คอลัมน์ เหล็กใน
เห็นประโคมข่าวล่วงหน้าน่าสนใจ พอถึงเวลาพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ แถลงออกมา
เหมือนกับว่า...ไม่มีอะไรในกอไผ่
ภาพที่ผู้คนวาดไว้ ก็คือการบินจากคนละทิศมาเจอกัน ระหว่างเสธ.หนั่น กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จากนั้น ปิดห้องคุยกันยาวสัก 2-3 ชั่วโมง
จนได้ข้อสรุป หรือข้อเสนอกลับมาเมืองไทยอย่างเป็นรูปธรรม
เอาเข้าจริง เจอกันในงานบุญ แล้วก็คุยกันแค่ 10-15 นาทีเท่านั้นเอง
ได้มาแต่ถ้อยคำของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฟังเหมือนเป็นปริศนาธรรม "ให้ลืมอดีต"
แค่คำนี้คำเดียว ก็ตีความกันไปได้สารพัดความหมาย แล้วแต่มุมมองและฝักฝ่าย
เชื่อว่าแค่ลำพังการตีความ คนไทยก็พร้อมหันมาตีกันเองต่อไป เพราะหาข้อสรุปของคำว่า "ให้ลืมอดีต" ไม่ได้
ขนาดนักข่าวได้ยินคำนี้ ก็ถามสวนเสธ.หนั่นทันที
"ให้ลืมคดีความของพ.ต.ท.ทักษิณใช่หรือไม่?"
แต่คำตอบของเสธ.หนั่น ก็เลื่อนลอยราวนามธรรม
"คนละเรื่องกัน ผมบอกให้ลืมอดีต อดีตจะเป็นอย่างไรก็ลืมเสีย ไม่เช่นนั้นจะมีความเคียดแค้น ใครถูกกระทำอย่างไร ก็ให้ลืมไปเสีย"
เสร็จการแถลงข่าวสั้นๆ ความหวังในการเห็นคนไทยกลับมาปรองดอง ต้องบอกว่ายังริบหรี่มืดมนต่อไป
ก็เหมือนที่มีคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้า นับแต่เห็นเสธ.หนั่นเดินสายร้องหาความปรองดองจากแต่ละฝ่าย
ถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม หรือจุดไคลแมกซ์ บารมีจะมีพอหรือไม่?
เห็นได้จากคำแถลง หลังจากการไปพบกันที่นอร์เวย์
เสธ.หนั่นยังต้องทำงานหนักต่อไป
ทั้งนี้ แนวทางปรองดองสมานฉันท์ที่เสธ.หนั่นชูขึ้นมา ต้องถือเป็นเรื่องน่ายกย่อง น่าสนับสนุน
เพราะคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ อยากเห็นประเทศไทยมีบรรยากาศพี่ๆ น้องๆ คืนมาดังเดิม
แต่เมื่อเหตุการณ์ความขัดแย้ง มันบานปลายไปไกลมากขนาดนี้
มีเรื่องราวความแค้นฝังลึก ในหมู่ผู้เกี่ยวข้อง
การจะบอกใคร "ให้ลืมอดีต" เป็นเรื่องยากยิ่ง
ตอนนี้เหมือนว่าฝ่ายเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้าม เพราะแกนนำแทบทั้งหมดติดคุก
การเลือกตั้งที่เป็นช่องทางให้ได้อำนาจรัฐอันชอบธรรม ก็ยังอีกนานกว่าจะมาถึง
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลกับทหาร ที่ร้องหาการปรองดองเช่นกันนั้น
ใจจริงก็อาจพร้อมจะ "เล่นแรง" ตลอดเวลา หากเห็นว่ามีการล้ำเส้นพวกตนอีก
แต่ละฝ่าย ยังไม่สามารถตัดใจ "ลืมอดีต" ได้