แน่ชัดแล้วว่าในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆ นี้ คือพื้นที่ต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย ที่ต่างฝ่ายต่างอยู่ในสถานะแพ้ไม่ได้ ต้องชนะสถานเดียว
โดยมีพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่แพ็กกันไว้เรียบร้อยแล้วยืนดูอยู่บนภู พร้อมเข้าร่วมกับผู้ชนะ
ในช่วงปลายยกสุดท้าย พรรคประชาธิปัตย์เพลี่ยงพล้ำหลายเรื่อง
จากวิกฤตสวาปาล์ม ลามไปสู่ภาวะข้าวยากหมากแพง และล่าสุดกรณีน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ พื้นที่ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์เองแต่กลับทำคะแนนหลุดมือไปดื้อๆ
ขณะที่พรรคเพื่อไทยคู่แข่งตัวฉกาจ ถึงยังไม่ชัดเจนว่าจะชูใครเป็น "ผู้นำ" ลงชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
แต่จากการที่ "นายใหญ่" แห่งดูไบ กลับมามีบทบาทในการชี้นำพรรคอย่างเปิดเผยเต็มตัว ก็สร้างความครั่นคร้ามให้กับพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย
นั่นเพราะมีตัวอย่างมาแล้วในการเลือกตั้งเมื่อเดือนธ.ค.2550
ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยกองหนุน ไม่ว่าจะเป็นมือที่มองไม่เห็น คมช. กองทัพ และกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงความเอื้อเฟื้อจากกลไกอำนาจรัฐในยุค "รัฐบาลขิงแก่"
แต่ผลที่ออกมาคือเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับพรรคพลังประชาชนของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าคือ "นอมินี" ของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนั้นได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "วิ่งราวอำนาจ" จากรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย ในเวลาต่อมา
กระทั่งนำมาสู่เหตุการณ์ "สงกรานต์เลือด" ในปี 2552 และการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อ แดงเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ในเดือนมี.ค.-พ.ค.2553
ที่ลงเอยด้วยการถูกฝ่ายรัฐบาลในนามศอฉ. ออกคำสั่งปราบปรามด้วยความรุนแรง จนมีคนตาย 91 คน บาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน
ท่ามกลางคำถามตามมาว่า "ต้นทุน" การอยู่รอดของรัฐบาลประชาธิปัตย์สูงเกินไปหรือไม่
เป็นเพราะการเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีพิเศษ
ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสบปัญหาเรื่องเสถียรภาพทั้งภาย ในและภายนอก มาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า
แต่ด้วยพลังอำนาจ "มือ" และ "เท้า" วิเศษ ตามที่นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญนำมาเปิดโปงบนเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
ก็ช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นภยันตรายทั้งปวงมาได้
โดยเฉพาะคดี "ยุบพรรค" ที่ความอยู่ยงคงกระพัน ของประชาธิปัตย์ ต้องแลกมาด้วยชื่อเสียงเกียรติภูมิของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กระนั้นก็ตาม กระแสทรงๆ ทรุดๆ ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มปักหัวลงอย่างถาวร
โดยมีสัญญาณมาตั้งแต่กรณีวิกฤตน้ำมันปาล์ม ปัญหาราคาสินค้า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในวาระครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.53 การเสียชีวิตของช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นที่ไม่มีอะไรคืบหน้า และล่าสุดอุทกภัยครั้งใหญ่ทางภาคใต้
ปัญหาต่างๆ เหล่านี้รุมกระหน่ำรัฐบาลประชาธิปัตย์จนโงหัวไม่ขึ้น ซึ่งเป็นรูปการณ์สอดคล้องกับที่บรรดาเซียนการเมืองเชื่อว่าเมื่อบวกกับ "พลังคนเสื้อแดง" และ "กระแสทักษิณ" แล้ว
พรรคเพื่อไทยน่าจะได้กลับมาผงาดอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง
กระแสที่เทกลับไปอยู่กับฝั่งตรงข้ามนี้เอง
ทำให้พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มผู้สนับสนุน จำเป็นต้องทิ้ง "ไพ่ตาย" เพื่อหยุดยั้งพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดงและทักษิณให้ได้
ไพ่ตายดังกล่าวไม่ใช่กรณีการคัดกรอง 73 ส.ว.สรรหาชุดใหม่ ที่ได้คนของคมช. ประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ เข้าไปเดินกันให้ควั่ก
เพราะนั่นเป็นแค่ "ไพ่ธรรมดา" ที่เล่นประจำอยู่แล้ว
แต่ไพ่ตายคือการปลุกกระแส "คอมมิวนิสต์" และ "การล้มล้างสถาบัน"
ไม่ว่าในหนังสือ "ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก" หรือในวงสัมมนาพรรคประชาธิปัตย์ ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กล่าวโจมตีพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท. ทักษิณ รวมถึงโรงเรียนคนเสื้อแดงว่า เป็นความพยายามปลุกระดมมวลชนโดยใช้แนวคิดเหมือนสมัยพรรคคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ ยังไม่ใช่เรื่องแปลกที่คำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ออกมาเตือนกลุ่มคนที่จาบจ้วงสถาบันด้วยท่าทีแข็งกร้าว
และกรณีนายทหารพระธรรม นูญ กองทัพบก เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ 3 แกนนำคนเสื้อแดง ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อันเนื่องมาจากถ้อยคำปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
จะถูกคนในรัฐบาลและบางคนในกองทัพนำมาขยายผลโดยไม่รีรอ
นายสุเทพพุ่งเป้าไปยังพ.ต.ท. ทักษิณทันที
"คุณทักษิณน่ะตัวดี ต้องหยุดสั่งซะที ทำอะไรที่เป็นความผิดในประเทศหลายเรื่องแล้ว มีบันทึกมาผมก็เห็นอยู่ เวลาโทรศัพท์ไปพูดกับเสื้อแดงประเทศนั้นประเทศนี้ใช้คำก็ไม่เหมาะสม ทั้งหมดคุณทักษิณต้องเลิกสั่งการเสียที"
ขณะที่พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกและอดีตโฆษก คมช. รับหน้าที่เปิดประเด็นเชื่อมโยงเข้าหาพรรคการเมือง
"มองให้ลึกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำงานเพียงลำพัง หรือมีกลุ่มการเมือง พรรค การเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีการทำงานที่สอดคล้องกับบุคคลที่พยายามจาบจ้วงหรือไม่"
"อีกไม่นานจะเข้าสู่การเลือกตั้ง หวังว่าคนไทยคงคิดได้ว่าจะเลือกใครมาเป็นผู้แทน ที่จะทำให้บ้านเมืองสงบและรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้ การที่จะเลือกใครเป็นดุลพินิจของประชาชน"
ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งไพ่ของนายสุเทพ หรือ พ.อ.สรรเสริญ การเล่นเกมนี้ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่ง อันตรายทั้งต่อตัวรัฐบาลและกองทัพเอง
เพราะสถาบันที่คนไทยเคารพรักหวงแหนนั้น ควรเทิดทูนไว้สูงสุด อยู่เหนือการเมือง
นั่นทำให้สถานการณ์กลับสู่คำถามเดิมๆ ว่าเพื่อความอยู่รอดของพรรคประชาธิปัตย์
ต้องลงทุนหนักขนาดนี้เชียวหรือ