขัดขวางการเสนอข่าวในประเด็นสาธารณะต่างๆ ที่เปิดเผยถึงความชั่ว ความไม่ชอบธรรม ความไร้ซึ่งมาตรฐาน ขาดจริยธรรม เพราะคนชั่วกลัวความจริง!
การใช้ฐานะความมีอำนาจโดยขาดความชอบธรรมนั้นมิอาจทำให้ความชั่วที่กระทำไปจริงโดยพยายามปกปิดไว้ สูญหายไปจากใจของประชาชน เพราะจะปิดกั้นได้เฉพาะความไม่อยากรู้อยากเห็นของคนชั่วเองเท่านั้น การไม่ยอมรับความจริงของคนชั่ว ที่ไม่กล้ารับฟังเสียงสะท้อนของสังคม ย่อมเป็นไปโดยการ ปิดหู ปิดตา ของคนที่ชั่วเสียเอง ยิ่งปิดมากย่อมทำให้มีการเปิดมากขึ้น เพราะการปิดกั้นนั้น หาได้ทำให้จิตใจของประชาชนถูกปิดกั้นแต่อย่างใด
นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้อำนาจของประชาชน จึงต้องทำหน้าที่นั้นเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน...จะใช้อำนาจไปในทางที่ผิดไม่ได้ สำคัญที่สุดคือ ไม่สมควรใช้อำนาจนั้นมาเข่นฆ่าประชาชน
ดังนั้น การใช้อำนาจใดมาเข่นฆ่าประชาชน อำนาจนั้นเป็น “อำนาจเถื่อน” เป็นอำนาจแห่ง “ทรราช” ผู้กระทำการหรือผู้ร่วมกระทำการ ทั้งผู้ใช้ผู้สนับสนุนผู้เกี่ยวข้อง ย่อมต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ไม่มีบทกฎหมายใดตาม “ระบอบประชาธิปไตย” ที่ให้มีการทำร้ายประชาชน ไล่ล่า ฆ่าฟันประชาชน ให้บาดเจ็บล้มตายไปโดยวิธีการโหดเหี้ยมทารุณ ตามท้องถนนและสถานที่สาธารณะต่างๆ ได้
การปกปิดการกระทำโดยคิดว่า ไม่มีใครรู้ใครเห็น และอ้างเหตุการณ์ตายของประชาชนว่า เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย อ้างได้...แต่มีใครเชื่อหรือไม่? หรือไม่เชื่อก็เลยไม่ให้เสนอข่าวปิดกั้นกันต่อไป
ความจริงคือความจริง...มิมีใครหลีกหนีความจริงไปได้ ถ้านักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดมิได้ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ ก็ไม่ต้องกลัวความจริงที่ทำนั้น แต่นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดทำแต่ความชั่ว แอบอ้างการใช้อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบ เพราะให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้อง และใช้อำนาจเหล่านั้น ไปในทางที่ผิด
มันพวกนั้นย่อมกลัวว่าความจริงจะถูกเปิดเผย การพยายามปกปิดความจริงจึงเกิดขึ้น...แต่จะปกปิดได้จริงหรือย่อมเป็นไปไม่ได้ เปรียบเหมือนการพิจารณาหลักธรรมเรื่อง ฐานะ 5 ที่บอกให้รู้ถึงการพลัดพรากจากของรัก ผลของกรรมดี กรรมชั่ว และการไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตาย ไปได้
ฐานะ 5 เป็นคำสอนหนึ่งในหลักศาสนาพุทธอันมี สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า
1.เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
2.เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
3.เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล้วงพ้นความตายไปได้
4.เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง
5.เรามีกรรม เป็นของตน เป็นผู้รับผลแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น
นำธรรมมาบอกนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่ทำความชั่ว ความเลวทรามเอาไว้ ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้นหนีไม่พ้นหรอก ไม่ว่าจะทำบุญล้างบาป หรือวางกระถางต้นไม้อย่างไรก็ตาม กรรมตามมาแน่ ๆ