ภาพสุดท้ายที่คนทั่วโลกเขาจำได้คือ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ จะได้ขึ้นกล่าวบนแท่นหินอ่อนสีดำที่เจนตา ก็เกิดข่าวเรื่องรัฐประหาร ทำให้คุณทักษิณ ต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นกล่าวตามคำเชิญของประธานที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติหรือไม่ ซึ่งในที่สุดก็ไม่กล่าว และออกเดินทางจากนครนิวยอร์กไปยังกรุงลอนดอน
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ สายตาโลก หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ฉบับล่าสุด (วางแผง25ก.ย.)
23 กันยายน 2552
เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นพูดในที่ประชุมเดียวกันนี้ ขอให้รู้เถิดครับว่า สายตาโลกเขามองมาด้วยความดูถูกดูแคลนและความสมเพชเวทนา เพราะความทรงจำของเขาเมื่อสามปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่ และเขาเข้าใจดีว่าระบอบประชาธิปไตยไทยที่จอมปลอมและเป็นมายาใหญ่คือเหตุผลเดียวที่คนอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ มาพูดต่อหน้าเขาได้ในนามประเทศไทย
ผมไม่ค่อยสนใจว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะทำอะไรหรือพูดอะไร เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นเพียงนักแสดงตามบท ตีบทแตกบ้างและไม่แตกบ้างไปตามฉาก ไม่มีอิทธิพลใดๆ ในการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างคนเป็นนายกรัฐมนตรีควรมี
ในฐานะร่างทรงของระบอบอำมาตยาธิปไตย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีอำนาจชี้นำน้อยกว่า นายควง อภัยวงศ์ หลังรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐
น้อยกว่า พลเอกถนอม กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) หลังรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๐๐
น้อยกว่า นายสัญญา ธรรมศักดิ์ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
น้อยกว่า นายธานินทร์ กรัยวิเชียร หลังรัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๖
และยังน้อยกว่า นายชวน หลีกภัย หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.๒๕๓๕
เพราะคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความสามารถในการขับเคลื่อนทางการเมือง ได้รับเลือกตั้งมาตลอดด้วยภาพลักษณ์และบุคลิกภาพ ไม่มีใครรู้แนวคิดหรือนโยบายในใจ จนเสมือนเป็นคนไร้ความคิด บำเพ็ญตนเป็นลูกหาบทางการเมืองของคุณชวนฯ จนถอนตัวออกมาเป็นลูกจ้าง คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเคร่งครัด ขณะนี้ก็กำลังถอนจากคุณสุเทพฯ แล้วเข้าทำงานเต็มตัวกับบริษัทแม่ของระบอบอำมาตย์
อาวุธของคุณอภิสิทธิ์ฯ คือการทำตัวเองให้เป็นคนที่ไร้อาวุธ เพื่อให้ผู้ถืออาวุธเขาไว้วางใจและเรียกใช้งาน
ซึ่งก็ได้ผล หากคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีเล่นโก้ๆ โดยไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงให้กับประเทศที่มีผู้คนกว่าหกสิบล้านเขาหวังการนำอยู่
สำหรับคนที่คิดอะไรแบบรับผิดชอบต่อบ้านเมือง การดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจทางการเมืองและการบริหารชาติ แต่ไม่ทำอะไรให้สมกับอำนาจนั้น ต้องถือเป็นการทรยศต่อประชาชนผู้เลือกตั้ง เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐอันแท้จริง มอบฉันทะให้นายกรัฐมนตรีคนนั้นๆ ทำงานแทนอยู่
ฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคตอันไม่ไกลนัก ต้องไล่เบี้ยคนประเภทนี้ต่อไป แต่เมื่อคุณอภิสิทธิ์ฯ ได้รับมอบหมายให้ไป “แสดง” ในวิกละครระหว่างประเทศถึงองค์การสหประชาชาติหรือ UN จะให้รอเก็บความเสียหายในอนาคตคงจะไม่เข้าที ควรพูดกันสักคำสองคำเดี๋ยวนี้ก่อนลืมไม่ได้ว่า คุณอภิสิทธิ์ฯ คือนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่จะไปพูดในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ หรือ United Nations General Assembly (UNGA) หลังจากการงดปราศรัยอย่างกะทันหันเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ โดยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเกิดรัฐประหารในเมืองไทยเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน
ภาพสุดท้ายที่คนทั่วโลกเขาจำได้คือ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่นายกรัฐมนตรีทักษิณฯ จะได้ขึ้นกล่าวบนแท่นหินอ่อนสีดำที่เจนตา ก็เกิดข่าวเรื่องรัฐประหาร ทำให้คุณทักษิณฯ ต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นกล่าวตามคำเชิญของประธานที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติหรือไม่ ซึ่งในที่สุดก็ไม่กล่าว และออกเดินทางจากนครนิวยอร์กไปยังกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ทำไมไม่ถือโอกาสกล่าวคำปราศรัยประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นและปักหลักมันอยู่ที่นิวยอร์กเลยนั้น เป็นคำถามสำหรับอนาคตสำหรับคนที่ปรารถนาจะย้อนกลับมาชำระประวัติศาสตร์ ตัวผมขอจองไว้คนหนึ่งล่ะ ถึงวันนั้นจะกลับมาชำระกับเขาด้วย
ในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ชัดว่า นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติในครั้งนั้น ท่านยืนยันว่านายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังสามารถขึ้นพูดในที่ประชุมโลกได้แม้จะเกิดรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จในเมืองไทยแล้วก็ตาม
แปลไทยเป็นไทยว่า องค์การสหประชาชาติเขาไม่ยอมรับคณะรัฐประหารและมรดกปิศาจใดๆ ที่เกิดจากการรัฐประหารในครั้งนั้น และเห็นว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งอย่าง ดร.ทักษิณฯ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยอยู่
ใครจะว่าอย่างไรก็เถิด ผมขอยกย่องเทิดทูนบทบาทขององค์การสหประชาชาติและตัวนายโคฟี่ อันนันเอาไว้ในที่นี้
การตัดสินใจโยนผ้ายอมแพ้ของเรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ UN เลย
เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นพูดในที่ประชุมเดียวกันนี้ ขอให้รู้เถิดครับว่า สายตาโลกเขามองมาด้วยความดูถูกดูแคลนและความสมเพชเวทนา เพราะความทรงจำของเขาเมื่อสามปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่ และเขาเข้าใจดีว่าระบอบประชาธิปไตยไทยที่จอมปลอมและเป็นมายาใหญ่คือเหตุผลเดียวที่คนอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ มาพูดต่อหน้าเขาได้ในนามประเทศไทย
โลกเขายกย่องเฉพาะผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้นครับ ผู้นำเผด็จการ หรือลูกสมุนของจอมเผด็จการนั้น เขาต้องฟังไปตามหน้าที่โดยไม่มีความศรัทธาใดๆ
จำได้ไหมครับ กระทรวงการต่างประเทศยุคที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีและไปพูดที่ UN เหมือนกันนั้น ต้องแอบเอาภาพข่าวมาตัดต่อให้ดูเหมือนว่ามีผู้แทนประเทศต่างๆ อยู่ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่มากมาย
เพราะในวันนั้นเขาลุกออกจากที่นั่งกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของห้อง
คุณเปรมฯ พูดอย่างภูมิใจในเมืองไทยว่า เป็นผู้นำระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ และทำท่าว่าโลกเขาเข้าใจและยอมรับว่าเมืองไทยต้องค่อยๆ กระดืบสู่ระบอบที่ประชาชนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ความจริงเขาไม่ยอมรับ เขารังเกียจ และระบอบวิตถารใดๆ ที่มีความเป็นประชาธิปไตยไม่เต็มที่ เขาสงเคราะห์ว่าเป็นเผด็จการทั้งนั้นล่ะครับ
คราวนี้คนรุ่นหลานของขี้ข้าเผด็จการจะไปทำหน้าที่เดียวกันบ้าง สงสัยกระทรวงการต่างประเทศต้องออกแรงสร้างภาพอีกแล้วล่ะกระมัง เพราะจากคนอายุ ๘๐ กว่าจนถึงคนอายุ ๔๐ กว่า เมืองไทยในระบอบอำมาตยาธิปไตยยังไม่เปลี่ยนแปลงสันดานและไม่ได้ดีขึ้นเลยในสายตาโลก
คุณอภิสิทธิ์ฯ คงจะพูดภาษาอังกฤษได้เพราะพริ้ง ดูเผินๆ ก็น่าภูมิใจ แต่ทุกคำพูดที่เปล่งออกไปจะยืนยันอย่างเดียวว่าราชอาณาจักรไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย และเอาเด็กฝึกงานมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะหวังว่าเขาจะสร้างภาพชดเชยความเน่าหนอนของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทยที่ตนเป็นเจ้าของได้
ไปก็ดีครับ ความอัปยศของระบอบปัจจุบันของไทยมันจะได้แพร่หลายไปทั่วโลก คนไทยที่รักเมืองไทยก็อย่าห่วงครับ รัฐบาลที่เลวไม่ได้แปลว่าประเทศต้องเลว คิดเสียว่าเขาไปช่วยประจานความชั่วร้ายของตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งเมื่อระบอบแบบนี้สิ้นสุดยุติลง ประเทศไทยจะได้สูงขึ้นโลกเขาไม่สนใจหรอกครับว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ จะไปพูดอะไร
เพราะเขารู้ว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ คืออะไร.
-----------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)