บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

"ไทยเข้มแข็ง"ฉาว "ทักษิณ"ตีกินชูปลดหนี้IMF "รบ."ล้อมคอกก่อนวัวหาย

ที่มา มติชน



ภาพกลุ่มเสื้อแดงชูป้ายขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หน้าโรงแรมรอยัลริเวอร์ เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่าน

ในภาพปรากฏรูปของนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน กำลังสวมกอดพร้อมจับมือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์นำพลพรรคประชาธิปัตย์ ไปขอบคุณที่ ส.ส.ในกลุ่มเพื่อนเนวินสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลได้ เมื่อบ่ายวันที่ 10 ธันวาคม 2551 ที่โรงแรมสยามซิตี ถนนศรีอยุธยา

พร้อมในป้ายภาพดังกล่าวมีข้อความด้านล่างว่า "แฝดสยาม ผลงานดี เป็นหนี้กันทั่วประเทศ"

ถือเป็นการดิสเครดิต นายอภิสิทธิ์และนายเนวิน อย่างจัง

ประการแรก ตอกย้ำภาพนายเนวินที่ถูกครหามาตลอดว่า "ทรยศ หักหลัง เนรคุณ" ต่อ "นายใหญ่" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมพลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเมือง

แฟนพันธุ์แท้ของ พ.ต.ท.ทักษิณรับไม่ได้!!!

ประการที่สอง ดิสเครดิตนายอภิสิทธิ์ บุคคลมีต้นทุนทางสังคมสูงลิ่ว ทั้งเป็นผู้นำที่อนาคตไกล มือสะอาด ต้องมาจับมือกับนายเนวินที่มีภาพนักการเมือง "เขี้ยวลากดิน" และผู้เคยมีฉายา "ยี้ห้อย ร้อยยี่สิบ" จากการสงสัยว่าเป็นผู้ทุจริตซื้อเสียงในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ.2538 ที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อยอมให้ตัวเองนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ประการที่สาม เป็นการประจาน "โครงการไทยเข้มแข็ง" ที่รัฐบาลออกกฎหมายกู้เงิน 8 แสนล้าน ทำให้คนไทยต้องแบกภาระหนี้สิน

จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นความล้มเหลว "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ที่มีกลุ่มเพื่อนเนวินร่วมด้วย

จะสังเกตเห็นว่าการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตามเวทีคนเสื้อแดงทั่วทุกมุมของเมืองไทย มักจะชูประเด็น "ผู้ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ"

แม้กระทั่งการจัดงานแซยิด 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยังใส่เข้าไปชื่องานด้วย "เพลทั้งแผ่นดิน เพื่อทักษิณ ผู้ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟ"

เพื่อแสดงให้ถึงความสามารถในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะการแก้วิกฤตเศรษฐกิจ จนชำระหนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด ทำให้ไทยมีเอกราชทางการเงินและการคลัง

จุดมุ่งหมายชัดเจน เพื่อโจมตี "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ว่า "ทักษิณ" ปลดหนี้ให้กับประชาชนแล้ว แต่ "อภิสิทธิ์" กลับมาสร้างหนี้ให้ใหม่

ที่สำคัญสะท้อนให้ถึงประสิทธิภาพการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ว่า นายอภิสิทธิ์ "มือไม่ถึง" นั่นเอง

เพราะจากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่เคยสูงสุดถึงระดับ 60% จากการกู้เงินไอเอ็มเอฟ ได้ปรับลดลงอยู่ระดับ 3637%

แต่เมื่อมีการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้ "โครงการไทยเข้มแข็ง" หนี้สาธารณะกำลังทะยานพุ่งขึ้นอีกครั้ง

และ พ.ต.ท.ทักษิณได้โอกาสสอนมวยผ่านเว็บไซต์ ทักษิณไลฟ์ดอทคอม ทันทีว่า

"โครงการไทยเข้มแข็ง มันไม่เข้มแข็ง ซึ่งมองจากงบประมาณที่นำมาใช้ กับภาวะหนี้ปัจจุบันที่เป็นอยู่ จะยิ่งส่งผลให้หนี้พุ่งสูงไปอยู่ที่ 60% และหากเป็นเช่นนั้น ประเทศไทยจะตกอยู่ในภาวะอันตราย"

มิหนำซ้ำยังเริ่มมีปัญหาความไม่โปร่งใสของการเบิกจ่าย โผล่ขึ้นมาแล้วจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ดูแลอยู่

ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์เพิ่ง "ปฏิบัติการ" ล้างกลิ่นคละคลุ้งโครงการเศรษฐกิจพอเพียงไปหมาดๆ

พูดง่ายๆ "ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก"

ดังนั้น ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลต้องวางกรอบไม่ให้วงเงิน 1.43 ล้านล้านบาทของ "ไทยเข้มแข็ง" รั่วไหล

เพราะนักวิชาการได้แสดงความเป็นห่วงแล้วว่า จะเป็นการละลายงบประมาณครั้งใหญ่

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์ค่ายท่าพระจันทร์ ได้ชำแหละให้เห็นว่า "โครงการไทยเข้มแข็งยังขาดทิศทาง เป็นงบฯแค่ปะผุ หรือจะเรียกว่างบฯล้างท่อก็ได้ และเมื่อลองเอาโครงการย่อยมาดูจะพบว่า ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในระยะปานกลางหรือยาวได้เลย"

ลำพังการเปิดเว็บไซต์ www.tkk2555.com เพื่อให้ประชาชนและสื่อติดตามตรวจสอบความโปร่งใส

หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เพื่อให้การกำกับดูแลโครงการ และการใช้เงินงบประมาณ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ นั้นคงไม่พอ

รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้าง "เครื่องมือ" ที่เป็นระบบตรวจสอบการใช้งบประมาณที่เข้มแข็ง

มิฉะนั้นนอกจากเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นแล้ว คนไทยยังแบกหนี้กันทั่วหน้า

มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่อู้ฟู่!!!!

ข่าวแบบคึกฤทธิ์

ที่มา ไทยรัฐ

สื่อคุ้นชินกลิ่นอาย...คณะปฏิวัติ คณะรัฐประหารกันมาตั้งแต่ 24 มิ.ย. 2475 ปรับตัวอยู่กันได้จึงไม่แปลก สิบยี่สิบปี มานี้ รายการ...ปิด หรือเซนเซอร์หนังสือพิมพ์ จึงไม่ค่อยมี หรือมีก็น้อยลง

เหตุนี้แหละกระมัง...ระยะหลังๆ เมื่อมีคำว่า ภาวะฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ความมั่นคง ครูอาจารย์จะตกอกตกใจกันบ้าง แต่กับ"สื่อ" ดูเป็นเรื่องธรรมดา

แต่กว่าจะผ่าน...ด่านนี้มาได้ หนังสือพิมพ์รุ่นเก่า ก็ต่อสู้กันมาถึงขั้นติดคุกติดตะรางกันก็มาก

โรม บุนนาค เขียนไว้ในหนังสือชุดบันทึกแผ่นดิน ตอนเรื่องเก่าเล่าสนุก เล่ม 2 เรื่องการต่อสู้เผด็จการสไตล์เฒ่าสารพัดพิษ

หลังการรัฐประหารปี 2490 รัฐบาลกับหนังสือพิมพ์เป็นไม้เบื่อไม้เมากันเรื่อยมา จนถึงวันที่ 3 ก.ค. 2494 รัฐบาลก็ทนไม่ไหว ประกาศกฎอัยการศึก ประกาศเซนเซอร์หนังสือพิมพ์

ผลการเซนเซอร์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ก็ต้อง "หน้าขาว" รวมทั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช

ฉบับวันที่ 5 ก.ค. สยามรัฐ หน้าหนึ่ง จึงมีล้อมกรอบแถลงการณ์

"เนื่องจากได้รับคำสั่งจากเจ้าพนักงานตรวจข่าว ข้าพเจ้าจึงขอเรียนให้ทราบทั่วกันว่า ข้าพเจ้าจะงดไม่เขียนข้อความใดๆ ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จนกว่าเหตุการณ์จะคืนสู่ปกติ...."

ลงชื่อ...คึกฤทธิ์ ปราโมช

สยามรัฐวันต่อมา ลดจาก 8 หน้า ราคา 75 สตางค์ เหลือ เพียง 4 หน้า ราคา 50 สตางค์

ล้อมกรอบหน้าหนึ่งเขียนว่า ไม่มีเรื่องเหล่านี้ บทนำ คอลัมน์ สักวา เก็บเล็กผสมน้อย โดยคึกฤทธิ์ ปราโมช แปลกแต่จริง สี่แผ่นดิน ปัญหาประจำวัน

โรม บุนนาค เขียนว่า คอลัมน์ปัญหาประจำวัน และนิยายสนั่นเมืองเรื่องสี่แผ่นดินที่เพิ่งลงได้ไม่กี่ตอน มีผู้อ่านติดตามกันมาก

เมื่อไม่มีข้อเขียนดีๆเหล่านี้ แฟนๆก็เสียอารมณ์ แล้วก็สาปแช่งรัฐบาล

ฉบับ 8 ก.ค.ก็มีล้อมกรอบข้อความใหม่...เฉพาะแฟนสี่แผ่นดินว่า ถ้าทางการเลิกตรวจข่าวเมื่อใด ก็จะลงตอนต่อไป ขอให้อดใจรอ

ฉบับ 10 ก.ค.สยามรัฐ เริ่มมีข่าวสร้างความฮือฮา...เป็นรายงานข่าวของคึกฤทธิ์จากหัวหิน

พระอาทิตย์หัวหินขึ้นทางทะเลและตกทางภูเขา ซึ่งผิดกับที่ศรีราชา ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นทางภูเขาตกทางทะเล สงสัยจะมีพระอาทิตย์ 2 ดวง แต่ยืนยันว่า

โลกยังกลมอยู่เหมือนเดิม...

ฉบับ 17 ก.ค. มีพาดหัวข่าวว่า พระนอนมา 100 ปีแล้ว ยังไม่ยอมลุก

"จะลุกได้ยังไง ในเมื่อเป็นพระพุทธไสยาสน์" โรม บุนนาคอธิบาย

เจอลีลาสารพัดพิษของอาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์อย่างนี้ วันที่ 12 ส.ค. 2494 หลังจากเซนเซอร์หนังสือพิมพ์มาเดือนครึ่ง รัฐบาลก็ยกธงขาว...เลิกเซนเซอร์

แต่ยังขอให้หนังสือพิมพ์เซนเซอร์ตัวเอง

อาจารย์หม่อมท่าน ได้ชื่อว่า เสาหลักประชาธิปไตย เพราะใช้ลีลาสู้เผด็จการอย่างนี้แหละครับ

สมัยนี้ดูเหมือนจะไม่มีเสาหลักเหลืออยู่แล้ว อย่างดีก็มีไม้หลัก ส่วนจะปักขี้เลนหรือปักขี้หมา สถานการณ์ที่พลิกผันตลอดเวลา น่าจะพอบอกกันได้.

กิเลน ประลองเชิง

เรื่องเล่าจากศาลเจ้า

ที่มา ไทยรัฐ

ทุกวันนี้ ถ้าไม่มี ศาลเจ้า วัด ครอบครัวบางครอบครัวคงอดตายแล้ว ทุกวันต้องไปพึ่งศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ดูว่ามีคนนำอาหาร ผลไม้ มาถวายเจ้าหรือเปล่า ถวายเสร็จแล้ว บางท่านก็ขอคืน บางท่านมีน้ำใจแจกให้ผู้หิวโหย อาจจะคิดว่าผู้นั่งรออยู่รอบศาลคงไม่หิว หรือมานั่งบนบานศาลเจ้า

หารู้ไม่ ที่พวกเขามานั่งรออยู่นั้น รอนม น้ำหวาน ขนม เพราะนั่นคือความอยู่รอดของลูกเล็กๆที่บ้าน ไม่ได้งอมืองอเท้า แต่เงินและงานหายากยิ่งกว่าสิ่งใด

ค่ารถเมล์ให้ลูกไปโรงเรียน คือ เศษเงินที่มีคนนำมาถวายเจ้า ไม่ได้ขโมยครับ แต่ขอยืมมาก่อน มีแล้วค่อยเอาไปถวายคืน

เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริง ผมและพวก เห็นความอยู่รอดของครอบครัว จึงกระซิบกันว่าทางอยู่รอดของไอ้หนู ที่บ้านคือ ศาลเจ้าหน้าหมู่บ้านนี่แหละ

แล้วท่านจากหน่วยงานรัฐยังมีหน้าขอเงินค่าครองชีพ ทั้งๆที่มีบ้าน มีน้ำ มีไฟฟรี ยังขอบำเหน็จ บำนาญเป็นพิเศษ ใช้เงินภาษีฟรีไปจนตาย

ขอแสดงความนับถือ

คนด้อยโอกาส

เบื้องหลังการอนุมัติ โครงการโคตรแพง โครงการกระสุนปืนเพื่อการส่งออก วงเงิน 827 ล้านบาท ได้มีการเซ็นอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะบริษัทตัวแทนมีชนักปักหลังอยู่ทนโท่

ความจริงโครงการนี้ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ไม่เห็นชอบมาแล้ว สมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัดกลาโหม

เพราะเห็นว่าราคากระสุนปืน ขนาดกระสุน 105.5 และ 155.5 ขายราคานัดละ 2 แสนบาท ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่นัดละ 4 หมื่นบาท

ทำไมนำโครงการกลับมาอนุมัติ

ราคาโคตรแพงขนาดนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไมไม่ลงมาดูแล ไหนบอกว่ารัฐบาลจะทำให้ทุกโครงการโปร่งใส ตรวจสอบได้

เฮ้อ ความไม่สมดุลในสังคมเสื่อมโทรม

ผมว่านายกฯคงไม่มีเวลามาดูเรื่องในกองทัพ เพราะเรื่องในพรรคของท่านยังปวดหัวไม่จบ โดยเฉพาะโครงการชุมชนพอเพียง ตู้น้ำดื่ม ตู้ฆ่าเชื้อ ร้อยแปดโครงการ ล้วนแต่มีปัญหา ถึงเวลาแพทย์ชนบทอดรนทนไม่ไหวออกมาใส่เกียร์เดินหน้า คิดว่าโครงการนี้คงไม่หมู ปิดบัญชีได้ง่ายๆเหมือนปลากระป๋องเน่า.

หมัดเหล็ก
mudlek@hotmail.com

จตุพรแฉพิรุธมติโครงการรัฐบาล

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_36498

นายจตุพร พรหมพันธุ์

จตุพรแฉพิรุธเปลี่ยนวิธีจัดซื้ออาวุธ ระบุปชป.เงียบปากสนิทไม่ค้านรถเมล์ แนะ“สมัคร-นพดล”ฟ้องเอาผิดป.ป.ช. เล็งอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา...

