แสนล้านหวานคอแร้ง(อีกแล้ว)
หาเงินไม่เป็นแต่โคตรใช้เงินเก่ง!!
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแม้ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มีขั้วอำนาจหนุนหลังให้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ในที่สุดก็ตาม
แต่ ก็เป็นรัฐบาลที่มีปัญหาได้ในทุกๆเรื่อง เพราะจะปรองดอง ก็มีปัญหา เนื่องจากสไตล์เอาดีใส่ตัว ชั่วใส่คนอื่น และต้องการเป็นพระเอกแบบมีแต่ได้กับได้ เลยทำให้ทุกอย่างไม่เพียงยากลำบากในการที่จะคืบหน้า
แต่ยังหาทางออกสำหรับประเทศไทยเจอเลยก็ว่าได้
ขณะ เดียวกันแค่จะแก้รัฐธรรมนูญก็มีปัญหา ซึ่งไม่ใช่แค่ปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ก็เกิดปัญหาออกมาทวงมติพรรคกันให้วุ่น
สุดท้ายก็เลยได้ข้อครหาว่า เป็นการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบตี 2 หน้า
และ แม้แต่กระทั่งเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ปรากฏว่าเสียงครหาโผล่ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของการฉกฉวยผลประโยชน์จากการช่วยเหลือน้ำท่วมใน สารพัดรูปแบบ
มีทั้งเรื่อง 2 มาตรฐานในการช่วยเหลือ และเรื่องของการงาบงบ การงาบหัวคิว ฯลฯ
ทั้ง หมดจริงๆแล้วล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องของการทำงานไม่เป็น กับเรื่องของการเป็นรัฐบาลภายใต้ไม้ค้ำยัน การจะทำอะไรแต่ละอย่างจึงมีเรื่องผลประโยชน์ เรื่องของการแลกเปลี่ยนเข้ามาต่อรองตลอด
แบบนี้จึงไม่แปลกที่พรรคประ ชาธิปัตย์ ซึ่งขั้วอำนาจเห็นว่าเป็นตัวจักรที่เหมาะสมที่สุด ที่จะต้องเอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือ และนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นเด็กดีที่ยังเหมาะสมกับเก้าอี้นายกฯนั้น จะสำรวจกี่ครั้งกี่หน ทำโพลกี่รอบ ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ได้เลยสักครั้งว่าจะชนะการเลือกตั้ง
ก็ ขนาดแค่เรื่องการดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งไม่น่ามีอะไร ยังระงมเสียงโวยได้ขนาดนี้ แล้วจะให้ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกรอบได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ ตามสไตล์พรรคประชาธิปัตย์ จะต้องปากแข็ง จะต้องสวนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ คุยข่มเอาไว้ก่อน แต่ของจริงจะเป็นอย่างไรก็คงต้องดูกัน
อย่างเช่น ในฐานเสียงภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมทั่วประเทศว่า การจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือน้ำท่วมให้กับสวนยางพาราในภาคใต้นั้น มีการกระทำ 2 มาตรฐาน ได้มากกว่าผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคอื่นๆหรือไม่
เล่นเอาวิ่งปฏิเสธกันจ้าละหวั่น
แต่ ขณะเดียวกันจุดที่ต้องตั้งเป็นข้อสังเกตุให้สังคมจับตามองกันก็คือ ทำไมกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเรื่องมีประชาชนบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี แต่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับเชื่อว่าหากรัฐบาล ชุดนี้อยู่ต่อจะสามารถแก้ไขปัญหาได้แน่
ฉวยโอกาสฟุ้งเพื่อขอตีตั๋วต่ออายุรัฐบาลเอาไว้ล่วงหน้าเฉยเลย
