โดย Bozo
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ
โดย กาหลิบ
สังขารที่จิตได้ละไปแล้วของนายกรัฐมนตรีท่านที่ ๒๕
นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการประชุมเพลิงโดยมวลชนทั่วประเทศและทั่วโลก
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาสฯ
มวลชนนับหมื่นเดินทางไปร่วมงานทั้งในชุดดำและชุดแดง
ด้วยความรักและความอาลัยในขุนพลคนสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตยในยามสงคราม
ด้วยกำลังจิตอันแข็งแกร่งของท่านเองและครอบครัวของท่าน
ผนวกด้วยอำนาจจิตอันบริสุทธิ์ของมวลชนที่รู้จักท่านดีขึ้นกว่าอดีต มั่นใจว่า
บัดนี้จิตของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีศรัทธาแรงกล้าในอำนาจนำของปวงชนชาวไทย
ในกระบวนการเลือกตั้งได้ไปสถิตอยู่ ณ ภูมิภพอันดีที่เราเรียกกันว่าสุคตินั้นแล้ว
วันปลงสังขารเป็นสัญลักษณ์ให้เราระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร
และความที่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ แต่วันเดียวกันก็ช่วยบอกเราด้วยว่า
ความดี ความชั่ว และเกียรติคุณจากจิตของผู้วายชนม์จะยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าขึ้น
ในความรับรู้ของคนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสำคัญสำหรับผู้มีปัญญาคิดได้
เกียรติคุณทางจิตของท่านนายกสมัครฯ มีมากนัก
แต่เราจะจับเฉพาะช่วงสุดท้ายในชีวิตของท่านมาจารึกไว้ในที่แคบๆ ของคอลัมน์นี้
สิ่งที่พิสูจน์คนนั้น โบราณเขาให้กาลเวลาเป็นผู้ทำหน้าที่
เวลาที่ผ่านมาของท่านนายกสมัครฯ ไม่ได้บอกเราเลยว่า
วันหนึ่งท่านจะมายืนหยัดอยู่กับขบวนประชาธิปไตย
เราเคยได้ยินถึงบทบาทของท่าน
ทั้งในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
และความขัดแย้งอันลึกซึ้ง
จนกระทั่งบัดนี้ เราได้เห็นพรรคประชากรไทยเข้าร่วมรัฐบาล
อันเกิดจากอำนาจเถื่อนของคณะรัฐประหาร รสช. ๒๕๓๕
และช่วยปกป้องความชอบธรรมของเขาอย่างเต็มสูบ
แต่แล้วเราก็ได้เห็นท่านเดินดุ่มๆ มายืนในมุมเดียวกับเหยื่อการยึดอำนาจ
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และแสดงบทบาทต่อต้าน
กลุ่มมวลชนที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ มาตั้งแต่ยังไม่เกิดรัฐประหารด้วยซ้ำไป
ถามว่าคนระดับท่านไม่รู้หรือว่าใครสร้างพันธมิตรฯ
ใครสั่งงานผ่านพรรคประชาธิปัตย์
ใครออกคำสั่งผ่านผู้พิพากษาตุลาการ และ
ใครใช้ให้ทหารก่อรัฐประหารล้มกระดานประชาธิปไตย
จนบ้านเมืองกลับไม่ได้ไปไม่ถึงจนกระทั่งทุกวันนี้
คนอย่างท่านไม่รู้หรือว่าออกมาต่อต้านใคร?
คุณสมัคร สุนทรเวชรู้ครับ รู้และเลือกที่จะแสดงออกเช่นนั้น
โดยเชื่อมั่นแรงกล้าว่าความดีงามยังคงมีหลงเหลืออยู่ในบ้านเมือง
ท่านถึงได้หัวใจสลายเมื่อพบว่าท่านเข้าใจผิดและผิดอย่างฉกรรจ์
โรคภัยไข้เจ็บแต่เดิมจึงรุมเร้าเข้ามาโจมตีท่านในยามที่ท่านหัวใจอ่อนลง
จนสุดท้ายมันก็ได้ร่างของท่านไป
ทุกอย่างชัดนัก
ท่านนายกสมัครฯ ในห้วงสุดท้ายของชีวิต
ระลึกได้อย่างชัดเจนเหมือนเปิดไฟให้สว่างในห้องมืด
ท่านเห็นในที่สุดว่าปัญหาบ้านเมืองที่ยังด้อยพัฒนาทางความคิด
และปิดกั้นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมันอยู่ที่อะไรและที่ใคร
ท่านอาจจะนึกได้ด้วยว่า
ความคิดดีๆ มากมายจากพรรคประชากรไทยและพรรคพลังประชาชน
ที่ไม่อาจเป็นผลปฏิบัติได้ มันถูกมารที่จำแลงมาในรูปทองที่ไหนคอยขัดขวางไว้
เราเสียใจที่ท่านต้องเสียใจในบั้นปลายของชีวิต
แต่ความเสียใจของท่านคือ
ความเสียใจร่วมกันของมวลชนนับล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลก
คนที่อยู่ในห้องมืดมานานพอๆ กันและจู่ๆ ไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกัน
ไม่ให้เรียกว่าร่วมชะตากรรมกันมาก็ไม่รู้จะเรียกอะไร
นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ท่านเดินทางโคจรของท่านมาชั่วชีวิต
สุดท้่ายท่านก็มาสถิตแนบแน่นอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศผู้ตาสว่าง
ท่านจึงอยู่ในสวรรค์ชั้นประชาธิปไตยในบัดนี้แล้ว.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/11/blog-post_15.html