วันนี้(30 ก..ย.)นายจตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกสภาผุ้แทนราษฎรแบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กองทัพ จัดซื้ออาวุธงบประมาณกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ว่า จากการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นการเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจากรัฐบาลต่อรัฐบาล มาเป็นการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรา 190 ที่ต้องขอความเห็นชอบจากสภาฯ พบว่ากลุ่มคนที่ได้ประโยชน์เป็นบริษัทนายหน้าค้าอาวุธ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนขั้วสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล โดยได้สัดส่วนในการจัดซื้ออาวุธครั้งนี้ 80 เปอร์เซ็นต์จากวงเงินงบประมาณทั้งหมด การอนุมัติของรัฐบาลครั้งนี้เป็นการอนุมัติที่ไม่โปร่งใส เป็นการหาค่าคอมมิชชั่น จึงอยากให้รัฐบาลและกองทัพได้ชี้แจงว่าบริษัทนายหน้าเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดซื้ออาวุธครั้งนี้

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ส่วนที่ครม.อนุมัติโครงการเช่ารถเมล์ 4000 คัน วงเงิน 6.3 หมื่นล้านบาท หลังจากเกิดกระแสคัดค้าน รัฐบาลได้เดินเรื่องให้สภาพัฒน์ฯ เป็นผู้พิจารณาศึกษา ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ สนิทกับนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย แต่ขอตั้งข้อสังเกตุกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ประชาธิปัตย์พร้อมกับส.ส.อีก 25 คน เคยออกมาแถลงตอบโต้โครงการเช่ารถเมล์ ว่าหากมีการพับโครงการต้องคืนเงินร่วม 2 พันล้านบาท แต่วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ออกมาแสดงความเห็นปิดปากกันสนิทหมด ซึ่งสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ของกองทัพและการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน เป็นกลุ่มคนเดียวกัน และเป็นตัวกลางสำคัญเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

"การที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ว่า การตัดสินของป.ป.ช. เป็นการตัดสินอย่างอคติไร้ความเป็นธรรม อยู่บนพื้นฐานความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ และจะเห็นว่านายสมัครกับนายนพดล เป็นคนปกป้องไม่ให้ไทยเสียดินแดน แต่การพิจารณาของป.ป.ช. กลับไปในแนวทางที่สอดคล้องกับศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้เห็นว่า อาจจะมีการเสียดินแดน ทั้งที่เรื่องดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ และส.ส.ประชาธิปัตย์ 144 คน เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน"ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า หลังจากยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ จะเห็นได้ว่ากัมพูชามีการตัดถนน 250 เมตร เข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยจริง ลุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนตลอดช่วงเวลา 9 เดือนที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ โดยแม่ทัพภาค 2 ได้ยืนยันในที่ประชุมกรรมาธิการต่างประเทศว่าไทยเสียดินแดนจริง แต่ป.ป.ช.กลับไม่ดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ สำหรับป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ถือเป็นองค์กรเถื่อนมาพิจารณาบุคคลที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นอย่างนี้บ้านเมืองจะอยู่อย่างไร และตนอยากให้นายสมัครและนายนพดล ดำเนินคดีกับป.ป.ช.ที่ตัดสินอย่างอคติ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

"ในเดือนต.ค.นี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะตัดสินใจกลับมาเคลื่อนไหวใหญ่ทางการเมืองอีกครั้ง โดยจะมีการประชุมหารือในวันที่ 1 ต.ค. เบื้องต้นรูปแบบการเคลื่อนไหวชุมนุมอาจจะเป็นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลนอกสภาฯ เพราะไม่อยากรอถึงฤดูกาลอภิปราย ช่วงเดือนม.ค. ถือว่าช้าไป ทั้งนี้จะมีการนำข้อมูล พร้อมทั้งชาร์ต มานำเสนอกับประชาชน และอาจเชิญร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย มาร่วมเวทีอภิปรายด้วย" นายจตุพร กล่าว

แนวรบใหม่

ที่มา บางกอกทูเดย์

เขมรเมื่อปี 2136 กับกัมพูชาในปี 2552 ถึงจะอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน...แต่มีความแตกต่างกันมากมาย...คราวนั้น...สมเด็จพระนเรศวรมหาราช...กษัตริย์แห่งสงคราม...กรีฑาทัพทั้งบกและเรือ...ย่ำแผ่นดินกัมพูชา...ล่าตัวพระยาละแวกมาตัดหัวเอาโลหิตล้างพระบาท...ผู้นำเขมรในครั้งนั้น...พระยาละแวก...ตลบตแลงเหลือหลาย...คราใดที่ไทยอ่อนแอ...มันจะยกทัพเข้ามาปล้นกวาดต้นเอาผู้คนกลับไป...ครั้งแล้วครั้งเล่า...คราวใดที่กรุงศรีอยุธยาโกรธ...มันก็กล่าวขอขมาลาโทษส่งเครื่องบรรณาธิการมาถวาย...จนเมื่อกษัตริย์นักรบนเรศวร...ทนไม่ไหว...รายการเอาเลือดล้างตีนจึงเกิดขึ้นกัมพูชาหรือเขมร...ไม่ใช่คู่ศึกของไทย...รบกันคราวใด...ก็มีแต่พ่ายต้องถอยทัพ...ย่อยยับให้กับนักรบชาวไทย...แต่นั่นมัน 200 กว่าปีมาแล้ว...เมื่อกัมพูชาตกเป็นของฝรั่งเศส...ตะวันออกของประเทศไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้...จึงถูกผนวกเข้าไปโดยแสนยานุภาพแห่งมหาอำนาจฝรั่ง...ไทยเสียดินแดนครั้งแล้วครั้งเล่า...ให้กับเรือปืนฝรั่ง...เราแพ้สงครามโดยไม่ได้

ต่อสู้...เราชื่นชมกับเอกราชที่ได้มาจากการศูนย์เสีย...เขมร-ลาว-มาเลเซีย...เติบใหญ่...ฝรั่งทั้งหลายเอาแผ่นดินที่ยึดไปจากประเทศไทยกลับไปกรุงปารีสและลอนดอนไม่ได้...วันที่ฝรั่งอ่อนแอ...แทนที่จะแก้เอาแผ่นดินกลับมา...เราชนะในสงครามอินโดจีน...เป็นพันธมิตรกับชาติชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทสได้แผ่นดินคืนมามากมาย...แต่เพราะไม่อยากสู้ในสงครามมหาเอเซียบูรพา...เราจึงถูกลากเข้าไปเป็นชาติผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าไม่ได้..สหรัฐอเมริกาช่วยไว้...ไทยซ้ายไทยขวา...คงเกิดขึ้นมาแต่นั้นร่ายยาวกันมาเพื่อจะบอกว่า...ประเทศต้องมีทหารและทหารจะต้องทำสงครามกับคนต่างด้าวท้าวต่างแดน...ไม่ใช่ทหารที่หันแต่ปากกระบอกปืนเข้ามาในบ้านและเชี่ยวชาญในการไล่ล่าเข่นฆ่าประชาชนคนมือเปล่าเราเสียแผ่นดินไปแล้วมากมาย...จากการไม่รบ...เราอยู่ท่ามกลางชาตินักรบ...ที่ต่อสู้กับฝรั่งจนสูญสิ้นเอกราช...และเมื่อเขาได้เอกราชกลับมา...เขาได้แผ่นดินไทยเข้าไปไว้เป็นอาณาเขต...ยังไม่ได้ยินว่ามีทหารไทยสักคน...ที่อยากจะปล้นเอาแผ่นดินที่ฝรั่งยึดไปกลับมา...อนิจจา...เรามีแต่กองทัพ แต่เราไม่มีทหารร่ายยาวกันมา...เพื่อจะถามว่า...จะเอาอย่างไรกับ...คำท้าทายของสมเด็จฮุนเซน...อยากถามว่า...ที่ทำบ้าทำกล้าจะไปเอาแผ่นดินคืนมานั้น...วันนี้พวกมันจะไปไหม

ฉีกหน้า อาเซียน

ที่มา บางกอกทูเดย์

เพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆ อุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐบาลได้สมดังที่ปรารถนา แต่ระยะเวลาเพียง 8-9 เดือน กลับเจอแต่ปัญหาสารพันรุมเร้าไปหมดวันนี้แม้สีหน้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะยังเก็บอาการไว้ได้ เพราะถือเป็นหนึ่งในบรรดาแถวหน้านักการเมืองของไทยที่ไม่ธรรมดา ชาติตระกูลดี การศึกษาดี มีดีกรีระดับออกซ์ฟอร์ดมาเป็นแบคกราวด์ให้ จนทำให้ในภาพรวมนายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูดีการเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้า จึงยังสามารถทำได้ดี ยังสามารถยิ้มได้แม้วันนี้จะรู้แล้วว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ไขว่คว้าทุกวิถีทางจนได้มานั้น ถือเป็น “ทุกข์ลาภ” ขนานแท้ยิ่งปัญหาหนักที่สุดในเวลานี้ ทั้งท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศ ท้าทายภาพลักษณ์ ท้าทายการยอมรับจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ก็คือ กรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีปมปัญหามาจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทเขาพระวิหารวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชา แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงการไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งรับตำแหน่งเป็นประธานกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในเวลานี้ด้วย

การขีดเส้นตายสารพัดนั้น อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการพยายามแสดงท่าทีของกำลังทางทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่บรรดาผู้นำทหารผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของไทยจะต้องรับผิดชอบในการรับมือตอบโต้แต่การที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่พูดกับนายอภิสิทธิ์ที่สำคัญพร้อมที่จะฉีกแผนที่ซึ่งนายอภิสิทธิ์ใช้ ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ยี่หระนั้นเป็นการประกาศชัดทางการทูตระหว่างประเทศแล้วว่า หมดความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นแล้วซ้ำยังประกาศชัดเจนว่า อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ หากรัฐบาลไทยยังพูดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่เขาพระวิหารนี่คือ การดิสเครดิตภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์โดยตรงเพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศกัมพูชานั้นเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียนหลังสุด โดยการสนับสนุนผลักดันของประเทศไทยนี่เองแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ ถือเป็นแมทช์แก้ตัว เป็นแมทช์เรียกภาพลักษณ์กลับคืน หลังจากที่การประชุมล่มจนบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ต้องรีบเดินทางหนีออกจากพื้นที่การประชุมที่จังหวัดชลบุรีมาแล้วครั้งนั้นประเทศไทย และนายอภิสิทธิ์ เสียหน้าเสียเครดิตเป็นอย่างมากเพราะประเมินไว้ว่าจะไม่มีปัญหา รัฐบาลคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่มือแน่ แต่กลับคุมกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ที่ยังคงมีบารมีการเมืองสูงมาก แม้จะถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมือง 5 ปี ก็ตามเกมให้คนมาก่อกวนและปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง จนเหตุการณ์บานปลาย ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนล่ม ก็ยังเกิดขึ้นได้และวันนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์เข้าไปล้วงลูกควบคุม ยังไม่ได้มีการอะไรเพื่อเอาผิดกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเลยแม้แต่น้อยซึ่งจะต้องรวมไปถึงนายเนวิน ที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนในการนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปดูแลถึงที่เกิดเหตุ และยืนชี้ไม้ชี้มืออย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง จนทำให้การประชุมระดับประเทศที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า

วันนี้พอรัฐบาลจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียนใหม่ เพื่อเรียกหน้าตาของการเป็นเจ้าภาพกลับคืนมาให้ได้ กลับมาเจอปัญหากับประเทศกัมพูชาเข้าให้อีก
เพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจุดระเบิดคำพูดแข็งกร้าวของสมเด็จฯฮุน เซน และการแสดงออกว่า ไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ อีกต่อไปแล้วก็เป็นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยเอง 2 ประการด้วยกันทั้งการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และการปล่อยให้ม็อบพันธมิตร ที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวระหว่างประเทศเพียงเพราะหนี้บุญคุณเท่านั้นหรือ ที่นายอภิสิทธิ์ คิดได้ เรื่องบานปลายมาจนถึงวันนี้ แทนที่จะหาทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศกลับยังใช้กลไกเดิมๆ ในการโยนบาป โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นชุดที่แต่งตั้งขึ้นมาโดย คมช. และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ออกมาชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กรณีแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

จนทำให้สังคมงงไปหมดว่า ตกลงหน้าที่ของ ป.ป.ช. คืออะไรกันแน่???เพราะออกมาในจังหวะนี้พอดี ซึ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังต้องพูดออกตัวเลยว่า ไม่กังวลว่ามติของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะถือว่าทำตามกฎหมายย่อมสามารถแปลได้ว่า ป.ป.ช.เองก็รู้ว่า ในจังหวะนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงแต่ก็ยังเล่นเกมรับลูกสอดคล้องทางการเมืองให้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นายกล้านรงค์ ยังอ่านคำแถลงด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ในการได้เสียดสีนายสมัคร ทั้งๆที่วันนี้นายสมัครพ้นจากเวทีการเมืองไปแล้วก็ตาม รวมทั้งอยู่ในระหว่างพักรักษาตัวด้วยจิตใจและท่าทีที่แสดงออกนั้น ต้องยอมรับว่าสะท้อนภาพให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจนความทุ่มเททำงานเช่นนี้ น่าจะให้ ป.ป.ช. ย้อนกลับไปลองสอบ พฤติกรรมในอดีตเกี่ยวกับการมีสัมพันธ์พิเศษกับเมียลูกน้องของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการในสังคมของใครบางคนเหลือเกิน ที่แทบทุกเช้าเป็นต้องร้อง “ขอกินนมสักจอก”อยู่เรื่อยๆ ... คงจะเป็นคดีที่สนุกพิลึกแต่ก็คงได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่คดีทุจริต จึงไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แม้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ควรจะรู้ไว้บ้างก็ตามแต่เมื่อตอนนี้ทั้ง ป.ป.ช. และรัฐบาล รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่างเพราะมามะรุมมะตุ้มเรื่องพื้นที่เขาพระวิหาร ด้วยเกมการเมืองในประเทศ ก็คงต้องดูว่าสุดท้ายจะแก้เกมได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเครดิตไปมากกว่านี้เพราะแม้แต่สมเด็จฯฮุน เซน ยังพูดชัดว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเรื่องการเมืองภายในของไทยนั่นเองงามหน้ามั้ยล่ะ

การระบุว่าอาจจะไม่มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในไทยของสมเด็จฯฮุน เซน กำลังทำให้เครดิตของไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ และบทบาทประธานกลุ่มประเทศอาเซียน สั่นคลอนอย่างรุนแรงความผิดพลาดของรัฐบาลไทย 2 ประการ

1. คือ การที่นายอภิสิทธิ์ ตกเป็นหนี้บุญคุณของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบเร่งรัดตัดทาง จึงจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า นายกษิต เคยกล่าววาจาพาดพิงถึงสมเด็จฮุน เซน เอาไว้เช่นไรดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นมา ตามหน้าที่แล้วกระทรวงต่างประเทศจะต้องมีบทบาทสูงในการเจรจาในการประนีประนอม และในการเดินเกมสันถวไมตรีแต่กระทรวงต่างประเทศทำไม่ได้ เพราะนายกษิตเข้าหน้าสมเด็จฯฮุน เซน ไม่ติด เนื่องมาจากคำพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะในอดีตนั้นเองเหมือนๆ กับคำพูด “อาหารอร่อย สนุกดี ดนตรีเพราะ” ที่พูดออกมาแบบไร้วุฒิภาวะ เพราะเป็นเรื่องความเสียหายของประเทศชาติ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศป่นปี้หมด แต่กลับพูดออกมาหน้าตาเฉยจึงทำให้กลายเป็น “วลีบาป” ที่คงจะต้องถูกล้อเลียนไปตลอดชีวิตแน่ความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์ ในการตั้งนายกษิต จึงถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์สำหรับปัญหาไทย-กัมพูชาในขณะนี้

2. คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาม็อบพันธมิตรฯที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ที่ยกพลไปสร้างภาพความรุนแรง ความแตกแยก ที่บริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร จนกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกชนิดที่แม้แต่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังต้องกระโดดหนี อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นการดำเนินการไปเองของนายวีระสุดท้ายรัฐบาล และผู้นำทางทหาร จะเป็นเพราะติดค้างหนี้บุญคุณกลุ่มพันธมิตรฯหรืออะไรก็ตาม แต่กลับแก้ปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเหลือเชื่อ!!!ว่ารัฐบาลจะกระทำการเช่นนี้ จะเอาใจกลุ่มม็อบมีเส้นขนาดนี้คือให้กลุ่มม็อบของนายวีระ ขึ้นไปประกาศเยิ้วๆ บนพื้นที่พิพาททั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวในความรู้สึกของกัมพูชานั้นยังคิดว่าเป็นพื้นที่ของตนเองอยู่และไทยก็ยังเคลียร์ปัญหาในเรื่องนี้ไม่จบการให้กลุ่มม็อบของนายวีระขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ จึงทำให้ทางกัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นหลังจากนั้น ทางสมเด็จฯฮุน เซน จึงได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมาในฉับพลัน

Bangkok Post:What is praise worth when criticism is forbidden? คำสรรเสริญจะมีความหมายอย่างไรถ้าคำวิพากษ์วิจารณ์ถูกสั่งห้าม?

ที่มา Thai E-News

โดย Don Sambandaraksa
ที่มา: Bangkok Post Database section
http://www.bangkokpost.com/tech/technews/24791/what-is-praise-worth-when-criticism-is-forbidden
แปลโดยทีมงานไทยอีนิวส์
30 กันยายน 2552

คำสรรเสริญจะมีความหมายอย่างไรถ้าคำวิพากษ์วิจารณ์ถูกสั่งห้าม

บางคนมักมีความคิดว่าโครงสร้างของสังคมไทยมันอ่อนแอมาก และจะพังทลายลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งเพียงเล็กน้อย และเราจะต้องปกป้องมันโดยการปิดหูปิดตาและหลังจากนั้นเพื่อความปลอดภัยก็มุดหัวลงไปในหลุมทราย

ถึงกระนั้นยังมีมุมหนึ่งในสังคม ซึ่งมีเด็กๆที่เติบโตมาพร้อมกับโลกปัจจุบัน มีมุมมองที่ต่างจากมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่กำลังพยายามปกป้องตัวเองจากตัวของเราเอง

ยกตัวอย่างเช่นการเรียนภาษา การปิดหูปิดตามันเริ่มต้นมาจากยุคคอมมิวนิสต์เมื่อการเรียนภาษาต่างชาติถูกกำหนดให้ผิดกฏหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีการแบ่งแยกและเพื่อบังคับให้มีการผสมผสานระหว่างเชื้อชาติต่างๆ แต่ปัจจุบันทุกอย่างมีเสรีภาพมากขึ้นและคนกลัวว่าภาษาไทยจะค่อยๆหายไปและตายไป และถูกทดแทนโดยคนรุ่นใหม่ที่พูดภาษาอังกฤษและใช้เวลาทั้งวันอยู่หน้าอินเตอร์เนทที่ใช้แต่ภาษาอังกฤษและถูกทำให้เสื่อมโดยวัฒนธรรมตะวันออก ซึ่งแน่นอนคงจะมีบางคนบ้างที่หลงไหลอยู่ในโลกไซเบอร์และเป็นผีซอมบี้อินเตอร์เนท แต่โดยรวมแล้วประเทศไทยได้รอดพ้นและแสดงให้ชาวโลกเห็นแล้วว่าพวกเราไม่ได้ถูกสยบอย่างง่ายดาย