ทั้งๆ ที่หากมีการบุกรุกเทือกเขาสันกาลาคีรี มีคนบุกรุกเอาไปทำสวนยางจริงๆ เรื่องนี้ทั้งนายถาวร และพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นพื้นที่ฐานเสียงควรจะต้องทำความกระจ่างให้กับสังคมด้วย
เพราะ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ก็ยังยอมรับว่าที่เขาสันกาลาคีรีมีการบุกรุกป่าจริง แถมมีชื่อหมดแล้วว่าใครบุกรุกบ้าง แบบนี้แปลว่าอะไร
หรืออย่างกรณี ของจังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นอีกจังหวัดที่สะท้อนภาพทุจริตอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมาก็ฉาวโฉ่ในเรื่องของการแจกปลากระป๋องเน่าเสีย แจกสิ่งของและยาหมดอายุ รวมทั้งข้าวสารเน่า จนฉาวโฉ่ทั่วประเทศและรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ต้องลาออกมาแล้ว
น้ำ ท่วมครั้งนี้ก็โดนชาวบ้านร้องเรียนนักการเมืองนำข้าวสารของรัฐไปแจก จ่ายเพื่อหวังผลทางการเมืองจนฉาวโฉ่อีกครั้ง เพราะเล่นเอาข้าวสารของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง โดยมีการพิมพ์ชื่อตัวเองลงในถุงเข้าสารของ กระทรวงพาณิชย์แล้วนำไปแจกจ่ายชาวบ้าน
เล่นกันง่ายๆ จนฉาวไปทั่ว
พอๆ กับที่ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน ทนดูไม่ไหว ต้องออกมาระบุว่ามีการหักหัวคิวช่วยเหลือผู้ประสบอุทักภัย เล่นเอาการเมืองร้อนฉ่า
มีนักการเมืองกินหัวคิว 30เปอร์เซ็นต์ ในโครงการของรัฐบาล จริงๆหรือ
หรือ แม้แต่การตั้งข้อสังเกตุรื่องที่มีการแจกของช่วยเหลือและแจกเงิน เฉพาะพื้นที่เลือกตั้งซ่อมเขต 6 และเกิดขึ้นในช่วงนี้ แถมยังมีรัฐมนตรีลงพื้นที่ช่วงเวลาเสาร์-อาทิตย์ มีพฤติกรรมขึ้นเวทีคล้ายกับการปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคภูมิใจไทย
เลย เจอคำถามว่าทำไมต้องเจาะจงช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ที่จะมีการเลือกตั้ง ซ่อม และที่สำคัญทำไมต้องทำนอกเวลาราชการ แล้วคิดว่ามีความเหมาะสมหรือไม่
เพราะ ฉาวกันขนาดนี้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เลยเตรียมส่งเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจพื้นที่ เพื่อตรวจสอบเรื่องการทุจริตหักเงินชดเชยค่าเสียหายบ้านเรือนประชาชนผู้ที่ ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งรัฐบาลมีมติจ่ายค่าชดเชยให้ครัวเรือนละ 5,000 บาท แต่มีการร้องเรียนว่าประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้รับเงินค่าชดเชยไม่เต็มจำนวน
ดังนั้นป.ป.ท.จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสุ่มตรวจสอบข้อเท็จจริงใน บางพื้นที่ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องที่น่าละอายเพราะถือเป็นการ กระทำที่ซ้ำเติมผู้เดือดร้อน
แต่ที่ยิ่งต้องระวังก็คือ ในเมื่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 พฤศจิกายน มีมติให้หน่วยราชการ ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณเหลือจ่ายหรืองบเหลื่อมปี 2552-2553 จำนวน 53,000 ล้านบาท มาใช้ฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเร่งด่วน
ซึ่งเท่ากับว่าหากมีงบเหลือมปี 53,000 ล้านบาท และมีงบเหลือจ่ายในส่วนของโครงการไทยเข้มแข็ง บวกกับงบกลางปีอีกประมาณ 48,000 ล้านบาท
งานนี้เท่ากับว่า มีงบมากถึง 101,000 ล้านบาทใช้ล่อเสือล่อตะเข้ ภายใต้คำว่าเยียวยาน้ำท่วม
กระสือการเมืองจ้องตาเป็นมัน เลียปากแผล็บๆกันเลยทีเดียว