กลายเป็นวิวาทะระหว่างอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำสำนวนคดีทุจริตการจัดซื้อกล้ายางมูลค่า 1,440 ล้านบาทซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องจำเลย 44 คนเพราะไม่ยอมรับฟังข้อทักท้วงคณะทำงานคดีของอัยการสูงสุดที่ให้สอบประเด็นให้สมบูรณ์
นอกจากนายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. ยืนยันว่า การทำสำนวน ของคตส.ที่ผ่านมาทำตามหลักการของกฎหมาย ไม่เคยมีใครสั่งอะไรหรือไม่รับคำสั่งจากใคร ไม่เคยทำหน้าที่ตามกระแส ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวสู้คดีเต็มที่ สำนวน คตส.ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องครบถ้วนเป็นธรรมแล้ว
นายสักยังตอบโต้อัยการว่า มีหน้าที่ฟ้องคดีแทนแผ่นดินแต่ไม่ทำหน้า กฎหมายจึงกำหนดให้ คตส.ต้องจัดหาทนายความฟ้องเอง จึงอยากเรียกร้องสังคมว่าควรจะมีองค์กรอิสระภาคเอกชนขึ้นมาทำหน้าที่ในกรณีที่องค์กรของรัฐไม่ทำหน้าที่เหมือนบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน หรือเกาหลี มิฉะนั้น จะเข้าตำราสุภาษิตจีนที่ว่า "ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล"
นอกจากนั้น นายสัก ยังตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้รับผิดชอบระดับสูงของกระบวนการยุติธรรมไปเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย ทั้งคดีกล้ายาง และคดีหวย 2 ตัว 3 ตัว และตอบคำถามทนายจำเลยบางประการสมควรหรือไม่ เช่น ทนายจำเลยที่ 31 คำถามสุดท้ายว่า "พยานมีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์นำคดีไปฟ้องเป็นคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร"
"พยานตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมาย เรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควร ที่ผลออกในลักษณะนี้"
จากการตรวจสอบรายชื่อพยานจำเลยในคดีโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว(หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวก รวม 47 คนเป็นจำเลยและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 กันยายน พบว่า พยานจำเลย 2 คนที่ที่นายสักระบุอยู่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 2 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่งให้การต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานของอัยการสูงสุด ให้การเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552
จากการตรสวจสอบเอกสารถอดเทปคำให้การของพยานจำเลยทั้งสองมีสาระสำคัญดังนี้
นายชัยเกษม นิติสิริ
ศาลฎีกาฯไต่สวนพยานในฐานะอัยการสูงสุดและในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโคงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวซึ่งเห็นว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่มีอำนาจออกหวย 3 ตัว 2 ตัว
อย่างไรก็ตาม นายชัยเกษมอ้างว่า เป็นเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ตัวบันทึกคำวินิจฉัยออกมาตามความเห็นของเสียงข้างมาก
"แต่ในส่วนตัวของพยานเห็นว่า สำนักงานสลากฯนั้นมีอำนาจที่จะทำกิจการอันนี้โดยอาศัยมาตรา 5ผ3)ซึ่งเขียนไว้ค่อนข้างกว้างและพยานเห็นว่า การตีความต้องตีความให้ปฏิบัติได้ ทำงานได้ ถ้าตีความในลักษณะที่ปฏิบัติไม่ได้ ทุกอย่างจะติดขัดไปหมด...การออกสลากไม่ว่า เป็นสลากการกุศลหรือสลาก 2 ตัว 3 ตัว เมื่อไม่ได้เป็นสลากที่ออกมาตรา มาตรา 5(1)แล้ว การจัดสรรเงินรางวัล สัดส่วนการใช้เงินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถจะทำไปตามนโยบายของคณะกรรมการหรือตามที่รัฐบาลมีนโยบายได้"
นอกจากนนันเมื่อทนายจำเลยที่ 31 31(นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล )ได้ซักถามว่า พยานเชื่อว่า การที่สำนักงานสลากฯตัดสินใจทำหวย 2 ตัว 3 ตัวโดยเห็นว่า ถุกต้องตามมาตรา 5ผ3) เช่นนี้ มีเจตนาทางอาญาหรือไม่
นายชัยเกษมตอบว่า "คิดว่า ไม่มีเพราะการที่คนตีความกฎหมายไม่เหมือนกัน ก็คงต้องไปดูว่า มีอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่ ถ้าแค่การตีความกำหมายไม่เหมือนกันและก็มาบอกว่า มีเจตนาทางอาญา พยานไม่เห็นด้วย"
ทนายจำเลยที่ 31 ถามคำถามสุดท้ายว่า มีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์(คตส.)นำคดีไปฟ้องคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร
นายชัยเกษมตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมายเรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควรที่ผลออกมาในลักษณะเช่นนี้"
นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน สำนักงานอัยการสูงสุดที่พิจารณาคดีหวย 3 ตัว 2 ตัวรวมกับทาง คตส.
