ใน บรรดาพรรคการเมืองดูเหมือนว่า พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ จะเล่นการเมืองได้เหนือชั้นที่สุด ไม่เช่นนั้นคงไม่รอดวิบากกรรมมาได้หลายครั้ง เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นกลยุทธ์ทางการเมือง ทำไมประชาธิปัตย์จะมองไม่ออก ประเภทมองตาก็รู้ใจ
การที่ พรรคภูมิใจไทย ออกมาขับเคลื่อนกฎหมายนิรโทษกรรม ถือว่า เป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่มีเงื่อนปมกระทบถึงอนาคตทางการเมืองร้ายแรงขนาด ดับอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์เอาได้ง่ายๆ เวลานี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับมรสุมทางการเมืองระลอกใหม่
อยาก ให้จับตาเป็นพิเศษถึง มรสุมทางการเมือง 3 กระทอก ที่จะเริ่มจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ การขาดคุณสมบัติทางการเมืองของนักการเมืองระดับบิ๊กไปจนถึงการที่จะต้องเจอ เข้ากับแรงกดดันจากนอกสภาและแรงกดดันจากกองทัพ
ถึงวันนั้นชะตากรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ต่างอะไรจากพรรคเพื่อไทย ที่ขั้วการเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเล่นอันเนื่อง มาจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมือง ยิ่งแก้ก็เหมือนยิ่งมัด
แผน บันได 4 ขั้นดำเนินการไปจนถึงระดับหนึ่งแต่กลับ ไม่ ประสบความสำเร็จในตอนจบ เกมนี้จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนผู้เล่นไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะกลับเป็นปกติ
ไม่แปลกที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกร้องความสงบสุขของสถานการณ์บ้านเมืองเพื่อแลกกับแผนปรองดองและไม่
แปลกเช่นกัน ที่ภูมิใจไทยนำเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมในเวลาใกล้เคียงกัน
นี่คือความล้ำลึกของการเมืองบันไดขั้นที่ 5
ผล สำเร็จของการทำลายขั้วการเมืองขั้วอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับความสำเร็จในการยึดขั้วอำนาจและโค่นอำนาจฝ่ายตรง ข้ามอย่างถาวร เพราะอำนาจที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อยู่ที่ประชาชน ความไร้มาตรฐานและความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน
การ ออกมาค้านชนิดหัวชนฝาต่อ กฎหมายนิรโทษกรรม ของประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หรือการที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนิรโทษกรรมของเพื่อไทย เป็นการชี้ถึงจุดเปราะบางทางการเมือง
นาทีนี้ต้องมองข้ามไปถึง ความเชื่อมโยงระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันและการเชื่อมโยงไปถึงบุคคลที่มีต้นทุนเป็นพิเศษ
เป็นก้าวข้ามระหว่างบันไดขั้นที่ 4 กับที่ 5
การ เมือง 3 เดือนข้างหน้าห้ามกะพริบตา ขั้วการเมืองที่ไม่เลือกค่ายก็ดี ขั้วการเมืองที่ไม่เลือกฝ่ายก็ดี จะมุ่งไปสู่การขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยครั้งใหญ่
เข้าทำนอง เด็ดดอกไม้สะเทือนไปถึงดวงดาว.
หมัดเหล็ก