ที่รัฐบาลไม่สามารถนำเงินส่งคืนคงคลังได้ เพราะหากทำเช่นนั้นการนำเงินคงคลังออกมาใช้จะมีปัญหา อาจเป็นการใช้งบประมาณแบบขาดดุลได้อีกทั้งกฎหมายว่าด้วยพ.ร.บ.หนี้สาธารณะ กำหนดให้รัฐบาลใช้เงินนอกงบประมาณไม่เกิน20% เท่านั้นแต่ขณะนี้รัฐบาลก็ใช้โควตาดังกล่าวเต็มไปแล้ว จึงต้องหาช่องให้ได้ว่างั้นเถอะนี่คือ สถานการณ์จริงทั้งในแง่การกู้เงิน และในแง่งบประมาณ
เป็นไปตามคาดสำหรับการเดินทางไปประชุมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพราะแม้ว่าจะมีความสามารถในการพูดให้ต่างชาติเคลิบเคลิ้มได้ สามารถหว่านล้อมให้เห็นความน่าสนใจของประเทศไทยว่ายังมีเหลืออยู่โดยใช้เครดิตของการเป็น ออกซ์ฟอร์ดสไตล์ และ ออกซ์ฟอร์ด แฟมิลี่ ช่วยกันหนุนหลังอย่างเต็มที่แต่หากจะยอมรับความเป็นจริงจะเห็นว่าทุกคำถามที่เกิดขึ้นในทุกเวทีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ไปพูด จะต้องมีคำถามเกี่ยวกับความวุ่นวาย ปัญหาการเมืองและผลงานของรัฐบาลชุดนี้อยู่ด้วยเสมอซึ่งแน่นอนว่า เป็นธรรมดาของคนเราเมื่อตอบหรืออธิบายความอะไรไป ก็มักจะเข้าใจหรือเข้าข้างตัวเองเสมอว่า คนฟังเข้าใจแล้วและเห็นด้วยแล้ว ยิ่งบุคลิกคนที่เคยเป็นอาจารย์ คนที่เคยสอนหนังสือด้วยแล้ว จะเป็นเหมือนกันหมดว่าเมื่อครูสอนเสร็จ แล้วถามว่า“เข้าใจมั้ย ใครสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า?”เมื่อนักเรียนหรือลูกศิษย์ นิ่งเงียบไม่ถามร้อยละ 99.99 มักคิดว่า ทุกคนเข้าใจหมดน้อยคนนักที่จะฉุกใจคิดว่าเราพูดไม่รู้เรื่องหรือเปล่า???
นิ่งเงียบเพราะไม่เชื่อหรือเปล่า???ฉะนั้น การที่นายกฯอภิสิทธิ์ แถลงผ่านเว็บคอนเฟอร์เรนซ์ (Web Conference)มายังตึกนารีสโมสร ทำเนียบฯ ว่า แม้จะถูกถามเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองของไทยแต่ก็ได้ยืนยันไปว่า สามารถควบคุมดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายได้ และความเคลื่อนไหวในกรอบของประชาธิปไตยนักลงทุนส่วนใหญ่ก็เลยให้ความมั่นใจกับไทย และก็มีทิศทางบวกกับไทย?!?ก็บอกแล้วว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าใครคิดใครเข้าใจเพราะอย่าลืมว่า ในขณะเดียวกันกับที่นายกฯ อภิสิทธิ์ บอกว่าต่างชาติเชื่อมั่นนั้นนายฌอง ปิแอร์ เวอร์บีสท์ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนเอดีบี ประจำประเทศไทยแถลงชัดเช่นกันว่า จีดีพีของไทยปีนี้ คาดว่าจะติดลบร้อยละ 3.2 จากเดิมที่เคยคาดการณ์เอาไว้เดือน เม.ย. ว่าจะติดลบแค่ร้อยละ 2.0 นั้น คงเป็นไปได้ยากแล้วเพราะเศรษฐกิจโลกกระทบต่อการส่งออกของไทยและปัญหาการเมืองในเมืองไทยก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าคาดการณ์เดิมแถมยังห่วงเศรษฐกิจไทยปีหน้า 2533ด้วยว่า แม้จะขยายตัวแต่ก็จะเติบโตค่อนข้างช้าที่สำคัญจะต้องไม่มีการสะดุดหยุดชะงักของรัฐบาล เพื่อให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าได้ตามแผน“เศรษฐกิจไทยจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินการเรื่องของไทยเข้มแข็งว่าจะเดินหน้าไปตามแผนหรือไม่หากการลงทุนไม่เป็นไปตามกำหนดเนื่องจากเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งมีความตึงเครียดทางการเมือง หรือเกิดเหตุไม่สงบ ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นทุกด้านและกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะต่ำกว่าคาดการณ์” นายฌอง ปิแอร์ กล่าวนั่นคือ ถ้าเกิดสะดุดอะไรขึ้นมาคาดการณ์ก็เปลี่ยนเป็นแย่ลงอีกได้เช่นกันภาคธุรกิจก็เลยห่วงกันหนักมากขึ้น แม้ว่ากระบวนการของรัฐบาล จะมีการให้มีกองเชียร์ทางด้านธุรกิจออกมาสรรเสริญเยินยอว่ารัฐบาลมาถูกทางแล้ว มาตรการทำได้ดีแล้วแต่บรรดาผู้ประกอบการตัวจริงยังบ่นกันอุบอยู่เลยว่า ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจดีขึ้นตรงไหน มั่นคงขึ้นตรงไหน