บางทีตัวอย่างที่ดีที่สุดคือการที่เด็กผู้หญิงไทยพูดลงท้ายประโยคด้วยคำว่า 'ค่ะ' (ka) ซึ่งเป็นคำภาษาไทยที่ไม่มีความหมายใดๆอยู่ในตัวเว้นแต่เพื่อแสดงความเคารพและความสุภาพอ่อนน้อม สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยๆในอีเมล์และ IM หรือ Twitter แต่ก็มีบ้างที่จะมีผู้ชายที่ลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ครับ' (krub) ถึงแม้ว่าจะเป็น email ในภาษาอังกฤษ มันไกลจากการที่วัฒนธรรมไทยจะถูกซัดไปโดยคลื่นของโลกาภิวัฒน์ของโลกตะวันออก เพราะคนยุคใหม่ของโลกดิจิตอล หรือ วัยรุ่นหน้าจอ (screenagers) ได้พบวิธีที่จะใส่วัฒนธรรมเหล่านี้เข้าไปในภาษาที่ปราศจากโครงสร้างนี้โดยใช้คำเหล่านี้ในลักษณะภาษาอังกฤษผสมและเฉพาะกิจ

การลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ด้วยความเคารพและความสุภาพ" มันดูเทอะทะเมื่อเทียบกับความสละสลวยของการเพิ่มกับคำว่า 'ค่ะ' (ka) อย่างง่ายๆ แม้ว่ามันอาจจะทำให้ฝรั่งงุนงงว่าคำว่า 'ค่ะ' (ka) มันหมายถึงอะไร

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้นั่งอยู่กับนักเรียนชั้นมัธยมปลายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าทำไมและอะไรเกิดขึ้นเมื่อโลกไซเบอร์เจอกับโลกดึกดำบรรพ์ในเครื่องแต่งกายแบบไทยโบราณและในกองกระดาษที่เต็มไปด้วยหมึกคาร์บอน และสิ่งที่พวกเขาได้พูดออกมามันเป็นการเปิดหูเปิดตา และมีความสมดุลย์อย่างมากเมื่อปราศจากความสุดโต่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความไว้ใจในสิ่งที่เราสามารถทำได้ถ้าปล่อยให้พวกเราเป็นตัวของตัวเอง ตัวอย่างข้างบนนี้เป็นหนึ่งตัวอย่างที่คนรุ่นใหม่คิด อีกตัวอย่างหนึ่งคือการเซ็นเซอร์

นักเรียนนานาชาติที่กล่าวถึงนี้ ซึ่งพวกเขาขอร้องไม่ให้เปิดเผยชื่อเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษโดยผู้ปกครองของพวกเขา ได้กลับมาจากการฝึกทหาร จากการที่พวกเขามาจากโรงเรียนนานาชาติและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว (ผมไม่เป็นกลางแน่เพราะผมก็จบมาจากโรงเรียนนานาชาตินี้เช่นกัน) พวกเขาบอกผมว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีนักเรียนคนหนึ่งไม่สบาย และหลังจากที่ถูกส่งกลับมา แทนที่จะกลับไปที่ศูนย์ฝึก แต่คุณครูได้ส่งตัวไปยังห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และถูกใช้ให้ค้นหาเวปไซต์ที่ละเมิดสถาบันและควรที่จะถูกเซ็นเซอร์

ใช่ครับ ผมฟังจากเด็กอายุ 18 ปีหลายคนว่าพวกเขาถูกพาไปที่ห้องลับในศูนย์ฝึกของกองทัพบก ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทหาร พวกเขาต้องค้นหาเวปไซต์และความคิดเห็นในอินเตอร์เน็ทในภาษาอังกฤษที่ควรจะถูกเซ็นเซอร์ ซึ่งแน่นอนภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่ผู้ฝึกโดยทั่วไปยังไม่ชำนาญในการใช้งาน

ในห้องนั้นมันมีแต่รูปของในหลวงซึ่งกำลังกระทำความดี เสมือนว่าเพื่อจะส่งเสริมให้คณะทำงานทำเพื่อปกป้องบัลลังค์ ระบบของพวกเขามีฐานข้อมูลที่มี ที่อยู่ IP ในรูปแบบของ code ที่ซับซ้อน ของเวปไซต์ โฟรัม และสื่ออย่าง youtube แต่ละหน้ามีประมาณ 20 รายชื่อ และฐานข้อมูลนั้นมีมากกว่า 100 หน้า

ผมพยายามทำเป็นไม่อาย ผมถามว่าพวกเราต้องทำอย่างไรถ้าพวกเขาพูดในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับรัฐบาล และรัฐบาลไม่ใช่กษัตริย์ใช่ไหม? เด็กคนแรกตอบว่าจ่าบอกว่ารัฐบาลนี้เป็นตัวแทนของกษัตริย์ และถ้าคุณหมิ่นประมาทรัฐบาล คุณกำลังหมิ่นประมาทกษัตริย์โดยทางอ้อม

เด็กคนที่สองบอกว่า ภายในหนึ่งชั่วโมงเขาเจอ 4-5 เวปไซต์ดังกล่าว แต่ส่งไปแค่ 2 พวกเขาโง่มาก แต่ที่เหลือเป็นคำวิจารณ์ที่มีเหตุผลแทนที่จะเป็นการด่าทอน

เด็กคนแรกบอกต่อว่าเขามีเพื่อนอีก 10 คนที่จะยืนยันเรื่องนี้ หลังจากที่ผมเริ่มสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือไม่

แน่นอน มันไม่ได้มีอะไรลับลมคมในต่อการที่กองทัพบกจะรวบรวมรายชื่อและส่งต่อไปยัง MICT เพื่อส่งต่อไปยังศาลเพื่อให้ออกคำสั่งบล๊อกเวปไซต์เหล่านั้น แต่เพื่อนเด็กๆของผมเหล่านั้นได้คิดถึงมันและบอกผมว่าบางลิงค์ของฐานข้อมูลดังกล่าวได้ถูกบล๊อกไว้แล้ว บางเวปไซด์ถูกบล๊อกเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งไม่มีเวลาพอในการดำเนินเรื่องอย่างเป็นทางการในการขอคำสั่งจากศาล

เมื่อเป็นเช่นนั้น หนุ่มวัยเยาว์เหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องมีการเซ็นเซอร์

เด็กคนหนึ่งบอกว่า ความคิดเห็นบางอันที่งี่เง่าควรจะถูกเซ็นเซอร์ แต่บางกรณที่เป็นการถกเถียงกันอย่างมีเหตุผลควรจะถูกเปิดเผยและพวกเราควรจะสร้างความสมดุลย์ให้กับเหตุผลเพื่ออธิบายว่าทำไมพวกเรารักในหลวง ถ้าคุณยังเซ็นเซอร์มัน พวกเราไม่สามารถจะโต้แย้งได้

เด็กอีกคนหนึ่งโต้แย้งว่า แล้วใครหละที่ตัดสินว่าใครถูก? ว่าเวปไซต์นี้มันบ่อนทำลายหรือไม่? มันนำไปสู่ความคิดที่ว่ารัฐบาลพี่ใหญ่กำลังควบคุมชีวิตของพวกเราอยู่

เด็กคนหนึ่งตอบว่า ผมคิดว่าสังคมเป็นตัวกำหนด ในโฟรัมคุณโพสท์ความเห็น คนอ่านสามารถเข้าไปคลิ๊กบวกหรือลบ และอินเตอร์เน็ทจะเป็นผู้กำหนดว่าความเห็นนั้นเป็นอย่างไร

ผมเชื่อว่าคำโต้เถียงทั้งหมดนี้มันจะก้องกังวานอยู่ในหัวใจของหลายคน ซึ่งพวกเรายังลังเลที่จะพูดออกมาจากใจและถามคำถามว่าทำไมจักรพรรดิถึงไม่ใส่เสื้อผ้า เปรียบเสมือนกับที่ Jedi Master Yoda เคยบอกไว้ว่าความนึกคิดของเด็กมันน่าพิศวงโดยแท้จริง


What is praise worth when criticism is forbidden?
Published: 30/09/2009 at 12:00 AM

Some people seem to have this idea that the structure of Thai society is so weak, liable to crumbling at the slightest wind of change, that we need to protect it by closing our eyes, ears and then, as a precautionary measure, putting our head into the sand.

Yet, there are some corners of society, some children who, having grown up in a connected world, see things so very differently from the ancients who are trying to protect us from ourselves.

Take the topic of language. Closing our eyes and ears all started in the communist era when studying in a foreign language (as opposed to studying a foreign language itself) was made illegal to prevent separatism and force racial integration. Today, things are much more liberal and people fear that the Thai language will wither away and die, to be replaced by a generation of English speakers who spend their days online in an English-denominated Internet polluted and corrupted by Western culture. Of course, it was possible to find some poor soul who had lost his way online and become an Internet zombie to prove that point, but by and large, Thailand survived and showed the world that it was not to be a pushover.

Perhaps the best example is the way any girls (and it seems to be more the women than the men) ending sentences in ka, a Thai word with no particular meaning in itself except to show respect and politeness. This happens a lot on email as well as on IM or Twitter. More rare is the guy who also ends his otherwise English language email sentences in the masculine form, krab. Far from Thai culture being washed away by the tide of Western globalisation, the new generation of Digital Natives (Gartner) or Screenagers (IDC) has found a way to accommodate Thai cultural norms in a language that is devoid of such constructs by using these words in a pidgin, ad-hoc style way.

Ending every sentences with the words "with respect and politeness", would be so cumbersome compared to the elegance of simply adding ka, albeit at the cost of making every foreigner wonder what on earth a ka is.

Earlier this year I sat down with some high school students to discuss the whys and wherefores of what happens when cyberspace meets the ancients in their traditional Thai silk dresses and carbon-intensive piles of paperwork and what they had to say was eye-opening; a real balance without any absolutes but yet with a trust in what we can do given the chance to be left to ourselves. The above example of language was one example of what our new generation think, the other being censorship.

These international school pupils, who asked not to be named for fear of being grounded by their parents more than anything else, had recently returned from their national service army training. Being from an international school and with a perfect command of the English language (I am a bit biased here, as I also graduated from that same school), I was told that on one occasion, one of the students had fallen ill and, after taking him back, rather than returning to training, the teacher instead took them to a computer lab where they were told to search the Internet for sites that violated the monarchy and should be censored.

Yes, I was told by a few 18-year olds that they were taken to a secret room in an army training camp where, as part of their military training, they had to scour the Internet for sites and comments in English that had to be censored. Obviously English is still too hard a language for normal Thai recruits to effectively work in.

The room itself was full of posters of His Majesty doing good things, as if to encourage the workers on with their task of defending the Crown. The system had a database with a hard-coded local IP address where entries for sites, forum postings and media such as YouTube clips were listed. Each page had 20 entries and the database was over 100 pages long.

I tried being cheeky. I asked what we had to do if they said bad things about government. The government isn't the King, right? The Sergeant said that this Government is representing the King and if you insult the government, you are indirectly insulting the King, the first kid told me.

In an hour I found four or five such sites, but only submitted two. The guys were really stupid. The others were more balanced critical comment rather than verbal thrashing, a second kid said.

I've got 10 more friends who are able to confirm this story, the first kid told me after I started to wonder if this was all for real.

Of course, they would be nothing sinister in the army compiling a list for forwarding to the MICT to submit to the courts for a court order to block them. However, my young friends had thought of that and told me that some of the links on the database had already been blocked, some as fresh as two days old, which would not have been enough time to go through the official procedure of getting a court order to censor the site.

That said, the young men in front of me seemed to be ambivalent about the need for censorship.

Some of the really stupid ones need to be censored, but the type that present a credible argument need to be shown and we need to balance our reasons as to why we love the King. If you censor it, we can't defend it, one said.

But who decides on what is right? Whether this website is destructive or whatever? This leads to the whole idea of a big brother government in control of our lives, another argued.

I think society draws the line. With forums, you have posts and comments. People can click on a plus of minus and the Internet will decide for itself what is on view, the first responded.

I am sure these arguments will resonate in the hearts of many, as we have been reluctant to speak our minds and ask why the Emperor has no clothes on. As Jedi Master Yoda once said, truly wonderful, the mind of a child is.

สดุดีวีรชน 6 ตุลา กล้าต่อสู้ กล้าเอาชนะ

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 กันยายน 2552

*บทความเกี่ยวเนื่อง;งานรำลึก 6 ตุลา ครบรอบ 33 ปี : ประชาธิปไตยสมบูรณ์...?



โครงการกำแพงประวัติศาสตร์ : ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จัดงานรำลึก ๓๓ ปี ๖ ตุลา ณ สวนประติมากรรมประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


กำหนดการ วันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๒

๐๗.๐๐ น. - ๐๗.๓๐ น. ทำตักบาตรพระสงฆ์ ๓๔ รูป ที่บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่

๐๘.๐๐ น.– ๐๙.๐๐ น. -กล่าวเปิดงาน โดย ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
-บทกวีรำลึกวีรชน ๖ ตุลาโดย วัฒน์ วรรลยางกูล
-กล่าวไว้อาลัยและสืบสานเจตนารมณ์วีรชน๖ตุลา โดย:
*ตัวแทนญาติวีรชน ๖ ตุลาคม
*ตัวแทน ๑๘ ผู้ต้องหา
*เลขาธิการเครือข่ายเดือนตุลา
*เลขาธิการ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
*ตัวแทนคณะกรรมการจัดงาน 110 ปี ชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์
*ตัวแทนกรรมกร ชาวนา สมัชชาคนจน/สหภาพแรงงาน
*ตัวแทนแนวร่วมศิลปิน
*ตัวแทน องค์กรนักศึกษา กลุ่มองค์กรประชาธิปไตย

๐๙.๓๐ น. – ๑๒.๐๐ น. ณ ห้อง LT1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปาฐกถาประจำปี เรื่อง
“ แนวคิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ของปรีดี พนมยงค์ กับ เจตนารมณ์วีรชน ๖ ตุลา ๒๕๑๙”

โดย ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล ดำเนินรายการโดย อ.วิภา ดาวมณี

๑๒.๓๐ น.- ๑๕.๐๐ น. เสวนา “ อุดมการณ์ ๖ ตุลากับ อำมาตยาธิปไตย ”
วิทยากร สุรชัย แช่ด่าน ผู้ประสานงานกลุ่มแดงสยาม
วัฒนะ วรรณ กลุ่มเลี้ยวซ้าย
และ ตัวแทนสมัชชาสังคมก้าวหน้า
ดำเนินรายการโดย อินสร บัวเขียว ที่ปรึกษาพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย


๑๕.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น. สรุปบทเรียน ๓๓ ปี ๖ ตุลา กับขบวนการขวาใหม่ในไทย
จัดโดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
วิทยากร ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ ๖ ตุลา
จาตุรนต์ ฉายแสง* อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙
กนกพร แสนสุขสม* นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดำเนินรายการโดย อนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย

ในเวลา ๑๗.๐๐น. - ๑๙.๐๐ น. ณ ลานประติมากรรม กำแพงประวัติศาสตร์
ชมกิจกรรมศิลปวัฒนธรรม ดนตรี จากวงดนตรีนักศึกษา

สอบถามรายละเอียดที่ โครงการกำแพงประวัติศาสตร์
โทร. ๐๒-๖๑๓ ๒๐๑๑, ๐๑-๖๑๓ ๔๗๙๒ Email: octnet72@yahoo.com

เบื้องลึกและข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คลิ้กอ่านเพิ่มเติม www.2519.net

เสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2552 - ภาพคัตเอาท์การเมืองเดือนตุลา และ35ปีแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย



สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอเชิญร่วมงานเปิดนิทรรศการ ภาพคัตเอาท์การเมืองเดือนตุลา (ในวาระครบรอบ ๓๕ ปี แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย) วันเสาร์ที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๓.๐๐ น. ชมวิดีทัศน์ สร้างสาน ตำนานศิลป์ แนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย พิธีเปิดนิทรรศการ โดยชมรมโดมรวมใจ ชมรมเพื่อนจุฬา

เวลา ๑๔.๐๐ -๑๖.๐๐ น. เสวนาหัวข้อ“ มองย้อน-ร่องรอยศิลปะกับการเมืองเดือนตุลา ในทัศนะของคนต่างรุ่น”
วิทยากร รศ.ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
อาจารย์สิทธิเดช โรหิตะสุข คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ สถาบันปรีดี พนมยงค์
ดำเนินรายการ จารุนันท์ พันธชาติ ศิลปินกลุ่มบี-ฟลอร์
พิธีกรตลอดรายการ สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย อดีตผู้ประสานงานแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ๒๕๑๘

เวลา ๑๖.๑๕ น. ฉายภาพยนตร์เรื่อง“JONATHAN LIVINGSTON SEAGULL 1973” colour 99 minutes
บทเพลง-ความบันดาลใจ จาก JONATHAN LIVINGSTON SEAGULL: โดย ชัยพร นามประทีป

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ ๓ จนถึง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เลขที่ ๖๕/๑ สุขุมวิท ๕๕ (ซอยทองหล่อ)
แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐-๒๓๘๑-๓๘๖๐-๑ โทรสาร ๐-๒๓๘๑-๓๘๕๙ E-mail: banomyong_inst@yahoo.com

เวบซาบซึ้งReturnคนทะลักหาข่าว"สำคัญ"ทำบอร์ดล่ม

ที่มา Thai E-News


ที่มา ฝ่ายประสานงานบอร์ดชุมชนฟ้าเดียวกัน
30 กันยายน 2552

ฝ่ายประสานงานชุมชนของกระดานสนทนาชุมชนฟ้าเดียวกัน แจ้งว่า สาเหตุที่เวบไซต์ http://sameskyboard.com ล่มไป2-3วันที่ผ่านมา ตอนนี้กลับมาใช้งานได้เป็นปกติแล้ว เหตุที่เว็บล่มเพราะมีอัตราการดาวน์โหลดข้อมูลจากเว็บเกินกว่าเพดาน หรือแบนหวิดท์เกิน

ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะ 1.ฝ่ายเทคนิคคำนวนผิด 2.มีอัตราการเข้ามชมมากเป็นพิเศษในช่วงไม่กี่วันนี้ 3.ตอนนี้เซอร์เวอร์ที่เราเช่ามีปริมาณแบนหวิดท์จำกัด จึงต้องขออภัยผู้เข้าเยี่ยมชมทุกท่านด้วยจริงๆ

สำหรับการอัพเกรด หรือจ่ายเงินเพิ่มในช่วงนี้ยังเป็นปัญหาเพราะเราไม่รู้ว่าจะใช้บัญชีของใครในการจ่ายเงิน อาจฟังดูตลกแต่เป็นปัญหาจริงๆของเราในตอนนี้ และต้องขออภัยที่อาจจะต้องแก้ปัญหาเพื่อให้เว็บไม่ล่ม คือหาทางลดแบนหวิดท์ ด้วยการจำกัดการแสดงข้อมูลบางอย่าง เช่นรูปภาพ หรือ คลิป ซึ่งในช่วงนี้อาจจะต้องล็อกอินเท่านั้นจึงจะเห็นรูปในเว็บได้ หรือต้องล็อกอินจึงะดาวน์โหลดรูปภาพ หรือไฟล์ได้

พร้อมกันนี้ขอแจ้งต่อท่านผู้เข้าเยี่ยมชมว่า หากท่านพบปัญหา เรื่องเว็บโหลดช้า มีทางแก้สองวิธี

1. ถ้าท่านใช้ โปรแกรม Internet Explorer หรือ IE ที่มากับวินโดวส์ ให้ดาวน์โหลด Ultrasurf มาใช้ จะช่วยได้
ดูรายละเอียดการทำตรงนี้ http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=37510

2.เปลี่ยนไปใช้ โปรแกรมท่องเว็บตัวอื่น เช่น

-Opera
http://www.opera.com/download/get.pl?id=32261&thanks=true&sub=true

-Firefox
http://www.mozilla.com/en-US/firefox/firefox.html

-Chrome
http://www.google.com/chrome


3.หากมีความคิดเห็น หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ให้ติดตามได้จาก

-กระทู้แจ้งวิธีแก้ปัญหาเว็บช้า
http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=37319

-กระทู้รายงานเรื่องเว็บล่ม
http://sameskyboard.com/index.php?showtopic=37880

4. สุดท้าย โปรดอย่าลืมว่า เนื้อหาในกระทู้จากการตั้งและตอบของเรา และ บทบาทในการจัดการของเราทุกคนเป็นสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาคอมมิวนิตี้แห่งนี้ี้ให้เดินไปข้างหน้า

สิ่งที่พื้นฐานมากๆในการช่วยให้ชุมชนเดินไปได้อย่างมีพลัง คือการช่วยกันตั้งกระทู้ที่มีสาระ หรือดึงดูดใจ และการตอบที่ดีๆเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ sameskyboard ของเราทุกคน ขอได้รับความขอบคุณในฐานะส่วนหนึ่งของชุมชนที่เท่าเทียมกัน

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

รบ.ซัดยูเนสโกต้นเหตุขัดแย้ง ชี้ฮุนเซนกร้าวแค่การเมืองภายใน

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_36311

นายปณิธาน วัฒนายากร

รัฐบาล ซัด ยูเนสโก ชนวนขัดแย้ง “ไทย-กัมพูชา” พร้อมเดินหน้ายั้ง “มรดกโลก” ไม่หวั่น “ฮุนเซน” กร้าว แค่การเมืองภายใน...

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ขู่จะยิงคนไทยที่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ว่า เป็นเรื่องการเมืองภายในของกัมพูชา ซึ่งทางการไทยจะไม่ก้าวล่วง แต่ท่าทีเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของประเทศเล็กกว่าที่มีปัญหากับประเทศใหญ่กว่า ก็จะใช้พื้นที่สื่อ ให้เกิดประโยชน์เช่นเดียวกับ ฮูโก ชาเวส ประธานาธิบดีเวเนซูเอล่า หรือมูอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบีย ที่ใช้สื่อของตัวเอง นำเสนอการเคลื่อนไหว ในที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ หรือ บิล ลาเดน ที่ใช้สื่อเพื่อตอบโต้กับประเทศมหาอำนาจ

ดังนั้นกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพน้อยกว่าไทยจึงใช้สื่อเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง นอกจากนี้ประเทศที่เล็กกว่า ก็มักจะใช้โอกาสที่มีการประชุมนานาชาติบ่อยครั้ง สร้างวาระขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สนใจ ไม่ต่างกับที่อิหร่าน ทดลองยิงขีปนาวุธ ระหว่างการประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ นายปณิธาน กล่าวว่า ส่วนยุทธศาสตร์ของไทยซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ และมีศักยภาพมากกว่าก็ต้องยืนยัน ที่จะใช้หลักสันติวิธี และนำปัญหาข้อถกเถียงเข้าสู่การเจรจาคณะกรรมการชายแดน รวมถึงการเจรจาระดับผู้นำประเทศ โดยยึดหลักว่าหากใช้ความรุนแรงก็ไม่มีใครชนะสุดท้ายจะแพ้กันทั้งคู่

ในการประชุมยูเอ็นที่ผ่านมา นายบัน คี มูน เลขายูเอ็น ก็ได้สอบถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีก็ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง และชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งทั้งหลายเกิดขึ้นก่อนที่ยูเนสโกจะขึ้นทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ดังนั้นไทยจะดำเนินการทุกทางเพื่อชะลอไม่ให้มรดกโลกมีผลเดินหน้า เพราะถ้าปล่อยให้มรดกโลกเดินหน้าจะเกิดปัญหาตามมามากมาย “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือรัฐบาลจะชะลอมรดกโลก

โดยเราคุยกับบัน คี มูน พร้อมทั้งส่งผู้แทนไปสังเกตการณ์การคัดเลือกสมาชิกยูเนสโก เพื่อชี้ให้เห็นว่าการขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้ ผิดวัตถุประสงค์ เพราะมรดกโลกควรจะให้อนุชนรุ่นหลังได้ชื่นชม แต่ปัจจุบันไม่มีใครได้ชื่นชม ถ้าเข้าไปถูกยิง ถ้าคุยกับยูเนสโกไม่รู้เรื่อง ก็แยกคุยกับประเทศต่างๆ ขณะที่อีกด้านคือจะต้องบอกให้กัมพูชารู้ว่าถ้าไทยไม่ร่วมพัฒนาผลประโยชน์ ด้านพลังงานในทะเลกัมพูชา ก็จะทำเองได้ยาก”

นายปณิธาน กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลก็พยายามทำความเข้าใจกับคนไทยบางกลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวภาย ใต้ความรู้สึกรักชาติ แต่อาจจะมองแบบขาวและดำ เอาชนะ หรือแพ้ กันในเรื่องดินแดน ซึ่งมันไม่ได้แล้ว หลังจากนี้ต้องร่วมมือหาผลประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องพึ่งกันและกัน ดังนั้นอย่าไปทำอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงสถานภาพของดินแดน เพราะจะทำให้การบริหารยาก “ในยุโรป ได้พิสูจน์แล้วว่า การสู้รบเพื่อแย่งดินแดนกันไม่มีประโยชน์ใดๆ มีแต่การสูญเสีย ล้มตาย โดยเฉพาะเยอรมัน กับฝรั่งเศส ตายกันเป็นหมื่นๆในช่วงสงครามโลก

ปรากฎว่าวันนี้ทั้งสองชาติต่างเข้าไปทำธุรกิจในดินแดนนั้นร่วมกัน เข้าไปได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าด้วย สมัยก่อนดินแดนนั้นใครเข้าไปไม่ได้ มีแต่รถถัง ประชาชนตึงเครียดแต่ทุกวันนี้ทุกฝ่ายมีความสุขกันหมด

ตอดนิด - ตอดหน่อย

ที่มา บางกอกทูเดย์

มัว “งมโข่ง” ทำอะไร!!
คดีอภิมหาโคตะระโคตรโกง “คลองด่าน” ผ่านมา 13-14 ปีเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่??เอาไปดองเค็ม แช่แข็ง หมักนํ้าปลากันหรือไร?...ไฉน “ท่านวิชัยวิวิตเสวี” 1 ในคณะกรรมการ ปปช. ของ “ท่านประธานปานเทพกล้าณรงค์ราญ” ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ ถึงได้ “อืดเป็นเรือเกลือ” นักหลักฐานการขยํ้า ขมํ้าเงินแผ่นดิน 23,000 ล้านบาท.. ที่มีผู้ต้องหา 32 คน เป็นทั้งนักการเมืองขาใหญ่ นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ยิ่งในกรณีที่ “เสี่ยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ” อดีตรัฐมนตรี ชงโครงการคลองด่าน 23,000 ล้านบาท เข้าสู่ ครม. เมื่อยุคนั้น..โดยไม่ผ่านการพิจารณา ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หรือไม่ผ่านการทำ“อีไอเอ” ถือว่าเป็น “จุดตายอันร้ายแรง” ที่สุด..เนื่องจาก“ศาลฎีกา” เคยพิพากษาจำคุก ผู้เสนอโครงการ โดยไม่ผ่าน “อีไอเอ”มาแล้วอย่างจั๋งหนับ!!“ปปช.” ไม่ใช่เสือกระดาษ...ท่านควรที่จะใช้อำนาจ?..แห่งความเด็ดขาดสักทีได้แล้วนะครับ?????????
✮✮✮✮✮
หลักฐานบานเบอะ...เยอะแยะใน “คดีคลองด่าน” ที่ค้นพบ!!
ใครทำเรื่องบานฉํ่า จนหุบไม่ลง น่าจะทราบกันดี ใช่ไหมล่ะ“ท่านอดีตรัฐมนตรีสุวัจน์ ลิปตพัลลภ”??หยั่งกะเรื่อง “ บ่อบำบัดนํ้าเสียคลองด่าน” ถูก “ลักไก่” เสนอเข้า ครม.เป็นวาระเพื่อทราบ นับเป็นสิ่งที่ “ผิดฉกรรจ์” เพราะโครงการใดที่มีการลงทุนมูลค่า 20,000 ล้านบาท ต้องนำเข้า ครม.เป็น“วาระพิจารณา” .. จึงไม่ควรเสนอเป็นวาระ “ปิดตาตีหม้อ”เพื่อให้ ครม.รับทราบจากผลพวงนี้ ทำให้ 32 ผู้ถูกกล่าวหา ทั้ง นักการเมือง นักธุรกิจและ ข้าราชการ มีการวิ่งเต้นล้มคดี..และมีคนบางคนเสนอตัว“สอดแทรก” เข้าไปเป็น “รัฐมนตรีว่าการยุติธรรม” หมายสั่งการให้“ดีเอสไอ” ล้มคดีให้ได้ ด้วยล่ะขอรับที่สำคัญไปกว่านั้น ยังมีการ “อุปโลกน์บริษัทที่ปรึกษา” จากประเทศอังกฤษ เพื่อให้ถูกกับเงื่อนไขของโครงการ..แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีการ“จ้างบริษัทที่ปรึกษา” แต่ประการใด นับเป็นโครงการ “ซูเปอร์ฮั้ว”ที่แสนจะรุ่มร่าม!!อนุกรรมการ ปปช. ชี้มูลแล้ว “ว่าผิด”...ไฉน “ปปช.ชุดใหญ่” จึงเก็บเรื่องเงียบสนิท?...ไม่เอาโทษคนผิด จนคดีใกล้หมดอายุความ?????
✮✮✮✮✮
ทำไม? จึงเป็น “ปทีป”ไม่ใช่“ท่านจุมพล”!!
แล้วเงื่อนงำดำมืด ที่ปิดสนิทเอาไว้ ก็ทะลุออกมาสู่หูของมหาประชาชนว่าการผลักดัน “ป.ปลา” ให้ขึ้นสู่ทำเนียบเป็น “ประมุขสำนักเปาเปียว”ดูแลสารทุกข์สุกดิบของชาวบ้านนั้นมี“ประโยชน์มหาศาล” ดักหน้าอยู่โดยขบวนการ “กลุ่มวอลเปเปอร์” ที่อยู่ใกล้กับ “อัครเสนาบดี”ผู้เป็น “นายกฯ”ไปรับประโยชน์จาก “กลุ่มพ่อค้านักลงทุน” มาอย่างอู้ฟู่มีงบการก่อสร้างหมื่นๆ ล้านบาท เป็นอาหารโอชะในการก่อสร้างตึกที่พักให้แก่ “คนสีกากี” ..อีกทั้งยังมี การสร้าง “สำนักเปาเปียว” ที่คล้ายสถานีตำรวจ หรือ “โรงพักของเขา” อีกมากโข... โดยมีคนนำเงิน 200 ล้านบาท ไปให้กับ “เดี่ยวมือสองรองนายกฯ”แต่ท่านไม่รับ!... “กลุ่มนายทุน” จึงหอบเงินเป็นกระตั๊กไปให้“ขบวนการวอลเปเปอร์” ..จึงนำมาซึ่งการผลักดัน “ป.ปลา”ให้มาเป็นใหญ่!!!!ทั้งหมดมาจาก “กลุ่มวอลเปเปอร์” .......ที่ได้รับข้อเสนอ?....กับเงินก้อนเบ้อเร่อ ที่เขานำมาให้?????????
✮✮✮✮✮
เขี้ยวเล็บกุด..พูดอะไรก็ไร้ค่า!!
“มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา ผู้มีบรามีเหนือ พรรคชาติไทยพัฒนา?? มีพลังฝ่ามือ ส.ส.ที่สนับสนุน รัฐบาล ของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ได้น้อยด้อยไปกว่า “พรรคภูมิใจไทย” ของ“ท่านเนวิน ชิดชอบ” จอมยุทธนักการเมืองผู้เปิดเผยแต่บทบาท อำนาจการชี้ขาด เขาว่า...ท่านเติ้งสุพรรณ” เทียบชั้นไม่ได้กับ “ท่านห้อยบุรีรัมย์” เอาเสียเลยแม้แต่เรื่องการโยกงบการท่องเที่ยว ไปพัฒนา “บึงฉวาก” และ“อุทยานมังกรสวรรค์” ที่สุพรรณบุรี ก็ถูก “พรรคประชาธิปัตย์” ออกมาหักหน้า เสียยับยู่ยี่!!!หากเรื่องนี้ประสบกับ “เนวิน”...คนด่าต้องโดนเหยียบจมดิน? ไม่มีสิทธิ์ไปหมิ่นใครได้อีกแล้ว ล่ะคุณพี่.??????
✮✮✮✮✮
ประกาศว่ามีผลงาน“ครอบจักรวาล”!!
อยากให้ “นายกฯ เด็กดื้อ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับคำท้ากันหน่อยจะได้มั้ยล่ะท่าน??เมื่อเชื่อผลในผลงาน “ตามสัญญา เราทำให้แล้ว” เรื่องเรียนฟรี15 ปี ..ที่ “พรรคประชาธิปัตย์” ยกมาเป็นจุดขายโฆษณาตีปี๊บ ว่านี่เป็น “ผลงานใหญ่”ฉะนั้น, เพื่อพิสูจน์กัน “ท่านมีผลงาน” เหมือนดั่งที่ปากพูดเอาไว้จริง ๆก็อยากให้ “นายกฯ อภิสิทธิ์” ชิง “ยุบสภาฯ” ว่า “ประชาชน”เขาปลื้มผลงานกะโล่โท่นี้จริงหรือไม่?..อย่าพูดเองเออเองแบบนั้นมันยังดูไม่ค่อยจะออก!!ถ้าแน่จริง “ยุบสภาฯ”....ให้ประชาชนตัดสินดีกว่า?.....เลิกลีลาปั้นผลงานขึ้นมาหลอก?????

