การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ที่สำคัญเป็นการปฏิรูปทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม เพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง มิใช่เพื่ออำมาตย์อย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีประเวศ วะสีและอานันท์ ปันยารชุณ ดำเนินการอยู่
โดย แนวร่วมคนเสื้อแดง
“คนเสื้อแดง” คงเข้าใจกันดีว่า ข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีเหล่าเครือข่ายอำมาตย์ ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ เป็นผู้นำที่อ้างว่า เป็นตัวแทนภาคประชาชน รับภารกิจนี้ เพื่อกลบกระแส หลีกหนี “มือเปื้อนเลือด” “ฆาตรกรสั่งฆ่าประชาชน” ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และคงอำนาจอำมหิตของระบอบอำมาตย์ให้มั่นคงไว้
แม้ว่า เครือข่ายอำมาตย์ จะอ้างว่า มีเจตจำนงค์ที่จะ“ปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาคในสังคมไทยก็ตาม แต่เนื้อแท้แล้วเป็นเพียงการซื้อเวลาในการคงอยู่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่จะไม่ยุบสภา ไม่ให้มีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมท่ามกลางกฎเหล็กพรบ.ภาวะฉุกเฉิน ในการข่มขู่ปราบปรามคนเสื้อแดง และการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดงเป็น “ผู้ก่อการร้าย” พร้อมๆกับหมายจับแกนนำคนเสื้อแดง
อย่างไรก็ตาม การ“ปฏิรูปประเทศไทย” นั้น เป็นสิ่งที่คนเสื้อแดงได้ต่อสู้เรียกร้องมาโดยตลอด เพราะ คนเสื้อแดง ต้องการ “ปฏิรูปประเทศไทย” ให้สังคมไทยก้าวไปสู่สังคมที่เป็นประชาธิปไตย มีความเสมอภาค มีความเป็นธรรม และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่า
“คนเราเท่ากัน”
การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ของคนเสื้อแดง จึงมีข้อสรุปรวบยอด อยู่ที่ว่า “การปฏิรูปทางการเมือง” ให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจอธิปไตยต้องมาจากปวงชน อำนาจนอกระบบ(องคมนตรี ศาล ทหาร ฯลฯ)ต้องไม่แทรกแซงทางการเมือง ทุกคนหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากันในการเลือกผู้ปกครองผู้บริหารประเทศ ที่มีวาระการขึ้นสู่อำนาจมีกฏกติการ่วมกัน มีกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุล
ประชาชน-สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในการรวมกลุ่ม เสียงส่วนน้อยต้องเคารพเสียงส่วนมาก ขณะที่เสียงส่วนมากต้องเคารพเสียงส่วนน้อยเช่นกัน
รูปธรรมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา จึงเสนอให้มีการยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน และแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 ตลอดทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกพรบ.ฉุกเฉิน และปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมในสถานการณ์ปัจจุบัน
ท่ามกลางกระแส “ปฏิรูปประเทศไทย” การต่อสู้ขับเคลื่อนของคนเสื้อแดง คงชัดเจนว่า คนเสื้อแดงไม่เข้าร่วม “ปฏิรูปประเทศไทย” ของฝ่ายอำมาตย์ เพราะ “ปฏิรูปประเทศไทย” ของฝ่ายอำมาตย์ โดยอำมาตย์ ก็เพื่ออำมาตย์ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของคนเสื้อแดงภายในข้อจำกัดของพรบ.ฉุกเฉินและสถานการณ์ความรุนแรง คนเสื้อแดงซึ่งก่อตัวจัดตั้งกันขึ้นมาหลากหลายกลุ่มต่างๆ คงได้มีการจัดสรุปบทเรียนการต่อสู้ที่ผ่านมาในด้านต่างๆทั้งปัจจัยภายในปัจจัยภายนอก จุดอ่อนจุดแข็ง ปัญหาอุปสรรคของขบวนการคนเสื้อแดงบทบาทศูนย์การนำ ประชาธิปไตยในองค์กร และอื่นๆ ตลอดทั้งจะขยายคนเสื้อแดงให้มากขึ้นได้อย่างไรเพื่อก้าวต่อไปที่เข้มแข็งมั่นคงขึ้นกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ผู้เขียนมีข้อเสนอว่า กลุ่มจัดตั้งคนเสื้อแดง ก็ควรชวนกันแลกเปลี่ยน ถกเถียง ขบคิด ถึงทิศทางอนาคตของสังคมประชาธิปไตยที่มีความเสมอภาคและเป็นธรรม โดยมีจุดยืนเพื่อคนส่วนใหญ่ในสังคม ในเชิงรายละเอียดมากขึ้น เพื่อเป็นเค้าโครงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนยกต่อไปของคนเสื้อแดง เหมือนเช่น การเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจสังคมไทยของคณะราษฎรภายหลังการปฏิวัติ 2475 ภายใต้บริบทที่ต้องการยุติบทบาทระบอบอำมาตยธิปไตยเพิ่มอำนาจระบอบประชาธิปไตย ทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว
การปฏิรูปทางการเมืองหรือ ประชาธิปไตยทางการเมือง ที่สำคัญ เช่น มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องลดอำนาจของนายอำเภอปลัดอำเภอต่อบทบาทในการบริหารเทศบาล มีระบบลูกขุนในกระบวนการยุติธรรม และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญ เช่น เก็บภาษีมรดก ภาษีก้าวหน้า (ก้าวหน้าจริงๆ) กระจายการถือครองที่ดิน การสร้างรัฐสวัสดิการสาธารณูปโภคฟรี การศึกษาฟรี การรักษาพยาบาลฟรี (ฟรีจริงๆ) การจัดสรรงบประมาณกองทัพให้น้อยที่สุด และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน
การปฏิรูปด้านวัฒนธรรม-การศึกษา ที่สำคัญเช่น การศึกษาเรื่องประชาธิปไตย การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ไม่คลั่งชาติ ความสำคัญของวันชาติ 24 มิถุนายน 2475 บทบาทของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่เพื่อประชาธิปไตย การเคารพกลุ่มชาติพันธุ์ คนต่างชาติ และอื่นๆที่ต้องระดมความคิดเห็นกัน
การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ของคนเสื้อแดง จะประมวลสังเคราะห์ได้ก็จากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆได้ช่วยกันระดมความคิดเห็น มิใช่หล่นมาจากฟากฟ้า หรือใครผู้ใดประทานให้มา
และแน่นอนว่า การ“ปฏิรูปประเทศไทย” ที่สำคัญเป็นการปฏิรูปทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อนำสู่การสร้างประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม
และเป็นการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง มิใช่เพื่ออำมาตย์อย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน ที่มีประเวศ วะสีและอานันท์ ปันยารชุณ ดำเนินการอยู่