คำให้การของนายวัยวุฒิเน้นไปที่ข้อที่ไม่สมบูรณ์ของคดี 5 ข้อ แต่ทาง คตส.ไม่เห็นด้วยและไม่ทำตามข้อเสนอของทางคณะทำงาน
เมื่อทนายจำเลยที่ 23(นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย )ถามว่า ตามที่มีข่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งกล่องเอกสารสำนวนคืน คตส. ทาง คตส.ติงว่า กล่องยังไม่มีการแกะ แสดงว่า อัยการสูงสุดไม่เคยอ่านเอกสารหรือไม่
นายวัยวุฒิตอบว่า " นี่เป็นสิ่งที่พยานรันทดในการทำงาน ตลอดชีวิตราชการของพยาน พยานทำงานมา ถ้าไม่ต่ออายุปีนี้ก็เกษียณแล้ว ในการทำงานของอัยการเรา ซึ่งพยานก็คิดว่า ไม่ต่างจากทนายความเท่าไร ในคดีต่างๆเหล่านี้ พยานเอกสารหลักฐานต่างๆ เราแทบจะรักษาไว้ด้วยชีวิต ในการดำเนินคดีที่ คตส.ส่งมา คดีหวยบนดินนี้เป็นคดีแรกที่ คตส.ส่งมาให้ ทางคณะทำงานอัยการ คตส.จะส่งต้นฉบับมาอยู่ในกล่องตั้ง 6-7 กล่อง ผนึกมาเรียบร้อย เซ็นชื่อมาเรียบร้อย ขณะเดียวกัน คตส.ก็ส่งสำเนาของเอกสารทั้งหมดไมาให้เราด้วย เมื่อทางกองคดีพิเศษรับสำนวนเสร็จ พยานก็มีคำสั่งให้รักษาต้นฉบับไว้ ไม่ให้ใครไปยุ่ง
"ในการพิจารณาสำนวนนี้ ข้อไม่สมบูรณ์ต่างๆ เราพิจารณาจากสำเนาที่ คตส.ส่งมาประกอบกับบางอันเราถ่ายเอกสารแจกคณะทำงานเพื่อช่วยกันพิจารณาเนื่องจากระยะเวลามีเพียง 30 วัน เอกสารเป็นหมื่นๆหน้า.... เมื่อ คตส.ขอสำนวนคืน เราก็ส่งคืนให้ สำเนาเราก็ส่งคืนให้ไป ก็ได้ไปออกข่าวว่า พยานนั่งเที่ยน ไม่แกะสำนวนออกดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรเรื่องข้อไม่สมบูรณ์... เรื่องนี้สาธารณชนก็โจมตีคณะทำงานอัยการสุงสุด พยานไปที่ไหนก็อายเขา หาว่านั้งเที่ยนพิจารณา พยานคิดว่า ถ้าพยานทำอย่างนั้น พยานคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงบัดนี้..."