การบูร

เวียดนามไปไกลแต่ไทยติดหล่ม

ที่มา บางกอกทูเดย์

2 กันยายน 2488 ที่กรุงฮานอย ประธานาธิบดีโฮจิมินประกาศเอกราชและสถาปนา “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” ฉะนั้นวันที่ 2 กันยายนของทุกปีจึงถือเป็น “วันชาติของเวียดนาม”

19 กันยายน 2549 ที่กรุงเทพฯ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ภายหลังเปลี่ยนเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกาศยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลประชาธิปไตย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ฉะนั้นวันที่ 19 กันยายนของทุกปี จึงถือเป็น “วันเศร้าของไทย” ความต่าง – เวียดนามเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่มีจุดเริ่มต้นหลังเพื่อนบ้านในอาเซียนหลายสิบปี ในขณะที่ไทยมีโอกาส “ก้าว” มากกว่า “เวียดนาม” แต่ต้อง “สะดุด” กับความขัดแย้งของคนในชาติเพียงไม่กี่คน...กระทั่ง “เซถลา” ล้มลุกคลุกคลาน..เข่าถลอกจน “เลือดกระเด็น”พ.ศ. 2430- 2497 เวียดนามต้องต่อสู้กับจักรวรรดินิยมตะวันตก จากนั้นก็ต้องมาต่อสู้กับจักรวรรดินิยมอเมริกาจนถึงปี 2518 พ.ศ. 2522 -2523 เวียดนามต้องเจอกับสงครามชายแดนด้านเหนือกับจีนเป็นของแถมเกือบ 1 ปี กว่าเวียดนามจะสงบสุข และตั้งตัวได้ประมาณปี 2525เมื่อพ.ศ. 2430 ในขณะที่ “เวียดนาม” กำลังคลุกฝุ่น...ประเทศไทยอยู่ในช่วงพัฒนาตัวเอง 26 กันยายน - ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต5 สิงหาคม - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนนายร้อยขึ้นที่บริเวณหลังพระราชวังสราญรมย์ (ปัจจุบันคือ กรมแผนที่ทหาร) และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2490เวียดนาม - แม้จะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ทางการเมือง แต่เวียดนามใช้หลักการตลาดเสรีแบบทุนนิยมเปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างประเทศ มีการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อทำเศรษฐกิจให้ทันสมัยเพื่อให้มีศักยภาพแข่งขัน

ได้ในตลาดโลก ด้านเวทีระหว่างประเทศ.. เวียดนามเป็นสมาชิกอาฟตา และทำข้อตกลงด้านการค้ากับสหรัฐฯเมื่อปี 2544 เป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลกในปี 2510 เวียดนามได้เป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติช่วงปี 2551-2552เวียดนามเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะเสถียรภาพทางการเมืองและทรัพยากรมนุษย์ อีกทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจในเวียดนามยังมีสูง โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งไทย - เป็นประเทศอิสรภาพ ที่เรียกว่าประชาธิปไตย แม้ว่าไทยจะมีความสามารถผลิต “ยุทธศาสตร์” เพื่อการพัฒนาประเทศที่เข้มแข็ง แต่ ความขัดแย้งสกัดขา- หนี้บุญคุญขี่คอ อยู่อย่างนี้...การขับเคลื่อนเลย “ได้แค่คืบ” ในขณะที่ “ความร่วงโรย” ของไทย ตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จำเป็นมากที่ “ผู้บริหารประเทศ” ต้องลงมือพัฒนาไปอย่าง “ก้าวกระโดด” แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลยังคงก้าวไปอย่างช้าๆ เพราะเชื่อว่ามา “ถูกทาง” ไอ้ถูกทางน่ะมันก็ถูกทางอยู่หรอกขอรับท่าน!เพียงแต่ทางที่ท่านเลือกจะพาไทยไปนั่นน่ะ??? เพื่อนบ้านเราเขาเลือกที่จะนั่ง “เครื่องบินติดเทอร์โบ” ไม่ใช่ “ขี่เกวียน” นะครับท่าน..ล่าสุด “เวียดนาม” ก็ติดปีกบิน ..กระชากแรงลม “พัด” ท่านหัวฟู!! ท่านคิดว่า “พายุกิสนา” หรือครับท่าน

ขรุขระและยุ่งเหยิง

ที่มา บางกอกทูเดย์

น่าจะลงตัวสำหรับคำว่า....ขรุขระและยุ่งเหยิง ที่นิตยสารไทม์..เรียกขานประเทศไทย..ในระหว่างการวิพากษ์ว่า...อภิสิทธิ์ บุรุษผู้อยู่ระหว่างกลางมาร์ค...คงต้องลำบากใจอย่างมากมาย..สำหรับคำถามของสื่อมวลชนในโลกประชาธิปไตย..ที่รายล้อมเขาอยู่ทุกครั้งทุกคราที่เขาปรากฏตัวในต่างประเทศเพราะ....แม้ว...อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกแย่งยึดอำนาจโดยกองทัพ....ย่อมสามารถกล่าวได้ดีกว่าในบรรยากาศที่คล้ายๆกันมาร์ค....กับ แม้ว ..ยืนสลับที่กันอยู่..จริงๆ แล้วโครงสร้างของ ทักษิณ ชินวัตร ความเป็นนักเรียนเตรียมทหารและกลุ่มก้อนที่เติบใหญ่ในกองทัพในรุ่นของพี่และของเขา...ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเขากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่รุ่นพี่ที่มีส่วนทำให้เขาได้มาซึ่งโครงการจัดหาจัดสร้างดาวเทียมรัฐบาลอย่างที่มาร์คเป็นอยู่ น่าจะเป็นรัฐบาลของ ทักษิณ...มาร์ค...ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์... ซึ่งมีอดีตยาวนานกว่า 60 ปี ในการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการแห่งกองทัพที่เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศโดดเด่นที่สุดในการต่อสู้กับ

เผด็จการรุ่นแล้วรุ่นเล่า...คือ นายชวน หลีกภัย.. ทนายความหนุ่มที่เชือดเฉือน เผด็จการ 2 จอมพล ถนนอม-ประภาส จนได้สมญานาม...มีดโกนอาบน้ำผึ้งถ้า มาร์ค เป็นผู้ลี้ภัย และ แม้ว เป็นรัฐบาล ใครก็ทายไม่ถูกว่า..จะเป็นอย่างไร.... กองทัพจะง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต..ให้กับผู้ก่อการจนถึงขั้นปิดประเทศยึดสนามบินได้.... หรือจะวางกำลังกันอย่างรัดกุมเข้าบดบี้กลุ่มผู้ชุมนุมจนแหลกสลาย...อย่างใดอย่างหนึ่งมาร์ค..คงจะได้ลี้ภัยอยู่ในประเทศอังกฤษได้อย่างสบาย...เพราะก่อนอายุ 20 ปี..เขาเป็นประชาชนคนอังกฤษ..ที่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้นได้...ผิดกับแม้ว..คู่ต่อสู้ของเขาที่เป็นไทยมาตั้งแต่กำเนิดและเป็นได้แค่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยขรุขระและยุ่งเหยิง...ที่นิตยสารไทม์..จำกัดความไว้ให้กับการมืองไทย..คงจะเพิ่มความขรุขระและยุ่งเหยิงมากขึ้นไปทุกขณะนับตั้งแต่นี้...เพราะมาร์คยอมรับว่า..เขาได้รับความนิยมน้อยกว่า..แม้วผู้ถูกปฏิวัติแต่ที่นิตยสารไทม์..พูดได้อย่างแจ่มชัดตรงเป้าก็คือ....ประเทศไทยกำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ตรงปากเหว..ครับ...ประเทศไทยกำลังทะเลาะกันอยู่ตรงปากเหว

WAR ?

ที่มา บางกอกทูเดย์

ถึงวันนี้ท่าทีของผู้นำกัมพูชา ชัดเจนว่าไม่มีการไว้หน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกต่อไปแล้ว เปิดขุมกำลังกองทัพกัมพูชา ที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะรับมือทหารไทยได้ประเทศไทยในฐานะผู้นำอาเซียน ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นนักหนาในฐานะผู้นำรัฐบาล ว่าประเทศเพื่อนบ้านให้การยอมรับ และพร้อมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนั้นในวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์คงต้องตอบคำถามกับคนไทยทั้งประเทศแล้วว่า ทำไมผู้นำประเทศกัมพูชา ถึงได้กล้าที่จะแสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ไทยได้ถึงขนาดนี้สมเด็จฯฮุน เซน ยืนยันท่าทีแข็งกร้าวและชัดเจนว่า จะไม่เจรจากับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ตราบที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่ซึ่งฝ่ายไทยเขียนขึ้นเองแถมซัดเปรี้ยงว่า ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา มาจากปัญหาการเมืองภายในของไทยเองเล่นเอารัฐบาลไทยอ้ำอึ้งไปตามๆ กัน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ ไม่มีท่าทีจะทำอะไรเพื่อพิทักษ์รักษาศักดิ์ศรีของประเทศไทยเลยแต่ที่บรรดาผู้นำเหล่าทัพของไทยควรที่จะต้องให้ความสำคัญที่สุดก็คือ ประโยคที่สมเด็จฮุน เซน บอกว่า “หากพวกเขาเข้ามาอีก พวกเขาจะถูกยิง” “ทหาร ตำรวจ และกองกำลังติดอาวุธทั้งหมด จะต้องยึดปฏิบัติตามคำสั่งนี้ สำหรับผู้บุกรุกจะไม่มีการใช้โล่ จะมีแต่ลูกปืน”คำถามนี้ คงต้องถามว่า ไล่ลงมาตั้งแต่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลเรือเอก กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

และแม้แต่กระทั่งบรรดาเหล่านายทหารแห่ง คมช.ทั้งหลาย โดยเฉพาะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินรู้สึกกันอย่างไรบ้างเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ทางผู้นำกัมพูชา แสดงท่าทีแข็งกร้าวใส่ไทยก่อนหน้านี้ ก็เคยประกาศลั่นๆ มาแล้วว่า ให้ทหารไทยออกไปจากพื้นที่ภายใน 24 ชั่วโมงอีกครั้งหนึ่งก่อนหน้าครั้งนี้ ก็พูดชัดว่า ถ้าเครื่องบินของกองทัพไทยรุกล้ำน่านฟ้าเข้าไป ก็ช่วยไม่ได้หากจะถูกยิงเพราะทางกัมพูชาเชื่อมั่นใน จรวดแซม (SA7) ที่พร้อมจะยิงเข้าใส่เครื่องบินของไทยได้ตลอดนั่นเองโดนพูดแรงๆ ครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว แต่บรรดาผู้นำเหล่าทัพของไทยทำไมถึงเงียบกันนัก ไม่มีกระแอมกระไอเลยแม้สักแอะประวัติศาสตร์ชาติไทยกับกัมพูชานั้น ไม่ใช่ครั้งแรกที่กระทบกระทั่งกัน แต่มีมานานแล้ว เพียงแต่ในยามที่ประเทศไทยเข้มแข็ง ไม่มีปัญหาในประเทศปัญหาก็จะไม่เกิด แต่เมื่อใดที่การเมืองภายในประเทศของไทยอ่อนแอปัญหาก็จะเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ทั้งนายอภิสิทธิ์ และผู้นำเหล่าทัพจะต้องจดจำประวัติศาสตร์เหล่านี้ให้ได้เกียรติภูมิของประเทศชาติถือเป็นสิ่งสำคัญในเมื่อผู้นำรัฐบาล ผู้นำเหล่าทัพมั่นใจว่าเราคือพี่เอื้อยในพื้นที่สุวรรณภูมิ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ก็สมควรที่จะต้องตั้งคำถามแล้วว่า ทำไมทางกัมพูชาถึงได้แสดงท่าทีไม่ยี่หระกับประเทศไทยเลยในเชิงการข่าว บางกอก ทูเดย์ ได้รับข้อมูลว่า การที่กองทัพกัมพูชา แสดงท่าทีเหมือนพร้อมที่จะรบกับไทยเมื่อไรก็ได้นั้น เป็นเพราะทางกองทัพกัมพูชา ได้มีการสอดแนมประเมินกำลังของกองทัพไทยมาก่อนแล้วและผลจากการประเมินทางกัมพูชา คิดว่าไม่มีอะไรที่เสียเปรียบ หากจำเป็นจะต้องรบกัน ทำให้คำพูดคำจาในระยะหลังๆ คล้ายกับเป็นการท้ารบอยู่ในทีตลอดเวลา

ทางกองทัพกัมพูชา ประเมินว่า ด้วยความที่เป็นประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะสงครามมายาวนาน ทำให้ทหารเขมรมีประสบการณ์ในการรบสูง เชื่อมั่นถึงขนาดที่ว่า ทหารเขมร 1 คน สามารถรับมือทหารไทยได้ถึง 4 คน ดังนั้น หากจะล้มทหารเขมร 120,000 คน ที่มีอยู่ นั่นแปลว่าต้องใช้ทหารไทยมากถึง 480,000 คน หากคิดตามตรรกะของกัมพูชาในด้านของอาวุธปืน เขมรนั้นใช้อาวุธปืนอาก้า จากสายสัมพันธ์เดิมสมัยรัสเซีย และจีน ในขณะที่กองทัพไทยใช้ เอ็ม 16 ของทางสหรัฐฯ แต่จุดที่สร้างความเชื่อมั่นให้ทหารเขมรคือ การมี RPG เป็นอาวุธประจำกาย ทหารเขมรจะสะพายกันคนละ 3-4 ลูก และพร้อมใช้ตลอดเวลาในขณะที่ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง (ปรส.) หรือ Recoilless Rifle หรือ Recoilless Gun (RCL) เป็นอาวุธต่อสู้รถถัง ซึ่งของเขมรที่ใช้ประจำการอยู่คือขนาด 82 มิลลิเมตร ทำให้เขมรเชื่อว่าด้านกำลังอาวุธในส่วนนี้ไม่น่าที่จะเป็นรองไทยเช่นเดียวกับอาวุธหนัก ปืนใหญ่ 130 มม. ที่ทำในจีน ปืน 155 มม. อิราเอล ที่เป็นปืนใหญ่หนักวิถีราบ 20X M 71 Tempara และปืนใหญ่ 105 มม. ทางเขมรก็เชื่อมั่นว่าปัจจุบันมีเพียงพอที่จะใช้รับมือกองทัพไทยรวมทั้งเขมรมีเครื่องยิงจรวดคัตยูช่า (Katyusha) ที่มีส่วนอย่างมากในการทำลายแนวตั้งรับของฝ่ายตรงข้าม ที่ได้มาจากรัสเซีย ที่มีรัศมีทำการระดับ 20 กิโลเมตร ในแง่ฝูงบิน แม้เขมรอาจจะคิดว่าไม่มีอะไรได้เปรียบไปกว่าฝูงบินของไทย แต่ทางทหารเขมร เชื่อว่า เครื่องยิงจรวดแซม SA3 และ SA 7 ที่ทหารเขมรใช้อยู่น่าจะรับมือกับกองทัพอากาศของไทยได้

ส่วนรถถังรถหุ้มเกราะ ทหารเขมรนั้นมี รถถังเบา PT-76 จากรัสเซีย รถถังหลัก T-55 จากรัสเซีย รถถังหลัก Type-59 จากจีน ซึ่งผ่านการรบที่ เดียน เบียน ฟู มาแล้ว ทำให้ทหารเขมรเชื่อว่าน่าจะมีประสิทธิภาพที่ทรงอานุภาพได้ไม่น้อยในการรับมือกับกองทัพไทยแต่จุดที่ทหารเขมรคิดว่าได้เปรียบมากที่สุด ก็คือประเทศไทย นั้นยึดมั่นกับสัญญาออตตาวา ในเรื่องของการห้ามใช้กับดักระเบิด ไม่ว่าจะเป็น M14 M16 และเคโม ทำให้ปัจจุบันกองทัพไทย อยู่ในสถานะ ไม่มี ไม่ใช้ ไม่ผลิต แต่ในขณะที่ทหารเขมรนั้นมีกับดักระเบิดเพียบอีกประเด็นที่ผู้นำกัมพูชา คิดว่าน่าจะเป็นแรงกดดันประเทศไทยก็คือ ประเทศพันธมิตรของกัมพูชา ที่มีการซ้อมรบกันอยู่ประจำ คือ เวียดนาม จีน รัสเซีย และพม่า ทำให้หากมีสงครามเกิดขั้นจริง ประเทศไทยก็น่าที่จะโดดเดี่ยวไม่น้อยเพราะในขณะที่ไทยมีการฝึกร่วมรบ คอบบร้า โกลด์ กับทางสหรัฐฯ แต่ปรากฏว่าสหรัฐกลับมอบรถยีเอ็มซีให้กับทางเขมรนับ 100 คัน ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าคิดว่า ทำไมสหรัฐฯมหามิตรของไทย จึงทำเช่นนี้???ความเชื่อมั่นเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นในกำลังของตนเองเป็นหลัก โดยใช้การสอดแนมประเมินกำลังกองทัพไทยว่าบางอย่างน่าจะใกล้เคียง หรือบางอย่างน่าจะเสียเปรียบนั้น จริงๆแล้วกัมพูชาเองมั่นใจเพียงใด ว่าสิ่งที่รู้นั่นใช่ของจริงหรือไม่เพราะจริงๆแล้ว แม้จะใช้คำพูดที่ดุดันก้าวร้าวท้ารบอยู่ในที แต่ สมเด็จ ฮุน เซน ก็จะพูดในทำนองว่า จริงๆแล้วพร้อมรบหากไทยรุกรานกัมพูชาวันนี้จึงต้องถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายว่า ความเชื่อมั่นของกัมพูชาที่มีล้นปรี่นั้น กองทัพไทยมีมากน้อยเพียงใด เพราะในระยะหลังๆท่าทีของผู้นำเหล่าทัพนิ่งเฉยไปหมดในทุกกรณีก็ว่าได้ยกเว้นกับการรับมือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ดูจะคึกคักเหลือเกินและเมื่อท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ไม่ไว้หน้า นายอภิสิทธิ์ แล้วเช่นนี้รัฐบาลไทย นายอภิสิทธิ์และบรรดาเหล่าทัพ นายกษิตและกระทรวงต่างประเทศ จะทำอย่างไร เพื่อรักษาศักดิ์ศรี และอธิปไตยบนผืนแผ่นดินไทย