ถ้าจะมั่นคงขึ้น ก็น่าจะเป็นความรู้สึกเฉพาะตัวของนายกฯอภิสิทธิ์ นั่นแหละที่เชื่อมั่นว่ามั่นคงขึ้น จะไม่ให้เชื่อมั่นได้อย่างไร ในเมื่อสามารถบินไปประชุมไปปาฐกถาพิเศษที่อเมริกาได้ โดยไม่ต้องห่วงว่า จะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นเพราะคงยากที่จะปฏิวัติแล้วตอนนี้เนื่องจากบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ กับการที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่22 กันยายน ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาทให้กับกองทัพในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆบังเอิญอะไรจะปานนั้น!!!ก็เลยถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องของการตอบแทนที่ทหารทุ่มเทเสริมสร้างความมั่นคงให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐบาลชุดนี้หรือไม่เล่นเอาปฏิเสธกันวุ่นวายไปหมดว่าไม่จริ๊ง...ไม่จริง!แม้แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่ถึงสหรัฐก็ยังได้ยินเสียงคนไทยที่ตั้งข้อสังเกตกันแซ่ดไปหมดในเรื่องนี้ จนต้องรีบชี้แจงข้ามประเทศมาว่า ไม่ได้เป็นการตอบแทน เป็นเรื่องปกติและมีการอนุมัติงบประมาณมานานแล้วแต่ให้บังเอิญมาลงล็อกตอนที่ไม่อยู่พอดีและให้นายสุเทพรักษาการพอดีเรียกว่าให้เชื่อมั่นว่า ไม่ได้เจตนาเลือกที่จะให้ตัวแทนนายกฯ เป็นคนอนุมัติเลยแต่ที่แน่ๆ ก็คือ ตอนนี้ทหารใหญ่หลายคนผูกพันสนิทชิดแนบไม่มีซึ่งปัญหาใดๆ กับรัฐบาล และนายกฯ อภิสิทธิ์เลยแม้แต่น้อยปัญหาของรัฐบาลหากจะมี และเขย่าความเชื่อมั่นอยู่ในขณะนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยทางการเมืองล้วนๆ อย่างเช่น รัฐบาลอุตส่าห์ล็อบบี้เต็มที่ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อให้ผ่านร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.... (พ.ร.บ.กู้เงิน4 แสนล้าน)ถึงขนาด มีกระแสข่าวเรื่องการต่อรองงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกรมทางหลวง เพื่อลงพื้นที่ของ ส.ว.แลกกับการโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ซึ่ง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ แม้จะยืนยันไม่มีการต่อรองงบฯ เพื่อลงพื้นที่ แต่ยอมรับว่ามีการพูดคุยกับ ส.ส.และส.ว.จริง แต่เป็นการ
ร้องขอไม่ให้รัฐบาลจัดงบฯกระจุกตัวในพื้นที่ส่วน นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แก้ต่างว่า การที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินตามกฎหมายระเบียบงบประมาณไม่ใช่รัฐบาลกลัว แต่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา169 ระบุว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะทำได้เฉพาะกรณีไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณ รายจ่ายประจำปี กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยการเงินคงคลัง เว้นแต่กรณีจำเป็นเร่งด่วนดังนั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ รัฐบาลจึงเห็นว่าสามารถทำได้ ส่วนที่ไม่สามารถนำเงินส่งคืนคงคลังได้ เพราะหากทำเช่นนั้นการนำเงินคงคลังออกมาใช้จะมีปัญหา อาจเป็นการใช้งบประมาณแบบขาดดุลได้อีกทั้งกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.หนี้สาธารณะกำหนดให้รัฐบาลใช้เงินนอกงบประมาณไม่เกิน 20% เท่านั้น แต่ขณะนี้รัฐบาลก็ใช้โควตาดังกล่าวเต็มไปแล้ว จึงต้องหาช่องให้ได้ว่างั้นเถอะนี่คือ สถานการณ์จริงทั้งในแง่การกู้เงินและในแง่งบประมาณดีที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุลส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย รู้ทัน จึงได้เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานรัฐสภาขอส่งคำร้องให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 167 วรรค 1 หรือไม่?!?เล่นเอางานเข้า เพราะเมื่อประธานรัฐสภาส่งคำร้องของ ส.ส. ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยไปแล้ว ก็เลยต้องระงับการดำเนินการนำร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่จะขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามกฎหมายออกมานั่นแปลว่าหากร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไม่ทันงบประมาณใหม่ ก็คงต้องเลี่ยงบาลีไปใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในงบประมาณปีที่แล้วไปก่อนบรรดาภาคธุรกิจเลยหมดความเชื่อมั่นไปหลายกิโลขีด ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเป็นอย่างไรกันแน่ถ้ารัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ยื้อได้ถึงปีหน้าก็คงรู้เองแหละว่า ผลงานกระตุ้นเศรษฐกิจจะซาบซ่าสักปานใด ■