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง นายกรัฐมนตรีสมัคร...สู่สุคติ
โดย กาหลิบ
สังขารที่จิตได้ละไปแล้วของนายกรัฐมนตรีท่านที่ ๒๕
นายสมัคร สุนทรเวช ได้รับการประชุมเพลิงโดยมวลชนทั่วประเทศและทั่วโลก
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาสฯ
มวลชนนับหมื่นเดินทางไปร่วมงานทั้งในชุดดำและชุดแดง
ด้วยความรักและความอาลัยในขุนพลคนสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตยในยามสงคราม
ด้วยกำลังจิตอันแข็งแกร่งของท่านเองและครอบครัวของท่าน
ผนวกด้วยอำนาจจิตอันบริสุทธิ์ของมวลชนที่รู้จักท่านดีขึ้นกว่าอดีต มั่นใจว่า
บัดนี้จิตของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีศรัทธาแรงกล้าในอำนาจนำของปวงชนชาวไทย
ในกระบวนการเลือกตั้งได้ไปสถิตอยู่ ณ ภูมิภพอันดีที่เราเรียกกันว่าสุคตินั้นแล้ว
วันปลงสังขารเป็นสัญลักษณ์ให้เราระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร
และความที่ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ แต่วันเดียวกันก็ช่วยบอกเราด้วยว่า
ความดี ความชั่ว และเกียรติคุณจากจิตของผู้วายชนม์จะยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าขึ้น
ในความรับรู้ของคนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นมรดกชิ้นสำคัญสำหรับผู้มีปัญญาคิดได้
เกียรติคุณทางจิตของท่านนายกสมัครฯ มีมากนัก
แต่เราจะจับเฉพาะช่วงสุดท้ายในชีวิตของท่านมาจารึกไว้ในที่แคบๆ ของคอลัมน์นี้
สิ่งที่พิสูจน์คนนั้น โบราณเขาให้กาลเวลาเป็นผู้ทำหน้าที่
เวลาที่ผ่านมาของท่านนายกสมัครฯ ไม่ได้บอกเราเลยว่า
วันหนึ่งท่านจะมายืนหยัดอยู่กับขบวนประชาธิปไตย
เราเคยได้ยินถึงบทบาทของท่าน
ทั้งในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
และความขัดแย้งอันลึกซึ้ง
จนกระทั่งบัดนี้ เราได้เห็นพรรคประชากรไทยเข้าร่วมรัฐบาล
อันเกิดจากอำนาจเถื่อนของคณะรัฐประหาร รสช. ๒๕๓๕
และช่วยปกป้องความชอบธรรมของเขาอย่างเต็มสูบ
แต่แล้วเราก็ได้เห็นท่านเดินดุ่มๆ มายืนในมุมเดียวกับเหยื่อการยึดอำนาจ
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ และแสดงบทบาทต่อต้าน
กลุ่มมวลชนที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ มาตั้งแต่ยังไม่เกิดรัฐประหารด้วยซ้ำไป
ถามว่าคนระดับท่านไม่รู้หรือว่าใครสร้างพันธมิตรฯ
ใครสั่งงานผ่านพรรคประชาธิปัตย์
ใครออกคำสั่งผ่านผู้พิพากษาตุลาการ และ
ใครใช้ให้ทหารก่อรัฐประหารล้มกระดานประชาธิปไตย
จนบ้านเมืองกลับไม่ได้ไปไม่ถึงจนกระทั่งทุกวันนี้
คนอย่างท่านไม่รู้หรือว่าออกมาต่อต้านใคร?
คุณสมัคร สุนทรเวชรู้ครับ รู้และเลือกที่จะแสดงออกเช่นนั้น
โดยเชื่อมั่นแรงกล้าว่าความดีงามยังคงมีหลงเหลืออยู่ในบ้านเมือง
ท่านถึงได้หัวใจสลายเมื่อพบว่าท่านเข้าใจผิดและผิดอย่างฉกรรจ์
โรคภัยไข้เจ็บแต่เดิมจึงรุมเร้าเข้ามาโจมตีท่านในยามที่ท่านหัวใจอ่อนลง
จนสุดท้ายมันก็ได้ร่างของท่านไป
ทุกอย่างชัดนัก
ท่านนายกสมัครฯ ในห้วงสุดท้ายของชีวิต
ระลึกได้อย่างชัดเจนเหมือนเปิดไฟให้สว่างในห้องมืด
ท่านเห็นในที่สุดว่าปัญหาบ้านเมืองที่ยังด้อยพัฒนาทางความคิด
และปิดกั้นความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมันอยู่ที่อะไรและที่ใคร
ท่านอาจจะนึกได้ด้วยว่า
ความคิดดีๆ มากมายจากพรรคประชากรไทยและพรรคพลังประชาชน
ที่ไม่อาจเป็นผลปฏิบัติได้ มันถูกมารที่จำแลงมาในรูปทองที่ไหนคอยขัดขวางไว้
เราเสียใจที่ท่านต้องเสียใจในบั้นปลายของชีวิต
แต่ความเสียใจของท่านคือ
ความเสียใจร่วมกันของมวลชนนับล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลก
คนที่อยู่ในห้องมืดมานานพอๆ กันและจู่ๆ ไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกัน
ไม่ให้เรียกว่าร่วมชะตากรรมกันมาก็ไม่รู้จะเรียกอะไร
นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ท่านเดินทางโคจรของท่านมาชั่วชีวิต
สุดท้่ายท่านก็มาสถิตแนบแน่นอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศผู้ตาสว่าง
ท่านจึงอยู่ในสวรรค์ชั้นประชาธิปไตยในบัดนี้แล้ว.
http://democracy100percent.blogspot.com/2010/11/blog-post_15.html