ลำดับเหตุการณ์คำขู่ไทย ของ สมเด็จฯฮุน เซน

ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2551
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลการเจรจายุติข้อพิพาทเรื่องดินแดนเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ ระหว่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.การต่างประเทศของไทย กับผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญว่า…ไม่มีผลคืบหน้าใดๆ และนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ยังให้สัมภาษณ์ขู่ยื่นคำขาดให้รัฐบาลไทยสั่งถอนทหารไทยออกจากดินแดน กัมพูชาภายใน 24 ชั่วโมง หรือภายในวันอังคาร ไม่เช่นนั้นทหารกัมพูชาจะทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นเขต "เดดโซน" หรือเขตมรณะ เพราะกัมพูชาจะไม่ยอมให้ไทยยึดครองดินแดนของตน“ถ้าฝ่ายไทยยังไม่ถอนทหารในคืนนี้ ก็ต้องถอนทหารในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า เราพยายามอดทน แต่ข้าพเจ้าได้แจ้งต่อ รมว.ต่างประเทศของไทยในวันนี้ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่แห่งความเป็นความตาย”

ครั้งที่ 2 วันที่ 30 มิถุนายน 2552
สมเด็จฮุน เซน กล่าวว่า ได้บอกไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย และรองนายกรัฐมนตรีไทยตรง ๆ ในช่วงหารือกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ขอให้มีการระมัดระวังเรื่องเครื่องบินที่บินเลยเข้ามาในดินแดนของกัมพูชา และผมเองก็ไม่สามารถสั่งการพวกที่ลั่นไกได้ด้วย ดังนั้นขอให้ระมัดระวังดูแผนที่ให้ชัดเจนและบินอยู่ในดินแดนของตัวเองเถิด อย่าบินเลยเข้ามาในดินแดนของคนอื่น “ผมรู้สึกเป็นห่วงว่า กลัวพวงมาลัยมันจะเลยเข้ามาโดยที่มีผู้นำไทยนั่งอยู่ในนั้นด้วย เพราะเราไม่มีเครื่องบินที่บินไป - บินมาแต่อย่างใด มีแต่ไทยเท่านั้นที่บินไป - บินมา ร่อนขึ้น - ร่อนลง เกรงว่าพวกทหารข้างล่างจะทนกันไม่ไหว” สมเด็จฯฮุน เซน ระบุว่า ได้บอกกับฝ่ายไทยตรง ๆ ว่า ทหารกัมพูชาที่อยู่ชายแดนมีอยู่เท่าไรก็จะไม่ล่าถอยอย่างแน่นอน ตราบใดที่ทหารไทย 30 นาย ไม่ล่าถอยไป กระดูกของพวกเขาก็จะถูกฝังอยู่ที่นี่

ครั้งที่ 3 วันที่ 28 กันยายน 2552
สมเด็จฮุน เซน มีคำสั่งให้ทหารและตำรวจ หรือกองกำลังติดอาวุธทุกหน่วยที่ประจำการอยู่บริเวณพรมแดนเขาพระวิหาร ยิงผู้บุกรุกคนใดก็ตามที่รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนที่เป็นกรณีพิพาทระหว่างไทย กับกัมพูชา “หากมีใครรุกล้ำเข้าไปอีก จะต้องถูกยิง” นาย ฮุน เซน กล่าวว่านี่เป็นคำสั่งให้ยิงผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือนที่เข้าไปในกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย โดยจะเรียกว่าเป็น “ศัตรูผู้บุกรุก”

ประเทศไทยกับรับมือพายุไต้ฝุ่นกิสนา

ที่มา Thai E-News


โดย โครงการพัฒนาการจัดการภัยพิบัติภาคประชาชน มูลนิธิกระจกเงา
29 กันยายน 2552

มารู้จักกับพายุลูกนี้กันก่อน

พายุไต้ฝุ่นกิสนา เป็นพายุที่เกิดในเขตร้อน เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกด้านแถบตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีพายุเกิดขึ้นมากที่สุดในโลก


พายุไต้ฝุ่นกิสนาได้ก่อตัวบริเวณ ทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ จากนั้นได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยขณะขึ้นฝั่งนั้นได้ทำให้เกิดลมแรงและฝนตกเป็นบริเวณกว้าง ในแถบภาคเหนือของฟิลิปปินส์ ซึ่งพายุลูกนี้ได้พัดอยู่ถึง 9 ชั่วโมง

ซึ่งฝนปริมาณมหาศาลที่ตกลงมา ทำให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม ในแถบภาคเหนือของประเทศ รวมถึงกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ ฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ถูกน้ำท่วมสูงมาก ซึ่งสูงถึง 6 เมตร

นับตั้งแต่พายุขึ้นฝั่งเมื่อวันเสาร์ จนถึงวันนี้ 29 กันยายน น้ำที่ท่วมอยู่ยังลดระดับลงไม่หมด ขณะนี้ทางการฟิลิปปินส์ได้ประกาศขอรับความช่วยเหลือทุกอย่างจากประเทศต่างๆแล้ว และน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เป็นการท่วมหนักในรอบ 40 ปีของฟิลิปปินส์

ไทยไม่รอดโดนพายุเต็มๆ

หลังจากซัดกระหน่ำฟิลิปปินส์จนยับเยินแล้ว พายุกิสนาได้เคลื่อนตัวลงทะเลจีนใต้และได้เพิ่มกำลังเป็นไต้ฝุ่น ซึ่งมีความรุนแรงถึง 165กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะขึ้นฝั่งเวียดนามในวันนี้ 29 กันยายน 2552

จากนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านประเทศลาว และเข้าสู่ประเทศไทย ในบริเวณ จังหวัด อำนาจเจริญ อุบลราชธานี แม้จะลดระดับความรุนแรงลงมาเป็นระดับพายุโซนร้อน แต่ก็สามารถทำให้ฝนตกหนักในบริเวณภาคอีสาน และจากนั้นภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบตามมาทีหลัง

ซึ่งกรุงเทพมหานครเองก็คงไม่รอดจากพายุลูกนี้ ซึ่งน่าจะทำให้ฝนตกหนักเพิ่มขึ้น อาจจะเกิดน้ำท่วมขึ้นได้ในบริเวณที่ลุ่ม ส่วนบางพื้นที่ที่แล้งก็น่าจะได้รับฝนกันเต็มๆคราวนี้ เรื่องจากเป็นพายุขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะหอบฝนมาตกในพื้นที่ในปริมาณมาก

เรามาดูการเตรียมความพร้อมการรับมือของประเทศต่างๆกันครับ

#เวียดนาม


นายกฯเวียดนาม ได้สั่งการให้จังหวัดและนครเร่งอพยพราษฎรในพื้นที่เสี่ยงไปสู่จุดปลอดภัย และเจ้าหน้าที่ภัยช่วยเหลือ ตั้งแต่ส่วนกลางลงไปจนถึงส่วนท้องถิ่นเตรียมพร้อม นายกฯเวียดนาม สั่งให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ จัดเตรียมยารักษาโรค และอาหาร... ตลอดจนสิ่งจำเป็นในการยังชีพ และแนะนำให้ชาวนาเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวข่าวกับพืชผลต่างๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อลดการสูญเสีย

ไทยกับการรับมือ พายุกิสนา


ส่วนของประเทศไทยนั้นก็มีรายงานเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่เตือนคนในแถบภาคอีสาน แถบมุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ซึ่งจะโดนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อพายุเคลื่อนตัวเข้าประเทศไทยก็คงจะได้รับผลกระทบกันทั่วทุกภาค และทางกรมชลประทานได้พร่องน้ำไว้เตรียมรับมือพายุลูกนี้แล้ว ซึ่งน่าทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ครับ ซึ่งเกิดจากปริมาณฝนที่จะถูกพัดเข้ามาในประเทศไทย

สาธารณสุขเตรียมรับมือกับพายุกิสนา การเตรียมพร้อมให้การ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมจากพายุ โซนร้อน “ กิสนา ” ได้สั่งการให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติหรือศูนย์นเรนทร ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และสั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงตามประกาศเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยา ให้เตรียมเวชภัณฑ์ และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมให้บริการผู้ประสบภัย ตลอด 24 ชั่วโมง หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน ประชาชนสามารถโทรแจ้งหน่วยแพทย์นเรนทรทางหมายเลข 1669 ฟรี สำรองงบประมาณไว้ที่ส่วนกลาง 30 ล้านบาท และสำรองเวชภัณฑ์ ยาสามัญประจำบ้านจำนวนกว่า 1 ล้านชุด

เกร็ดเล็กๆน้อยๆของพายุลูกนี้

พายุลูกนี้มีความรุนแรงเป็นระดับ 2 ความเร็วลม 165 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ยังเป็นรอง พายุไต้ฝุ่นเกย์ ที่ขึ้นฝั่งประเทศไทยในปี 2532 ซึ่งจัดเป็นพายุระดับ 3

*พายุลูกนี้ ได้เปลี่ยนเส้นทางอย่างเหนือความคาดหมายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปรกติกับพายุในเขตร้อน
*พายุลูกนี้ ทำให้ฟิลิปปินส์น้ำท่วมหนักในรอบ 40 ปี คนครึ่งล้านไร้ที่อยู่อาศัย มีคนเสียชีวิต 200 กว่าคน
*พายุลูกนี้ทำให้เกิดสตอร์มเซิร์จ หรือคลื่นพายุซัดฝั่งสูงถึง 7 เมตร

การเตรียมรับมือสำหรับพายุลูกนี้

*การรับมือกับปริมาณฝนซึ่งน่าจะมากมายมหาศาลมาก ซึ่งอาจะทำให้เกิดน้ำท่วมแบบฉับพลันตามที่ลุ่ม พื้นที่การเกษตรอาจจะได้รับความเสียหายได้

*ทางพื้นที่ที่อยู่ตามเทือกเขาต่างๆทั้งในอีสานและภาคเหนือ อาจจะต้องระมัดระวังภัยดินโคลนถล่มที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากฝนตกหนักบนภูเขา

*อาจจะทำให้เกินน้ำล้นตลิ่งได้ในบางพื้นที่ ตามลำน้ำและแม่น้ำขนาดใหญ่

*ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวแล้ว ระวังเรื่องความชื้น ซึ่งอาจจะทำความเสียหายได้ และได้ราคาลดลง

*บ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ดอน อาจจะเตรียมภาชนะเก็บกักน้ำเพื่อเตรียมไว้ใช้ในฤดูแล้ง

เว็บไซด์สำหรับการติดตามความเคลื่อนไหว

www.maybagyo.com เว็บติดตามความเคลื่อนไหวของพายุหมุนเขตร้อนที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งเป็นของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีรายละเอียดของภาพถ่ายดาวเทียมข้อมูลพายุที่เกิดขึ้นในรอบปี

www.tmd.go.th เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา
www.thaiwater.net เว็บไซต์เช็คข้อมูลของน้ำทั่วประเทศ

ถ้าหากท่านต้องการรับข้อมูลข่าวสารจากมูลนิธิกระจกเงา ให้กรอก Email เพื่อรับข่าวสารได้ที่ URL นี้ www.mirror.or.th/maillinglist/formmailsubmit.php

สัมภาษณ์ประธานชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพ:จะเป็นหมาสีใด ก็ต้องเห่าและเฝ้าบ้านประชาชน

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 กันยายน 2552


สัมภาษณ์พิเศษ ไพโรจน์ จันทรนิมิ
ประธาน ชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย
Thai freedom press club-TFPC
..............

ต้องถามว่า ใช้กฏเกณฑ์อะไรมาบอกว่าสื่อนั้นเป็นสื่อแท้ สื่อเทียม? ทุกคนสามารถเป็นสื่อกระแสหลักได้ทั้งสิ้น ถ้ายึดมั่นจรรยาวิชาชีพที่ทำตัวเป็นหมาเฝ้าบ้านปกป้องพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประชาชนอย่างถึงที่สุด จะเป็นหมาสีไหนก็ได้ทั้งนั้น หากมันเห่าและเฝ้าบ้านให้ประชาชนได้ อย่างไรก็ตามจุดยืนหนักแน่นประการหนึ่งในการจัดตั้งชมรมฯก็คือ จะไม่อยู่ใต้อาณัติใดๆของใครทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คุณทักษิณ หากคุณทักษิณหรือพวกพ้องทำอะไรไม่ถูกไม่ควร เราก็จะไม่รีรอที่จะเป็นปฏิปักษ์ตอบโต้อย่างมีเหตุมีผล



Q: ความเป็นมาของชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย?


ชมรมฯเกิดจากการรวมตัวกันของบรรดาผู้ทำสื่อซึ่งรักในความถูกต้อง ต้องการให้ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ที่จะปรากฏตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ควรอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือน แต้มแต่งสีสันจากขาวเป็นดำ จนทำให้ข่าวสารและข้อมูลนั้นๆกลายเป็นเครื่องมือตอกลิ่มสร้างความแตกแยก ร้าวฉาน อย่างที่ได้เห็นกันกลาดเกลื่อนในปัจจุบัน

ชมรมฯเชื่อมั่นว่าการนำเสนอข่าวสาร ข้อมูล ที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน ไม่โฆษณาชวนเชื่ออย่างไร้เหตุ ไร้ผล จะช่วยสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในสังคมได้ และจะทำให้สังคมไทยก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยแท้จริง เป็นสังคมที่มีความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม อย่างสมบูรณ์แบบ


Q:วัตถุประสงค์หลักของชมรม


จะต้องเป็นกลไกที่ช่วยสร้างและพัฒนาให้เกิดการนำเสนอข่าวสาร ข้อมูล ที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน สู่สาธารณชน และต่อสู้กับทุกเกมอำนาจที่ขาดความชอบธรรม และดำเนินการต่างๆ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ต่างๆ แก่พวกพ้องมากกว่าให้ตกไปถึงมือของประชาชน


Q:ใครเป็นสมาชิกบ้าง และกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างไรบ้าง


เบื้องต้นของการจัดตั้งชมรมฯ สมาชิกส่วนใหญ่อาจมาจากผู้ทำสื่อที่อยู่ในฟากฝ่ายยอมรับการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการต่อสู้เพื่อรังสรรค์ความเป็นประชาธิปไตยที่อำนาจแท้จริงเป็นของประชาชน

อย่างไรก็ตามชมรมฯก็เปิดกว้างยอมรับการบ่าไหลเข้ามาของผู้ทำสื่อทุกคน ทุกแขนง ที่รักในความถูกต้อง รักความเป็นประชาธิปไตย จะได้เข้ามาร่วมกัน เพื่อสร้างชมรมฯให้เป็นองค์กรสื่อที่จะช่วยให้ทุกๆสื่อได้มีความเป็นอิสระในการทำงาน ปลอดจากการควบคุมและกำหนดกฏเกณฑ์จากกลุ่มอำนาจฉ้อฉลใดๆ


Q:กิจกรรมที่ชมรมจะทำมีอะไรบ้าง


ระยะแรกๆ คงมุ่งเน้นไปที่การทำงานเชิงวิชาการเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งโดยตัวของชมรมฯ เองและร่วมกับกลุ่มต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น การร่วมกับกลุ่ม นปช.พัทยา จัดงานเสวนาเชิงวิชาการ ขึ้นในเร็วๆนี้

ส่วนแผนงานอื่นๆ นอกจากนี้ ก็คือ การวางบทบาทให้ชมรมฯทำหน้าที่เป็น news agency แก่ทุกสื่อ รวมไปถึงความมุ่งมั่นที่จะทำสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวีดาวเทียม วิทยุ ทีวีอินเตอรืเน็ต เว็บไซต์ ในนามของชมรมฯ โดยเปิดให้สมาชิกทุกกลุ่ม ทุกคน ได้เข้าร่วม


Q:ความเห็นต่อสื่อกระแสหลัก รวมทั้งสมาคมนักข่าวเป็นอย่างไร


ก่อนอื่นต้องถามว่าเราใช้กฏเกณฑ์อะไรมาบอกว่าสื่อนั้นเป็น สื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรอง สื่อแท้ สื่อเทียม ในความเป็นสื่อของทุกคนนั้น ทุกคนสามารถเป็นสื่อกระแสหลักได้ด้วยกันทั้งสิ้น ถ้ายึดมั่น ถือมั่น ในจรรยาวิชาชีพที่ทำตัวเป็นหมาเฝ้าบ้านปกป้องพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประชาชนอย่างถึงที่สุด จะเป็นหมาสีไหนก็ได้ทั้งนั้น หากมันเห่าและเฝ้าบ้านให้ประชาชนได้

สำหรับบทบาทของสมาคมนักข่าวหรือหลายๆสมาคมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นสื่อ ไม่ว่าจะเป็น สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ทำสื่อข่าวออนไลน์ สมาคมสื่อสารมวลชนภูมิภาค ฯลฯ ก็ทำหน้าที่กันได้ดีระดับหนึ่ง

เพียงแต่มีคำถามว่ากรรมการหลายๆคนในสมาคมเหล่านี้ได้พยายามเปิดกว้างและยอมรับกลุ่มคนทำสื่อกลุ่มหนึ่งที่พวกคุณบอกว่าไม่ใช่สื่อกระแสหลักได้เข้ามามีบทบาท มีปาก มีเสียง มีสิทธิแสดงความคิดเห็น ร่วมกันด้วยหรือเปล่า และนี่คือสิ่งที่ชมรมฯต้องการให้ได้มีตัวแทนของชมรมฯได้เข้าไปร่วมในทุกๆสมาคมเหล่านี้


Q:ความเห็นต่อสื่อเสื้อแดงเป็นอย่างไร


มีความตั้งใจกันเต็มที่ แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ได้อย่างใจมากนัก เนื่องจากความไม่พร้อมในด้านต่างๆ คนทำสื่อเสื้อแดงเป็นจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีทุนรอนก้อนโต แต่สู้กันด้วยหัวใจ บางคนก็สู้กันชนิดที่เรียกว่าเทจนหมดหน้าตัก ชมรมฯนั้นต้องการให้สื่อเสื้อแดงเกิดความเป็นเอกภาพในการต่อสู้ เพียงแต่ปลีกย่อยของเนื้อหาการทำงานอาจแตกแยกกันไป หลากหลายยุทธวิธี แต่ธำรงธงผืนใหญ่ที่เป็นเป้าหมายเดียวกันอย่างแจ่มชัด


Q:เป็นสื่อเทียมหรือเปล่า รับเงินทักษิณมาเคลื่อนไหวหรือไม่ หรือรับเงินใครมา


อย่าไปสนใจเลย ไม่ว่าการต่อสู้ใดๆ ก็ต้องมีเป็นธรรมดาของการนินทาว่าร้าย อย่างไรก็ตามจุดยืนหนักแน่นประการหนึ่งของพวกเราที่รวมกันจัดตั้งชมรมฯขึ้นมาก็คือ จะไม่อยู่ใต้อาณัติใดๆของใครทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คุณทักษิณ ซึ่งเราไม่เชื่อว่าคุณทักษิณจะเป็นศาสดาหรือพระเจ้า ถ้าคุณทักษิณหรือพวกพ้องทำอะไรไม่ถูกไม่ควร เราก็จะไม่รีรอที่จะเป็นปฏิปักษ์ตอบโต้อย่างมีเหตุมีผล สื่อต้องเป็นประชาธิปไตย สื่อต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่สื่อของคนใดคนหนึ่ง


Q:นโยบายของชมรมต่อสถานการณ์การเมืองในระยะนี้และอนาคต


อย่างแรกเลยก็คือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ที่นำเสนอต่อสาธารณชนคือข่าวสารที่ถูกต้องกันจริงๆ ต้องไม่ลืมว่าข่าวสารข้อมูลคืออำนาจที่ทรงพลังต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม ยิ่งทำให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องมากเท่าไร กระจายวงกว้างออกทุกสื่อ นั่นก็ยิ่งร่นระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น


Q:คุณไพโรจน์มีประสบการณ์งานสื่อมาอย่างไรบ้าง และพวกสมาชิกชมรมมีที่ไปที่มาอย่างไร


ผมอยู่ในวงการสื่อมาก็ราว35ปี เริ่มตั้งแต่เป็นนักข่าวท้องถิ่นเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ผ่านการเป็นผู้บริหารในสื่อที่เรียกว่าสื่อกระแสหลักมาแล้ว สำหรับสมาชิกร่วมก่อตั้งชมรมฯก็มาจากสื่อหลายแขนงไม่ว่าจะเป็น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ สิง่พิมพ์ เว็บไซต์ ตลอดจนนิสิต นักศึกษา ด้านนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน มีทั้งจากส่วนกลางและในภูมิภาค


หากท่านใดอยากเป็นสมาชิกชมรมก็เชิญแจ้งความจำนงมาได้ทางอีเมล์freedompress9999@gmail.com ครับ และท่านที่อยากทำงานด้านสื่อประชาธิปไตย ทนไม่ไหวกับสภาพเผด็จการ แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ทางชมรมฯของเรามีจัดอบรมให้ฟรี โดยวิทยากรนักข่าวมืออาชีพที่มีประสบการณ์ มีจรรยาบรรณ มีใจรักประชาธิปไตย รักประชาชน รักความเป็นธรรม ในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ รายละเอียดดูที่ http://www.thaifreedompress.blogspot.com/





000000อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง00000

สื่อประชาธิปไตยผนึกพลังก่อตั้งชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 กันยายน 2552


สื่อฝ่ายประชาธิปไตยรวมตัวก่อตั้งชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย(TFPC) เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไร้การบิดเบือนสู่ประชาชน รวมทั้งชูธงกระแสทวนต่อสื่อกระแสหลักที่ทำหน้าที่กระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อให้ฝ่ายอำมาตย์เผด็จการ ได้บก.แนวร่วมREDรายสัปดาห์เป็นประธาน "จักรภพ"หนุนให้ทำหน้าที่ถอดรหัสลับดาวินซี่ถอดหน้ากากของหัวโจกอำมาตย์ เชื่อจะทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยเร่งเผด็จศึกเร็วขึ้น


ผู้บริหาร และผู้ดำเนินการสื่อของฝ่ายประชาธิปไตย ได้รวมตัวกันก่อตั้งชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย(Thai freedom press club-TFPC) โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อร่วมมือกันผลิตสื่อที่มีแต่ความจริง ไร้การบิดเบือนสู่ประชาชน และตอบโต้การนำเสนอข้อมูลข่าวสารโฆษณาชวนเชื่อที่บิดเบือนขาวเป็นดำ(black propaganda) หรือการสร้างกระแสข่าวให้ประชาชนเกิดความไขว้เขวสับสนออกไปจากสถานการณ์ที่แท้จริงของประเทศ(wag the dog)ของบรรดาสื่อกระแสหลักที่ละเลยจุดยืนของการทำหน้าที่สื่อที่เป็นกลาง และสื่อที่ขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพ

การประชุมของผู้แทนสื่อฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่า 50 รายมีขึ้นที่มูลนิธิกระจกเงา ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันอาทิตย์(27ก.ย.)โดยมีผู้แทนจากหลายสื่อเช่น นิตยสารแนวร่วมRED คอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ผู้บริหารและผู้ดำเนินรายการข่าวโทรทัศน์ ผู้บริหารและผู้ดำเนินรายการข่าววิทยุ รวมทั้งเวบไซต์ต่างๆของฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ไทยอีนิวส์(http://www.thaienews.blogspot.com) เสรีชน(www.serichon.com) นปช.USA(www.norporchorusa.com) นิวสกายไทยแลนด์(www.newskythailand.com) ประชาชนไทย(www.prachachonthai.com) ไทยเสรี(www.thaiseri.net) คนไทยUS(www.khonthaius.com) ความจริงวันนี้(www.todayfact.tv) คนไทย(www.khonthai.org) พลังประชาธิปไตย(www.powerdmc.org)แดงนนท์(www.rednon.org) นปช.พัทยา(www.norporchorpattaya.worldpress.com)หนังสือพิมพ์เลี้ยวซ้าย และฟ้าเดียวกัน(www.sameskyboard.com) เป็นต้น

ที่ประชุมได้มีมติก่อตั้งชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย(TFPC)และได้เลือกตั้งนายไพโรจน์ จันทรนิมิ บรรณาธิการอำนวยการนิตยสารแนวร่วมREDรายสัปดาห์เป็นประธาน

ประธานของTFPCกล่าวว่า สื่อมวลชนกระแสหลักจำนวนมากได้เปลี่ยนจุดยืนจากการสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยดังที่เคยเป็นมาในอดีตไปอยู่ข้างฝ่ายเผด็จการ ไม่ใช่นักข่าวในสนามมีจิตสำนึกที่ผิดพลาด หรือไร้จรรยาบรรณ หากแต่เป็นเพราะนายทุนสื่อต่างๆมีผลประโยชน์ต้องรับความอุปถัมภ์ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆจากฝ่ายเผด็จการอำมาตย์ที่กุมอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสัมปทานคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ เวลาออกอากาศ งบประมาณโฆษณาจากภาครัฐ การจัดอีเว้นต์ของภาครัฐ เพื่อทำให้องค์กรของตนเองอยู่รอดหรือมีรายได้ ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์ที่ยึดกุมอำนาจรัฐ ก็ให้นายทุนสื่อต่างๆต้องผลิตงานผานสื่อต่างๆเพื่อรับใช้สนองนโยบายทางการเมืองของตน และให้โจมตีบิดเบือนทำลายความเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาชน ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการสมประโยชน์กันสองฝ่าย

สถานการณ์ความสมประโยชน์ของสื่อกระแสหลักกับอำมาตย์ได้ดำเนินมาจนเปิดเผยล่อนจ้อนในช่วงเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ผ่านมานี้ ที่มีการร่วมมือกันอย่างเข้มข้นจนเอาชนะสงครามข่าวสารได้ ฝ่ายประชาธิปไตยประสบความพ่ายแพ้ลงในระยะนั้นก็เพราะเหตุนี้ ดังนั้นTFPCจึงได้รวมตัวกันจากสื่อของฝ่ายประชาธิปไตย และยินดีเปิดกว้างต้อนรับสื่อกระแสหลักที่อึดอัดกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ มาร่วมมือกันก่อตั้งชมรม เพื่อร่วมกันผลิตสื่อที่เสนอแต่ความจริง ไร้การบิดเบือน และทำหน้าที่ตอบโต้การโฆษณาชวนเชื่อแบบblack propaganda และwag the dogดังที่ทำกันอยู่อย่างเข้มข้นในเวลานี้

อย่างไรก็ตามTFPCจะไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับใช้หรือเชียร์หรือดสนับสนุนฝ่ายใดอย่างเข้ารกเข้าพง เช่น หากกลุ่มเสื้อแดงมีการกระทำการที่ผิดพลาดบกพร่อง หรือแกนนำ รวมทั้งอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กระทำการที่ผิดพลาดบกพร่อง ก็ต้องมีการนำเสนอข่าวที่เป็นจริง ไม่มีการบิดเบือน หรือแก้ต่างให้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะTFPCไม่ได้มีเป้าหมายจะนำเสนอข่าวเอาใจกลุ่มเสื้อแดงเท่านั้น แต่ต้องการนำเสนอข่าวไปยังประชาชนทั่วไป ซึ่งมีใจเป็นกลาง ต้องการความเป็นจริง ไร้การบิดเบือน ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ


กิจกรรมของTFPCเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้(27ก.ย.)โดยมีการจัดฝึกอบรมให้แก่สมาชิกกว่า 50 รายจากสื่อประชาธิปไตยต่างๆ โดยการอบรมวิธีการทำข่าว การนำเสนอข่าวที่ถูกต้อง เป็นจริง ไม่บิดเบือน จรรยาบรรณของสื่อเป็นต้น โดยวิทยากรผู้ทำหน้าที่ฝึกอบรม เช่น นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์และคอลัมนิสต์ฝ่ายประชาธิปไตย อาจารย์วิภา ดาวมณี นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายไพโรจน์ บรรณาธิการอำนวยการแนวร่วมRED นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา นายวัฒนะ วรรณ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เลี้ยวซ้าย คุณบังสุกุลผู้บริหารเวบไซต์ถ่ายทอดสดวิทยุ+ทีวีอินเตอร์เน็ตกว่า20เวบไซต์ นายรุ่งโรจน์ วรรณศูทร คอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ และนายสมศักดิ์ ภักดิเดช บรรณาธิการข่าวไทยอีนิวส์

นายจักรภพกล่าวในการอบรมตอนหนึ่งว่า TFPCเป็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตย มีหน้าที่สำคัญเสมือนการเข้าไปถอดรหัสรับดาวินซี่ ร่วมกันเปิดเผยและเปิดโปงภาพฉากหน้าอันฉาบไว้ด้วยความงดงามของระบบอำมาตย์ แต่แท้จริงสกปรกโสมม เป็นอุปสรรคถ่วงรั้งความก้าวหน้าของประเทศชาติ เป็นอุปสรรคของชาวประชาธิปไตย

นอกจากนี้แล้วTFPCยังเป็นความหวังว่าจะนำความจริงที่ไร้การบิดเบือน ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ กอรปด้วยจรรยาบรรณนำเสนอเผยแพร่ต่อประชาชน โดยไม่ต้องไปพยายามครอบงำความคิดเห็นของสาธารณชน เพียงแต่ข้อเท็จจริงและแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือก ก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะทำให้เผด็จศึกอำมาตย์ได้ในเร็ววันนี้

สำหรับท่านที่ประสงค์อยากเข้าร่วมเป็นสมาชิกของTFPC และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรมการปฏิบัติงานข่าว การวิเคราะห์ข่าว การนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน(investigative news) และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการเขียนเวบไซต์ เขียนบล็อกข่าว การถ่ายทอดสดวิทยุและโทรทัศน์ผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างง่าย ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ ให้แจ้งไปที่ freedompress9999@gmail.com หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่www.thaifreedompress.blogspot.com

ท่านที่จะเข้าเป็นสมาชิกควรเป็นผู้ที่สนใจงานข่าว งานสื่อ โดยไม่จำกัดว่าเป็นสื่อฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น แม้ท่านเป็นสื่อกระแสหลักที่อึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ ทางTFPCก็เปิดกว้างต้อนรับเสมอ ส่วนท่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ไม่มีความจำเป็น ขอเพียงมีความตั้งใจจริงอยากอาสาทำงานด้านสื่อของฝ่ายประชาธิปไตยก็ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง

เสื้อแดงประท้วงไล่มาร์คหน้าโรงแรมรอยัลริเวอร์

ที่มา มติชนกลุ่มคนเสื้อแดงประท้วงขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่หน้าโรงแรมรอยัลริเวอร์ ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นวิทยากรในการสัมมนาของคณะกรรมาธิการการศึกษา วันที่ 28 กันยายน

" อ๋อย" ได้ทีจวกมะกันไม่เชื่อมั่น"รัฐบาลมาร์ค" โฆษกรบ.ยอมรับยูเสดให้245ล.กู้ประชาธิปไตย

ที่มา มติชน

ปณิธาน ยอมรับยูเสดให้ 245 ล้าน พัฒนาและยกระดับธรรมาภิบาลไทย เผยเอกชนร้องขอหลังเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. เริ่มแจกต้น ปีหน้า "จาตุรนต์" ซัดมะกันไม่เชื่อมั่นรัฐบาล เชื่อมีปัญหาประชาธิปไตย


ส.ว.จี้รบ.แจงเงินยูเสดช่วยปชต.


นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ ส.ว.นครศรีธรรมราช จี้รัฐบาลนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีนิตยสารไทม์ออกมาเปิดเผยข้อมูล กรณีสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ(ยูเสด) ให้เงินเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาประชาธิปไตย แก่ประเทศไทย ประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (680ล้านบาท) เพราะวิตกกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย ซึ่งการให้เงินแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 15 ปี ที่ผ่านมา ก่อนการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 28 กันยายน ทั้งนี้นายสิริวัฒน์ตั้งข้อสงสัยว่า เมื่อยูเสดไม่เคยให้เงินมาเลยในรอบ 15 ปี แสดงว่าก่อนปี 2537 เคยเกิดขึ้น จึงสงสัยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และเมื่อต่างประเทศต้องการจะส่งเสริมประชาธิปไตยไทย แล้วภายในประเทศมีโครงการส่งเสริมประชาธิปไตยอย่างไรบ้าง เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่


โฆษกรบ.รับได้เงิน245ล.ยังไม่ใช้


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้ว่า ยูเสดได้ดำเนินกิจกรรมในไทย และมอบทุนสนับสนุนให้องค์กรต่างๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านสังคม แต่ภายหลังการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 คนไทยจำนวนหนึ่งที่อยู่ในรูปเครือข่ายภาคประชาสังคมได้ไปพูดคุยกับผู้แทนยูเสดว่าไทยต้องการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล ทำให้ยูเสดตัดสินใจจัดสรรงบประมาณให้ 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 245 ล้านบาท) ให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) สื่อมวลชน และองค์กรอิสระของไทย ดำเนินการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลเป็นเวลา 5 ปี (ปี 2553-2558)


“ขณะนี้เม็ดเงินดังกล่าวยังไม่ถูกนำมาใช้ เพราะยูเสดอยู่ระหว่างการประเมินแผนงาน โดยแยกเป็นรายโครงการ คาดว่าในช่วงต้นปี 2553 จะมีการประสานงานกับรัฐบาลไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อกำหนดกรอบในการเข้ามาทำงานว่าจะร่วมมือกันแค่ไหนอย่างไร ซึ่งโดยหลักการเราเห็นด้วยที่จะมีการพัฒนาและยกระดับธรรมาภิบาลให้เข้มแข็งขึ้น แต่ในฐานะที่เราเป็นเจ้าบ้านก็ต้องไปควบคุม ดูแลให้เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตยของไทย” นายปณิธานกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลจำเป็นต้องทำหนังสือประท้วงการเข้ามายุ่งย่ามกับกิจการของไทยหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่าไม่จำเป็น เป็นเรื่องชัดเจนว่ายูเสดเคยให้ทุนพัฒนาและช่วยเหลือองค์กรของไทยในเรื่องอื่นๆ อยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นว่าเมื่อเสนออะไรมาแล้วเราต้องรับทั้งหมด เรามีสิทธิตั้งเงื่อนไขกลับไปได้ เพราะเป็นเจ้าของประเทศ


"กษิต"อ้างช่วยปกติไม่ซับซ้อน


นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่มีอะไร เพราะสำนักงานของยูเสดในไทยเป็นศูนย์กลางการให้ความช่วยเหลือในภูมิภาคด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐและองค์กรภาคประชาสังคมของสหรัฐก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญที่รู้เรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการมีส่วนร่วมมาบรรยาย ซึ่งไทยก็รับความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันนี้จากประเทศอื่นๆ อาทิ เยอรมนี ที่เคยส่งผู้เชี่ยวชาญมาบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้าเหล่านี้เป็นต้น เรื่องก็มีแค่นี้เท่านั้น


เมื่อถามหมายความว่าความช่วยเหลือที่ให้เป็นเรื่องเก่าไม่ได้เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ใช่หรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่เกี่ยว "เขามีมิตรจิตรมิตรใจที่ดี นานๆทีก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้กับเราในทุกระดับ จะเป็นพรรคการเมืองก็ดี ข้าราชการประจำ คณะกรรมการการเลือกตั้ง รัฐสภา หรือภาควิชาการ เป็นเรื่องที่เขาทำมาตลอด ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน"นายกษิตกล่าว


"สุเทพ"เร่งตรวจสอบเงินไปที่ไหน


ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ไม่ทราบว่าเงินเข้ามาได้อย่างไรและเข้ามาตอนไหน เข้าใจว่าคงจะเป็นเรื่องขององค์กรเอกชนทั้งหลายมากกว่าจะเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่ทราบว่าให้มาอย่างไร ผ่านใครและจำนวนเท่าไร จึงต้องติดตามดูอีกครั้งหนึ่ง อย่าเพิ่งไปแจกแจงเพราะมันเป็นข่าวที่มีคนปล่อยออกมา


“ผมจะพยายามตรวจสอบว่าเงินไปที่ไหน ซึ่งคนให้ก็น่าจะบอกได้ว่าให้กับใคร ไปที่ไหน เราจะตรวจสอบไปจนกว่าจะได้ข้อเท็จจริง” นายสุเทพ กล่าวและว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลเป็นคนทำเงินหายเพราะหากเอาเงินมาให้รัฐบาลแล้วรัฐบาลทำหายก็สามารถต่อว่ารัฐบาลได้"


นายสุเทพกล่าวว่าปกติก็จะมีองค์กรต่างๆรับผิดชอบเรื่องการรณรงค์ประชาธิปไตยอยู่ แต่ไม่มาก จึงอยากให้ส่วนราชการทั้งหลายหันมาให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะจะมีงบประมาณของแต่ละหน่วยงานสำหรับการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องประชาธิปไตยให้แก่พี่น้องประชาชน โดยไม่ต้องให้คนอื่นเข้ามาช่วย


ปัดตอบข่าวเงินไปทีวี"ทีเอเอ็น"


เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าได้นำเงินดังกล่าวไปมอบให้สถานีโทรทัศน์ Thai Asia Network (TAN) ของนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นายสุเทพกล่าวว่าตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง หากพูดไปจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เมื่อถามว่าเงินจำนวนนี้จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงไทยในอนาคตหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่าการให้ความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่หากทำอย่างอื่นนอกเหนือกว่านั้นก็เป็นปัญหาและต้องดูกัน


"อ๋อย"ชี้ยูเสดไม่เชื่อมั่นรัฐบาล


ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า แสดงว่ายูเสดเห็นว่าประเทศไทยมีปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย สหรัฐฯจึงต้องออกมาให้ความสนใจ น่าแปลกที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลเพิ่งรับทราบ เมื่อถามว่าการที่ยูเสดไม่ได้แจ้งรัฐบาลเพราะไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ นายจาตุรนต์กล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะที่ไม่ได้ติดต่อกับรัฐบาลโดยตรงคงจะกลัวว่ารัฐบาลจะไปแทรกแซงอะไรหรือไม่ โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่หากแจ้งรัฐบาลไปเขาก็จะไม่ได้พบสื่อมวลชนที่พูดจริงๆ

ไล่นักลงทุน

ที่มา เดลินิวส์

นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บินข้ามน้ำ ข้ามทะเลไปประชุมยูเอ็น ถือโอกาสชวนนักลงทุนสหรัฐเข้ามาลงทุนเพิ่ม มีข่าว 3 ยักษ์ค่าย ฟอร์ด จีเอ็ม ไครสเลอร์ และ โคคาโคล่า สนใจไทยมาก ถือเป็นข่าวดี

กลุ่มรถยนต์เตรียมทุ่ม 3 หมื่นล้านขยายฐานผลิต แต่ก่อนหน้านี้ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ พูดในงานสัมมนาใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนโครงการผลิตเหล็กต้นน้ำ

รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจไม่ใช่นาย ก. นาย ข. นะ จะว่าพูดในนามส่วนตัวก็ไม่ได้ มันแยกหัวโขนได้ที่ไหน ไม่เท่านั้นยังตอกย้ำ “จะให้ดี สั่งเข้าจากต่างประเทศดีกว่าผลิตเอง” อ้างไม่กระทบสิ่งแวดล้อม !!!

พูดอย่างนี้ เท่ากับเติมเชื้อเพลิงให้ “เอ็นจีโอ” ได้ไชโยโห่ฮิ้วขนานใหญ่ ปกติโครงการอุตสาหกรรม 4 แสนล้าน ที่มาบตาพุด ไม่ว่าจะปิโตรเคมี ปูนซีเมนต์ โรงกลั่น เม็ดพลาสติก ก็ไม่รู้จะได้เกิดเมื่อไหร่อยู่แล้ว

นอกจากคำสั่งศาล ประกาศเป็นเขตป้องกันมลพิษแล้ว ยังมี เอ็นจีโอขาใหญ่ ปลุกระดมชาวบ้านต้านสุดเดช ฝังใจว่า อุตสาหกรรมต้องทำลายสิ่งแวดล้อมลูกเดียว

มันก็มีหรอก แต่ทุกวันนี้ แต่ละโครงการให้เพิ่มเครื่องป้องกันมลพิษยังไง เค้ายอมแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะ โครงการผลิตเหล็กต้นน้ำ หัวใจสำคัญต่ออุตสาหกรรม ทั้ง สภาพัฒน์ฯ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าฯ ลงไปสำรวจพื้นที่ตั้งโรงงาน แหล่งน้ำ ไว้แล้ว ปีหน้าคงเสร็จ

แต่คำพูดกอร์ปศักดิ์ เล่นเอาแทบล้มทั้งยืน

มิน่า ค่ายรถยนต์ใหญ่ถึงเซ็งเป็ด รำพึงว่า ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ตั้งฐานการผลิตใหญ่โตในประเทศที่ไม่มีการผลิตเหล็กคุณภาพสูงเลย ทำให้ไร้หลักประกันเรื่องวัตถุดิบ

แล้วจะฝันเป็น “ดีทรอยท์” เอเชียได้หรือ

ก็ยังโชคดี ที่ไทยมีเสน่ห์อยู่ 4 ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลก ซึ่ง “บีโอไอ” ไปชวนเค้ามา แสดงความอยาก มาลงทุน โดยก็ไม่ได้ขออะไรเพิ่มเติมไปกว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยระบุในเงื่อนไข

นอกจากพื้นที่ก่อสร้างโรงงาน 5,000-10,000 ไร่ ท่าเรือน้ำลึก 2 แสนตันขึ้น น้ำ 30-50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เป็นต้น มาเจอแนวคิดกลับ หัวกลับหางอย่างนี้เข้า ไม่รู้ยังอยากมา มั้ยเนี่ย

ใจคอฯพณฯกอร์ปศักดิ์ จะให้อุตสาหกรรมไทยเป็นลูกไก่ในกำมือ ผู้ผลิตเหล็กต่างชาติตลอดเวลาหรือไง อยากโขกราคาเท่าไหร่ก็เท่านั้นอย่าง นั้นหรือ

ผู้นำรัฐบาลอุตส่าห์เดินสายเชิญชวนนักลงทุนมาไทย แต่ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ย้ำฝ่ายเศรษฐกิจ กลับจะไล่นักลงทุนดื้อ ๆ มันอะไรกันเนี่ย ยิ่งดูยิ่งเหมือนเด็กบริหารประเทศจริง ๆ

อย่าเขียนด้วยมือลบด้วยเท้าสิ!!!

ก่อนจบ พรุ่งนี้ลุ้นคดีหวยบนดินจาก ศาลฎีกาฯนักการเมือง แล้วที่ ศาลปกครอง ยังมีกรณี “โอ๊ค-เอม”ขอให้ศาลสั่งถอนอายัดเงิน 2 หมื่นล้าน ที่ถูกยึดเป็นตัวประกันไว้ในแบงก์ไทยพาณิชย์ด้วย

หากให้ถอน แบงก์ใบโพธิ์คงกระทบไม่มากก็น้อย เงินฝากตั้ง 2 หมื่นล้าน...

ดาวประกายพรึก

ไทยเข้มแข็งมีกลิ่น

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน




ยังไม่ทันไร โครงการไทยเข้มแข็งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เริ่มมีกลิ่นโชยมาแล้ว

หลังโครงการชุมชนพอเพียงส่อทุจริต จนประชาธิปัตย์ต้องไล่ตัดตอนฆ่าปลาซิวปลาสร้อยไป 4 ตัว

แต่ก็ยังมีหลายโครงการส่งกลิ่น โดยเฉพาะการซื้อสิ่งของที่แพงเกินจริง และสิ่งของที่ไม่ได้คุณภาพในอีกหลายพื้นที่

สำหรับโครงการไทยเข้มแข็ง เป็นโครงการลงทุนตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 มูลค่า 1,431,330 ล้านบาท ปี 2552-2555 ประกอบด้วย

โครงการขนส่งและโลจิสติกส์ 571,523 ล้านบาท

โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร 238,515 ล้านบาท

โครงการด้านการศึกษา 137,975 ล้านบาท

โครงการสาธารณสุข 99,399 ล้านบาท

โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว 18,537 ล้านบาท

ความไม่ชอบมาพากลของโครงการไทยเข้มแข็ง เปิดประเด็นโดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ระบุว่าได้รับแจ้งจากข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขถึงการใช้งบประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง ส่อไปในทางทุจริต ในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในลักษณะที่ผู้ใช้ไม่ได้ซื้อ ผู้ซื้อไม่ได้ใช้

นักการเมืองออกมาเปิดโปงนักการเมืองด้วยกัน อาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก

แต่พอเป็นน.พ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทออกมาก็ยิ่งน่าเงี่ยหูรับฟัง

น.พ.พงศ์เทพระบุว่า ปัญหาของโครงการไทยเข้มแข็งในส่วนของสาธารณสุขไม่ใช่อยู่ที่การล็อกสเป๊ก แต่อยู่ที่สิ่งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ซื้อนั้น โรงพยาบาลไม่ได้ขอ หรือมีความต้องการ เช่น เครื่องฆ่าเชื้อด้วยยูวี ราคา 40,000 บาท ไม่มีใครขอ เพราะราคาแค่นี้ถ้าโรงพยาบาลจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถใช้เงินบำรุงจัดซื้อเองได้

แค่อนุมัติให้ซื้อทุกโรงพยาบาลก็จะเป็นเงินกว่า 300 ล้านบาท

น.พ.พงศ์เทพกล่าวว่า นอกจากนั้น ยังปัญหาใหญ่คือราคาที่อนุมัติแพงเกินไป เช่น เครื่องช่วยหายใจราคา 1.2 ล้าน แต่โรงพยาบาลบางแห่งเพิ่งซื้อไป 5 แสนกว่าบาทเท่านั้น หรือแฟลตพยาบาล ราคา 9.6 ล้านบาท แต่เมื่อต้นปี 2552 โรงพยาบาลบางแห่งเปิดซองประมูลได้ราคาแค่ 6 ล้านบาท รวมทั้งเครื่องฆ่าเชื้อยูวีก็ราคาแค่ 6,000 บาทเท่านั้น

เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทยังเปิดเผยด้วยว่า จากการสอบถามโรงพยาบาลบางแห่ง พบว่ามีนักการเมืองในพื้นที่ไปติดต่อว่าอยากได้อะไร แล้วนำไปเพิ่มราคา โดยผ่านกองแผนงานของกระทรวงสาธารณสุข เวลาประมูล ถ้าฮั้วราคากันก็คงได้ราคากลางพอดี ทั้งที่ควรจะถูกกว่านั้น

"การจัดสรรผ่านคนไม่กี่คนในส่วนกลางในช่วงที่กำลังจะตั้งปลัดกระทรวงและอธิบดีใหม่ อาจมีคนในกระทรวงที่อยากก้าวหน้าชงให้ก็ได้" น.พ.พงศ์เทพระบุ

พร้อมกับเตือนว่าเรื่องนี้ระวังซ้ำรอยคดีทุจริตยาและเครื่องเวชภัณฑ์

ที่ส่งผลให้นายรักเกีรยติ สุขธนะ ติดคุกอยู่ในขณะนี้

ยังไงก็ไม่เร็ว

ที่มา ไทยรัฐ

ผลการสำรวจความเห็นประชาชน 77 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ

ถือเป็นคำตอบที่หนักแน่นเพียงพอที่ "นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ต้องยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่คุณขอมาเพียงแต่ "นายกฯอภิสิทธิ์" ต้องแสดงลีลาปลาดุกยักเงี่ยง เพื่อไม่ให้การแก้รัฐธรรมนูญรีบร้อนรวบรัดจนเกินไป

คือตั้งเงื่อนไขให้ประชาชนออกเสียงประชามติ "เห็นชอบ" ก่อนเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ประเด็น

"แม่ลูกจันทร์" เห็นด้วยกับนายกฯอภิสิทธิ์เต็มประตู

เพราะการให้ประชาชนทั่วประเทศออกเสียงประชามติ จะปลดชนวนขัดแย้งไม่ให้บานปลาย

อย่างไรก็ตาม การแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ 6 เดือนเสร็จอย่างที่ "ชินวรณ์ บุณยเกียรติ" ประธานวิปรัฐบาลฉายหนังโฆษณา

แต่...แต่ถ้าอ่านกฎหมายให้ดีๆ เกมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ อาจลากยาวไปได้ถึงปีครึ่งอย่างสบายๆ

โปรดอย่าเถียง "แม่ลูกจันทร์" จะสาธยายให้ฟัง

สมมุติว่า "นายกฯอภิสิทธิ์" ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันนี้ กว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ กว่าจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ จะต้องใช้เวลา 18 เดือน

หรือประมาณเดือนเมษายน 2554 โน่นแหละโยม

เริ่มจากต้องหาข้อยุติว่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบการแก้รัฐธรรมนูญ? จะร่างแยกเป็น 6 ญัตติ? หรือจะร่างเป็นญัตติเดียว?

หลังจากยกร่างวางประเด็นเรียบร้อยก็ต้องเสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาฯเห็นชอบร่วมกัน

เฉพาะขั้นนี้ก็น้ำลายแตกฟองไปแล้ว 2 เดือนฟรีๆ

จากนั้น ประธานรัฐสภาจะต้องส่งประเด็นแก้รัฐธรรมนูญไปให้ กกต.เตรียมจัดออกเสียงประชามติตามกติกา

ปัญหาอยู่ที่ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ เพิ่งคลอดผ่านสภาฯหยกๆ ยังไม่ทันตัดสายสะดือ

ยังต้องผ่านขั้นตอนเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายอีก 2 เดือน หรือประมาณเดือนธันวาคม

แต่ถึง พ.ร.ก.ออกเสียงประชามติ มีผลบังคับใช้ ก็ยังไม่สามารถจัดออกเสียงประชามติได้ทันที

เนื่องจาก ก.ม.กำหนดว่า การดำเนินการออกเสียงประชามติ จะต้องประกาศล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 90 วัน ถึง 120 วัน

ขั้นแรก ต้องกำหนดวันลงประชามติให้ประชาชนเตรียมตัว

ขั้นที่ 2 กกต.ต้องจัดส่งเอกสารข้อมูลให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทำความเข้าใจก่อนลงประชามติอีก 30 วัน

ขั้นที่ 3 ก.ม.เปิดช่องให้ประชาชนยื่นฟ้องคัดค้านการทำประชามติต่อศาลปกครองก่อนลงประชามติ 30 วัน

ขั้นที่ 4 ประชาชนสามารถยื่นร้องคัดค้านก่อนประกาศผลประชามติอีก 30 วัน

เฉพาะกระบวนการทำประชามติ จนประกาศผลประชามติอย่างเป็นทางการ น่าจะใช้เวลา 6 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายน

จากนั้นจึงจะเริ่มกระบวนการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา กว่าจะคลอดผ่านวาระ 1 ก็ต้องอภิปรายกันระเบิดเถิดเทิง

ทีนี้มาถึงการแปรญัตติวาระ 2 ซึ่งต้องลงมติเป็นรายมาตรา

แถมก่อนพิจารณาวาระ 3 ต้องเว้นวรรคอีกไม่ต่ำกว่า 15 วัน

ฟันธง...รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขใหม่ จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเดือนตุลาคมปีหน้าเป็นอย่างเร็ว!!

แต่ยัง...ยัง...ไม่ครบวงจร เพราะยังต้องแก้ ก.ม.ลูกให้สอดคล้องกับเนื้อหาใหม่ของรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ส.ว. พ.ร.บ. กกต. และ พ.ร.บ. พรรคการเมือง ฯลฯ

กว่าการแก้ไข ก.ม.ลูกจะผ่านสภาครบ 3 ฉบับ ก็ต้องบวกเวลาเพิ่มอีก 6 เดือน

การแก้รัฐธรรมนูญจึงต้องใช้เวลา 18 เดือน หรือปีครึ่งพอดี

นี่ขนาดสปีดซิ่งนรกแล้วนะท่านประธาน.

แม่ลูกจันทร์

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker