บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เบื้องหลังการปล่อยตัวแกนนำ นปช.

ที่มา Voice TV



ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 1 ในแกนนำ นปช.จะมาพูดคุยใน ทิศทางของคนเสื้อแดง และ ทิศทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กับวอยซ์ทีวี ในรายการ HOT TOPIC วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 (18.30 น.)

การกลับคืนสู่ อิสรภาพ อีกครั้งหนึ่ง ของนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำคนสำคัญของ นปช. หลังจากที่อยู่คุกมานานถึง 9 เดือนเต็ม เขากลับมาครั้งนี้พร้อมกับ ภารกิจสำคัญคือ การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับ 91 ศพ และ 2 พันกว่าคน ที่บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ การสลายการชุมนุม เมื่อเดือน เมษายน และ พฤษภาคม ปี 53 ที่ผ่านมา
การกลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องที่จะขับไล่รัฐบาล หรือ ให้ยุบสภา แต่เพื่อ ขับเคลื่อนพลังของคนเสื้อแดงไปสู่การเลือกตั้ง โดยตั้งเป้าหมายที่จะ หยุด....ฝันร้าย..ประชาชน และร่วมกัน ทำลาย...ฝันดี...ของเผด็จการ

DSI เตือน แกนนำ นปช. ปราศรัยอาจผิดเงื่อนไข

ที่มา Voice TV










ธาริต กังวลการเคลื่อนไหวทางการเมืองของแกนนำ นปช.ต่อสื่อหลังปล่อยตัวชั่วคราว ชี้การร่วมปราศรัย-ชุมนุมกับ นปช. อาจผิดเงื่อนไข

- ดีเอสไอ เตือนแกนนำนปช.หากร่วมปราศรัยอาจผิดเงื่อนไข

- พณ.ระบุน้ำมันปาล์มฝาสีชมพูจะออกสู่ตลาดทั่วกรุงเทพฯวันนี้
- สุเทพยืนยันรัฐบาลไม่ยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
- ญี่ปุ่นเตรียมจับมือจีน ขยายความสัมพันธ์
- โอมานประท้วงเสียชีวิต 2 ราย

ร่วมแสดงความคิดเห็นกับรายการ Voice Focus

ที่มา Voice TV

ร่วมแสดงความคิดเห็นกับรายการ Voice Focus

ร่วมแสดงความคิดเป็นกับรายการ Voice Focus ผ่านทาง

http://www.facebook.com/event.php?eid=205375396145581

ในประเด็น :

คุณอยากฟังฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประเด็นอะไรมากที่สุด ? เพราะอะไร ?

ความเห็นของท่านจะถูกนำมาออกอากาศในรายการ Voice Focus เวลา 21.30 -22.00 น.

เส้นแบ่งอำนาจศาลปกครองป.ป.ช.

ที่มา มติชน



คอลัมน์ ณ ริมคลองประปา ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com

ในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์) มีการพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้สำนักงานศาลปกครองชี้แจงกรณีที่มีการกล่าวหานายอักขราทร จุฬารัตน ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดเนื่องจากใช้อำนาจสั่งเปลี่ยนองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่พิจารณาคดีคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวที่มิให้นำมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ซึ่งสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปดำเนินการใดๆ

ประเด็นที่เสนอให้ ก.ศป.พิจารณาคือ ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวนนายอักขราทรตามข้อกล่าวหารือไม่ และสำนักงานศาลปกครองต้องชี้แจงและส่งเอกสารให้แก่ ป.ป.ช.หรือไม่

ปรากฏว่า เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางโดยตุลาการศาลปกครองสูงสุดฝ่ายหนึ่งเห็นว่า กรณีของนายอักขราทรเป็นการใช้อำนาจตุลาการ ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจไต่สวน สำนักงานศาลปกครองจึงไม่ต้องชี้แจงกรณีดังกล่าว

ขณะที่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ป.ป.ช.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 25(1) ในการเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใดๆ เพื่อประโยชน์ในการไต่สวนข้อเท็จจริง ถ้าฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ ถ้า ก.ศป.มีมติไม่ให้เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองส่งเอกสารหรือชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เท่ากับเป็นการสนับสนุนให้เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก.ศป.จึงไม่มีมติใดๆ ซึ่งหมายความว่า สำนักงานศาลปกครองจะส่งเอกสารหรือชี้แจงต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองเอง

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ในช่วงแรกที่ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องการกล่าวหานายอักขราทรไว้พิจารณานั้น ทาง ก.ศป.มีมติมอบหมายให้ตุลาการศาลปกครองรายหนึ่งไปเจรจาทำความเข้าใจกับ ป.ป.ช.ว่า กรณีดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจตุลาการ ไม่น่าจะอยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช.

อย่างไรก็ตาม ก่อนพิจารณาว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวนเรื่องนี้หรือไม่ น่าจะมาดูว่า ข้อกล่าวหานายอักขราทรเป็นอย่างไร

มีผู้ร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.มีเนื้อหาโดยสรุปว่า หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้นำมติ ครม.ที่สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ครม.และกระทรวงการต่างประเทศได้อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครองสูงสุด นายอักขราทรได้สั่งให้จ่ายสำนวนคดีให้แก่องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่มีนายจรัญ หัตถกรรม เป็นหัวหน้าคณะ มีนายชาญชัย แสวงศักดิ์ เป็นเจ้าของสำนวน ตุลาการอีก 3 คนประกอบด้วย นายเกษม คมสัตย์ธรรม นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา และนายธงชัย ลำดับวงศ์

ปรากฏว่า องค์คณะมีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้กลับคำสั่งของศาลปกครองกลาง ขณะที่ยังไม่ลงนามในคำสั่งครบทั้งองค์คณะ

นายอักขราทร มีคำสั่งเปลี่ยนมาใช้องค์คณะฯที่ 1 ซึ่งมีนายอักขราทร เป็นหัวหน้าคณะเป็นผู้พิจารณาแทน และมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2551 ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง

หลังจากพิจารณาคำร้องเรียนแล้ว แม้คำร้องมิได้ระบุชื่อผู้ร้อง แต่คำร้องมีรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการในศาลปกครอง และชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนองค์คณะตุลาการเป็นการใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงความเป็นอิสระของตุลาการ ไม่ใช่เพราะเหตุอันมิอาจก้าวล่วงได้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองฯ จึงน่าเข้าข่ายการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. (มาตรา 84 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ) จึงมีมติรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2553

นอกจากนั้น ในมาตรา 92 ยังระบุว่า ถ้า ป.ป.ช.มีมติการกระทำของผู้ถูกกล่าวมีมูลความผิด ให้ประธาน ป.ป.ช.ส่งรายงานและอกสารการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองฯโดยเร็วฯ (มาตรา 92 วรรคสอง)

จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นชัดว่า ป.ป.ช.มีอำนาจการไต่สวนข้าราชการตุลาการศาลปกครองเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ (มาตรา 270) ที่ให้อำนาจ ป.ป.ช.ในการไต่สวนเพื่อถอดถอนข้าราชการตุลาการศาลปกครองและผู้พิพากษากรณีที่มีการร้องเรียนผ่านประธานวุฒิสภาว่า บุคคลดังกล่าวส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

ดังนั้น ทางออกที่ถูกต้องจึงไม่ใช่การดิ้นรนเพื่อหลีกหนีการไต่สวน แต่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่า มิได้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบสั่งเปลี่ยนองค์คณะฯซึ่งเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

( หมายเหตุ อ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.หัสวุฒิ วิฑิตวิริยะกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด เรื่องอำนาจป.ป.ช. และศาลปกครอง และข้อเท็จจริงที่ไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน ในมติชนออนไลน์ เร็ว ๆ นี้ ที่นี่ )

"สุธาชัย-จอม-คำ ผกา" วิเคราะห์เบื้องหลัง "6 ตุลา 2519" ผ่านแง่มุมปวศ.-สื่อ-สลิ่มการเมือง

ที่มา มติชน


คำ ผกา


สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ


จอม เพชรประดับ

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดเสวนา "เบื้องหลัง 6 ตุลา เบื้องหน้าประชาธิปไตยไทย" มีนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คำ ผกา นักคิดนักเขียนชื่อดัง และ นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชน เข้าร่วมอภิปราย

นายสุธาชัยกล่าวว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ ในฐานะเหตุการณ์ที่ยังไม่กระจ่างชัดเจน หรือยังทำให้ชัดเจนไม่ได้ ใครก่อหรืออยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ เพราะไม่กล้าค้นข้อมูลหรือไม่กล้านำเสนอข้อมูล


อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระบุว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา ถือเป็นความพ่ายแพ้ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม กล่าวคือแม้ฝ่ายประชาชนอาจพ่ายแพ้ในวันนั้น แต่มาวันนี้ตนขอยืนยันว่านักศึกษาไม่ได้แพ้ เพราะเมื่อย้อนกลับไปวันนั้น ฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมรู้สึกดีใจ พอใจในรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 6 ตุลา แต่ทันทีที่รัฐบาลชุดดังกล่าวขึ้นบริหารประเทศ ภาพก็ติดลบทันที เนื่องจากนานาชาติไม่เอาด้วย จนต้องส่งรัฐมนตรีมหาดไทยในสมัยนั้นคือนายสมัคร สุนทรเวช ไปพูดคุยกับรัฐบาลต่างประเทศ


ขณะเดียวกัน ระหว่างที่รัฐบาลธานินทร์อยู่ในอำนาจก็มีแต่คนเกลียดรัฐบาล จึงเกิดรัฐประหารโค่นรัฐบาลธานินทร์ และได้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งมี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี นำมาสู่การออกนโยบายผ่อนปรน นิรโทษกรรมนักโทษ ฝ่ายที่ตกเป็นเหยื่อ ในเหตุการณ์ 6 ตุลา


การเกี่ยวข้องกับ 6 ตุลา จึงไม่ได้เป็นเกียรติประวัติ วีรกรรม แต่เป็นความพ่ายแพ้จริงๆ ของฝ่ายขวาที่ต้องซ่อนพฤติกรรมของตัวเองเมื่อครั้งนั้นของพวกตนเอาไว้ว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว และพยายามทำให้ประวัติศาสตร์ 6 ตุลาหายไป แต่ก็หายไม่สนิทเพราะมีคนมาจัดงานรำลึกถึงทุกปี เป็นการสร้างอนุสรณ์ ในลักษณะ "หนามยอกอก"


นายสุธาชัยเสนอว่า 6 ตุลา ในทางประวัติศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่อิหลักอิเหลื่อ ขัดแย้งกับโครงเรื่องทางประวัติศาสตร์ไทยที่เป็นเรื่องวีรกรรมการสร้างชาติของชนชั้นนำ ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนนั้นประชาชนไม่ต้องทำอะไร คอยตามแล้วจะดี แต่ปัญหาของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คือ ไม่สามารถเข้ากับโครงเรื่องทางประวัติศาสตร์แบบดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนบอกเราว่าประวัติศาสตร์มักตกแต่งอดีตให้งดงาม และกลบเกลื่อนความเป็นจริงเอาไว้ ปัญหาสำคัญตอนนี้ก็คือประชาชนไม่เชื่อในโครงเรื่องประวัติศาสตร์แบบนี้อีกต่อไป และประวัติศาสตร์ที่เคยถูกเขียนขึ้นนั้นก็ใกล้จบลงแล้ว


นายจอมกล่าวว่า สื่อในปัจจุบันมีจุดกำเนิดที่เติบโตมาจากฐานความคิดแบบชนชั้นนำ ผู้ปฎิบัติงานสื่อจึงไม่สามารถลุกขึ้นมาหักล้างหรือคัดค้านกับฐานความคิดดังกล่าวได้ การที่จะมีคนลุกขึ้นมาสุดท้ายก็แพ้ ทุกคนก็ไม่อยากเจ็บตัว ไม่อยากอยู่ในสถานะสิ้นไร้ไม้ตอก โอกาสที่สะท้อนความเป็นจริงก็เป็นแค่ข่าวเชิงสร้างภาพลักษณ์ แต่เชิงความจริงใจในเรื่องการให้ประชาชนสะท้อนความเดือดร้อนได้นั้นทำไม่ได้ในสื่อหลัก เพราะไม่สามารถโต้เถียงกับกลุ่มทุน หรือฝ่ายทางการเมือง


"ความจริง" ที่ปรากฎในสื่อจึงเป็นการพยายามครอบงำประชาชนให้อยู่ร่วมกับชนชั้นนำโดยไม่กระทบกันมากกว่า แต่ปัจจุบันมีสื่อทางเลือกที่มีสิทธิมีเสียง สามารถให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นนำได้มากขึ้น ซึ่งน่าเป็นช่องทางที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ในอนาคตและสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ไปพักใหญ่จนกว่าจะเกิดการกดดันให้ประเทศมีความเปลี่ยนแปลง เราจึงไม่สามารถคาดหวังอะไรได้มากในสื่อกระแสหลัก ส่วนสื่อพวกกระแสรองก็ยังเป็นเพียงทางเลือก ทั้งนี้ ตนมองว่าสื่อในไทยยังอยู่ในความกลัว และไม่กล้าที่จะพังกำแพงความกลัวออกไป


ด้านคำ ผกา เสนอว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นกำเนิดของ "สลิ่ม" 2 จำพวกในสังคมไทย สลิ่มไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงการสลายชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว แต่เกิดขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยสามารถจัดแบ่ง "สลิ่ม" ออกได้เป็น 2 แบบ ได้แก่


"สลิ่ม" พวกแรก เรียกว่าพวกไร้อุดมการณ์ ที่มาของพวกนี้คือ ชนชั้นกลางที่ถูกดึงให้เป็นพันธมิตรกับอุดมการณ์ขวาจัด ถูกสอนให้เบื่อหน่ายการประท้วงของนักศึกษา กลัวความเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน กลัวคอมมิวนิสต์ จากนั้นขบวนการขวาจัดก็ได้ปลุกอุดมการณ์ชาตินิยมนั่นคือ สร้างโครงเรื่องประวัติศาสตร์ของไทยว่าดินแดนไทยเป็นสิ่งที่ถูกปกป้องมายาวนาน


คีย์เวิร์ดที่กลุ่มนี้ใช้ คือ สิ่งชั่วร้าย, คอมมิวนิสต์, อนาธิปัตย์, ทรยศต่อชาติ และเครื่องมือทางอุดมการณ์ คือ "ทุกอย่าง" ตั้งแต่ระบบการศึกษา แบบเรียน เพลงปลุกใจ และสารคดี สื่อ โทรทัศน์


ส่วน "สลิ่ม" กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์ แต่ดูมีความน่ากลัวกว่ากลุ่มแรก เพราะมีกลวิธีการเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัดที่แนบเนียนกว่า กำเนิดของสลิ่มกลุ่มที่สองเป็นสลิ่มที่อยู่ตรงกลาง คือสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์กลุ่มนี้เคยถูกมองว่าเป็นฝ่ายซ้าย เคยอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายขวา เช่น กลุ่มผู้นำนักศึกษา คนเคยเข้าป่า นักหนังสือพิมพ์ที่เป็นน้ำดี ศิลปินเพื่อชีวิต


จุดเชื่อมต่อของคนเหล่านี้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นซ้ายเข้ากับฝ่ายขวา ก็คือ ในขณะที่ฝ่ายขวาชูอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม อีกฝ่ายหนึ่งที่เคยถูกเข้าใจว่าเป็นซ้ายก็ชูอุดมการณ์ชนบทนิยม ชุมชนนิยม ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนี้คือ ทั้งสองกลุ่มต่างแชร์อุดมการณ์การต่อต้านเสรีนิยมใหม่ เพราะว่า อุดมการณ์ของทั้งสองฝ่ายนี้ยึดถือแท้จริงแล้วเป็นอุดมการณ์จารีตนิยมเหมือนกัน


"สลิ่ม" เหล่านี้มักอวตารอยู่ในร่างเอ็นจีโอ ที่ทำงานในเครือข่ายทรัพยากร นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม คนที่ทำงานเพื่อคนยากจน นักวิชาการที่โหยหาวิถีชนบท สิ่งที่คนเหล่านี้แสวงหาคือ "ประชาธิปไตยแบบไทย" ซึ่งไม่เหมือนกับที่โลกเขาเป็นกัน


นักเขียนดังสรุปความเห็นว่า การต่อสู้ทางการเมืองไทยตอนนี้ คือการต่อสู้ระหว่างชาตินิยมสองแบบ คือ "ชาตินิยมที่เน้นราชาธิปไตย" กับ "ชาตินิยมที่เน้นประชาชน" ซึ่งคือกระบวนการของคนเสื้อแดง อุปสรรคของชาตินิยมประชาชนที่เพิ่งเกิดขึ้นมาคือ ฝ่ายอำมาตย์ และฝ่ายขวาจัดหัวรุนแรง แต่ศัตรูที่น่ากลัวกว่าคนสองกลุ่มดังกล่าวก็คือ "พันธุ์อวตารของขวาจัดที่ทำงานในร่างซ้ายเก่า" ที่ทำงานในกลุ่มประชาสังคม เอ็นจีโอ ซึ่งต่อต้านนักการเมืองชั่วและทุนสามานย์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น สื่อที่น่ากลัวไม่ใช่สื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเอง แต่เป็นสื่อในนามความหวังของประชาชน สื่อของชนชั้นล่าง เพราะสื่อเหล่านี้ได้กระทำและผลิตไปบนความปราถนาดีต่อชาวบ้าน ผู้ด้อยโอกาส คนชายขอบ คนเหล่านี้อยากรื้อฟื้นจิตวิญญาณของสังคมไทยที่ถูกลืมเลือนไป ในสายตาของสื่อเหล่านี้ชาวบ้านคือลูกแกะหลงทาง ที่ต้องต้อนกลับมา กลุ่มทุนเหล่านี้มักมองไม่เห็นหรือทำเป็นมองไม่เห็นว่าทุนนิยมจารีตนั้นแทบเป็นเนื้อเดียวกับทุนโลกาภิวัฒน์ที่สูบกินทรัพยากรของชาติมากกว่าทุนนักการเมืองหรือทุนต่างชาติไร้เส้นสายรวมกัน


ดังนั้น สำหรับฝ่ายขวาจัดที่อวตารมาในร่างผู้คนปกป้องชาวบ้านและคนจน มีข่ายแหความเกื้อกูล แฃะพิทักษ์โลกสีเขียว จึงน่ากลัวกว่าฝ่ายขวาจัดมากมาย


คลิก อ่านคำอภิปรายโดยละเอียดของผู้อภิปรายทั้งสามคน ได้ตามลิงก์ต่อไปนี้


สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ 6 ตุลา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ครั้งใหญ่ที่สุด


จอม เพชรประดับ สื่อเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำ


คำ ผกา จัดประเภท "สลิ่ม" การเมือง

ตร.รื้อเต้นท์"พันธมิตรฯ"ขอพื้นที่ทางคู่ขนานด้านก.ศึกษาฯ

ที่มา มติชน



เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กองร้องประมาณ 500 นาย ตรึงพื้นที่บริเวณสะสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อขอพื้นที่ทางคู่ขนานด้านกระทรวงศึกษาคืนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยได้รื้อถอนเต้นท์ออกจากถนนแล้ว ลดความแออัดของจราจรในช่วงเช้า

"จาตุรนต์"ขยี้แผล"มาร์ค2สัญชาติ"

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ




วันที่ 27 ก.พ. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรณี นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหลายฝ่ายติติงเรื่องการถือ 2 สัญชาติว่าไม่เหมาะสม พร้อมเรียกร้องให้ถือสัญชาติเดียวเพื่อแสดงถึงความรักชาติแม้นายกฯ ยอมรับ แต่ยืนกรานไม่สละสัญชาติอังกฤษ

ทันทีทันใด นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกโรงตอกย้ำปมร้อน 2 สัญชาติ ในเมื่อนายกฯ รู้อยู่แก่ใจแต่แรก จึงไม่สมควรเป็นนายกฯ ตั้งแต่ต้น



อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายกรัฐมนตรี


เรื่องความรักชาติดูกันที่พฤติกรรมดีกว่า ไม่ต้องดูเรื่องอื่น ข้อกฎหมายก็ไม่ชัด มีประชาชนจำนวนมากยืนยันกับผมว่าการแสดงเจตนาชัดเจนว่าถือสัญชาติไทย เป็นการสละสัญชาติทางโน้นไปโดยปริยาย

แต่ถ้าต้องการไปอยู่ภายใต้กฎหมายอังกฤษก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่คิดว่าตัวเองต้องไปอยู่ใต้กฎหมายอังกฤษ

-แสดงว่าสละสัญชาติอังกฤษแล้ว

ไม่ครับ ผมบอกว่าดำเนินการตามกฎหมายไทย ถ้าจะต้องไปดำเนินการตามกฎหมายอังกฤษด้วย ก็มีปัญหามากมายเลยว่าสรุปแล้วผมมีหน้าที่ต้องทำตามกฎหมายอังกฤษทั้งหมดหรือเปล่า

-กฎหมายไทยเปิดช่องให้ถือได้ 2 สัญชาติหรือ

อันนี้แหละที่คนมองไม่ค่อยตรงกัน ผมก็ถามความเห็นนักกฎหมาย ถึงบอกว่าไม่มีเจตนาถือสัญชาติอังกฤษ ผมเกิดที่นั่น แต่จากการที่ผมไม่ใช้สิทธิ์ในฐานะพลเมืองอังกฤษ โดยเฉพาะการศึกษา การเดินทางเข้าประเทศ ก็ชัดในตัวของมันอยู่แล้วว่าเจตนาคืออะไร

- กลุ่มนปช.ให้นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ยื่นฟ้องต่อศาลอังกฤษด้วย

เป็นเรื่องของศาลอังกฤษต้องพิจารณาไป

-มีเจตนาไม่ใช้สัญชาติอังกฤษ ทำไมไม่สละ

ผมก็เพิ่งทราบ เพราะไม่เคยอ่านกฎหมายอังกฤษเลย และถ้าสละตอนนี้ เขาจะว่าผมหนีศาลโลก ไม่แน่ใจว่าผมต้องทำหรือไม่ เพราะกฎหมายไทยก็ไม่ชัด ผมถือตามกฎหมายไทย

เวลานี้นักกฎหมายแต่ละคนตอบผมไม่ตรงกัน ฉะนั้นไม่ใช่เจตนาที่จะเก็บหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นผมต้องมานั่งคอยดูกฎหมายอังกฤษหรือไม่ ว่าผมจะต้องยื่นแบบเสียภาษีหรือไม่ เกณฑ์ทหารอังกฤษหรือไม่

ผมอยู่เมืองไทยก็ต้องทำตัวเป็นคนไทย ถือสัญชาติไทย ดูกฎหมายไทย

-ทางการอังกฤษสอบถามเรื่องนี้หรือไม่

ไม่มี

-กฎหมายไม่ระบุชัด แต่เพื่อความสบายใจจะสละหรือไม่

แล้วถ้าผมไม่มีสิทธิ์สละล่ะ ผมจะไปรู้ได้อย่างไร กฎหมายไทยเขียนไว้ว่าเวลากฎ หมายสัญชาติขัดกัน ให้ใช้กฎหมายสยาม

-แสดงว่าจะถือ 2 สัญชาติตลอดไป

ไม่ทราบว่าผม 2 สัญชาติหรือเปล่า เป็นเรื่องของนักกฎหมาย ผมเองก็พยายามตรวจสอบ นักกฎหมายให้ความเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากเป็นกฎหมายของแต่ละประเทศ

และปกติก็ชัดเจนว่าใครทำตัวเป็นคนสัญชาติอะไร แต่ว่าผมไปเปลี่ยนที่เกิดของผมไม่ได้เท่านั้นเอง

-จะเคลียร์เรื่องนี้ให้ชัดเจนได้อย่างไร หากอนาคตกลับมาเป็นนายกฯ อีก

ผมไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายไทย คุณสมบัติก็ครบถ้วน ขอท้าแม้แต่คนที่มาตรวจสอบผม หรือคนที่จ้างคนมาตรวจสอบผมว่า รักชาติจริงหรือเปล่า

ส่วนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอังกฤษด้วยหรือไม่ ผมก็อยากได้คำตอบที่มันตรงกันหมด ซึ่งยังไม่ได้

- ถูกโจมตีประเด็นนี้เพราะอะไร

ไม่มีอะไร เป็นความพยายามที่จะมีช่องทางในการเอาเรื่องนี้ไปสู่ศาลโลกเท่านั้น





จาตุรนต์ ฉายแสง

อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย


เรื่องนี้เริ่มจากมีคนนำเรื่องการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ไปฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ หลายคนเชื่อว่าศาลคงไม่รับฟ้องเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ลงสัตยาบันรับรองอำนาจของศาล

แต่ต่อมามีการอธิบายว่าสามารถฟ้องนายอภิสิทธิ์ได้ เนื่องจากถือสัญชาติอังกฤษด้วย เมื่อถามนายอภิสิทธิ์ก็ตอบบ่ายเบี่ยงว่าเลือกที่เกิดไม่ได้ ระหว่างอยู่ในประเทศอังกฤษไม่เคยใช้สิทธิพลเมืองอังกฤษ

เช่น เวลาเรียนหนังสือจ่ายค่าเล่าเรียนอย่างชาวต่างประเทศ แต่ไม่บอกว่ายังมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษ ถือว่ายังมีสัญชาติอังกฤษ คือมี 2 สัญชาติ

นายอภิสิทธิ์ระบุว่าหากจะให้สละสัญชาติอังกฤษก็สละได้ แต่ถ้าสละตอนนี้อาจถูกกล่าวหาว่ากลัวไปขึ้นศาลโลก

ผมไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนายอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ และไม่ได้สนใจว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่

แต่สนใจประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับแล้วว่าถือ 2 สัญชาติ และมีเงื่อนไขต่างๆ หากจะสละสัญชาติ ถามว่านายอภิสิทธิ์ยังควรเป็นนายกฯ ของประเทศไทยอยู่หรือไม่ และควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้นหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกฯ จะอ้างว่าคนอื่นถือสัญชาติ 2 สัญชาติได้ ทำไมต้องเรียกร้องให้เขาสละสัญชาติอยู่คนเดียวไม่ได้

ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเป็นนายกฯ ของไทย ต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่วไป ไม่ใช่มีอภิสิทธิ์หรือมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปการถือสองสัญชาติไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่ผู้นำประเทศ

ที่ผ่านมาไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะเคยใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่วันข้างหน้าอาจต้องใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษก็ได้ เช่น หากอนาคตจะมีการดำเนินคดีข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของตนทุจริตประพฤติมิชอบ หรือสั่งการสังหารประชาชนจำนวนมาก เป็นต้น

แล้วนายอภิสิทธิ์เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่มีสัญชาติอังกฤษ ก็ทำได้และได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมืองอังกฤษทันที

ถึงตอนนั้นกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับนายอภิสิทธิ์ซึ่งถือสัญชาติอังกฤษอยู่ และรัฐบาลไทยหรือประชาชนไทยจะไปร้องต่อศาลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวคุณอภิสิทธิ์มาขึ้นศาลไทย จะทำได้หรือไม่

แต่ที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงคือนายอภิสิทธิ์อาจจะไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีใครไปร้องให้ดำเนินคดีก็เป็นได้

ประเด็นสำคัญก็คือเชื่อได้แน่ว่าตลอดเวลาที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะยังเป็นนายกฯ อยู่หรือไม่ก็ตาม นายอภิสิทธิ์มีภูมิคุ้มกันต่อกฎหมายไทยมากกว่าคนอื่นๆ

แต่อาจมีบางท่านแย้งว่าถึงแม้จะเป็นเหตุเป็นผล แต่คงไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ง่ายๆ หรอก ต้องบอกว่ากรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน

เมื่อไม่นานมานี้มีกรณีของประเทศเปรูเป็นตัวอย่าง ประธานาธิบดีอัลเบอร์โต ฟูจิมูริ ก็เป็นคนสองสัญชาติ คือสัญชาติเปรูและสัญชาติญี่ปุ่น นายฟูจิมูริถูกรัฐบาลเปรูในเวลาต่อมาดำเนินคดีทั้งเรื่องทุจริตและใช้อำนาจโดย มิชอบ เป็นข้อหาร้ายแรง

ช่วงหนึ่งนายฟูจิมูริหนีไปอยู่ญี่ปุ่น ได้รับการคุ้มครองในฐานะเป็นคนญี่ปุ่นจนรัฐบาลเปรูทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งนายฟูจิมูริไปวางแผนยึดอำนาจคืนที่ประเทศชิลี จึงถูกจับและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในเปรู

นายฟูจิมูริกับรัฐบาลเปรู ใครผิดใครถูกอย่างไร ผมไม่ขอวิจารณ์ แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างว่าการที่นายกฯ ของไทยมี 2 สัญชาติเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น

มีคนไปถาม กกต.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจน และยังไม่ได้ประชุมหารือกัน ก็ด่วนออกมาชี้แจงแล้วว่าการที่นายอภิสิทธิ์มี 2 สัญชาติ ไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

เรื่องการมี 2 สัญชาตินี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่โดยสามัญสำนึกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าระบบกฎหมายของไทยไม่น่ายินยอมให้นายกฯ เป็นบุคคล 2 สัญชาติ

เรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ เมื่อเป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง ฟ้องประชาชนกันดีกว่า

ขอย้ำว่าไม่ได้กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 2 สัญชาติ จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น

ไม่ควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้น และไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป

จนท.ไม่ได้ฆ่า!?

ที่มา ข่าวสด

เหล็กใน

สมิงสามผลัด




เหลือเชื่อจริงๆ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยุคนายธาริต เพ็งดิษฐ์

เปิดประเด็นใหม่คดีนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายม็อบแดง 10 เม.ย.2553 ที่สี่แยกคอกวัว

นายธาริตระบุมีข้อมูลใหม่ยืนยันว่าเป็นการเสียชีวิตจากอาวุธปืนสงครามชนิดอาก้า

ซึ่ง ศอฉ.เคยระบุว่าปืนอาก้าไม่ใช่อาวุธที่ใช้ในกองทัพ!

ที่ว่าเหลือเชื่อก็ตรงที่การสรุปครั้งใหม่ดันไปขัดแย้งกับการแถลงของนายธาริตเองเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา

ตอนนั้นนายธาริตแถลงว่าคดี 91 ศพนั้นมีอยู่ 13 ศพน่าเชื่อว่าเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ!

ในจำนวนนั้นก็มีการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ รวมอยู่ด้วย

เวลาผ่านไปแค่เดือนเศษก็กลับตาลปัตรเสียแล้ว

ถ้อยแถลงครั้งล่าสุด ตีความกันง่ายๆ ว่านักข่าวยุ่นตายเพราะปืนอาก้า

แสดงว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ!?

และที่แปลกใจยิ่งกว่าคือข้อมูลตรงนี้กลับเป็นผลการตรวจพิสูจน์ของพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีต ผบช.สพฐ.เป็นคนรวบรวมข้อมูลให้ดีเอสไอ

จนเกิดคำถามว่าทำไมผลสอบใหม่ไม่เหมือนกับผลสอบเดิม

ทำไมต้องให้ตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้วมาชันสูตรศพใหม่!?

ฉะนั้นเรื่องนี้จะเป็นปริศนาที่คลางแคลงใจสังคม อย่างแน่นอน

หากย้อนกลับไปช่วงหลังจากการแถลง 13 ศพของดีเอสไอ จะพบว่ามีฟีดแบ็กไม่ธรรมดา

นายโนบูอากิ อิโตะ อัครราชทูตฝ่ายการเมือง สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ทันที

ระบุว่าชาวญี่ปุ่น 90 เปอร์เซ็นต์เชื่อว่านายฮิโรยูกิตายเพราะฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งทางการญี่ปุ่นเตรียมดำเนินมาตรการกดดันทางการเมืองต่อไป

ตรงนี้หรือเปล่าที่เป็นประเด็นกดดันทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และดีเอสไอ

จนเกิดรายงานชันสูตรศพใหม่

ดูแล้วมีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นปืนอาก้าของ "คนชุดดำ"

ช่างเป็นมุขเก่าๆ ที่อำนาจรัฐชอบขุดขึ้นมาใช้จริงๆ!!

ซัดผลสรุปดีเอสไอไม่น่าเชื่อถือ

ที่มา โลกวันนี้

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง
กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุผล
การตรวจสอบการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิต
ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ของ พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา
อดีต ผบช.สพฐ.ตร. ที่วิเคราะห์จากภาพถ่ายว่าเกิดจากการถูกยิงโดยอาวุธปืนอาก้า
และยังเน้นย้ำว่าทหารที่ปฏิบัติการวันนั้นไม่ได้ใช้ปืนอาก้า
โดยตั้งเป็นประเด็นคำถามว่า
พล.ต.ท.อัมพรที่เกษียณอายุราชการไปแล้วใช้ตำแหน่งหน้าที่ใดมายืนยันผลชันสูตร
และยืนยันได้อย่างไรว่าถูกต้องโดยที่ไม่มีการตรวจศพ ที่สำคัญคือ
พล.ต.ท.อัมพรเป็นคนเดียวกับที่ตรวจสอบศพของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์
ผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ว่าเสียชีวิตจากแก๊สน้ำตา
ซึ่งแย้งกับผลชันสูตรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วจะเชื่อถือได้อย่างไร
นอกจากนี้ผลการพิสูจน์เบื้องต้นระบุชัดเจนว่า
มีการยิงมาจากแผงหลังของแนวทหาร
เรื่องจะยิงด้วยกระสุนอะไรคงไม่สำคัญเท่ากับว่าใครยิง

“คงต้องตั้งฉายาให้ดีเอสไอว่าเป็นกรมผงซักฟอก
เพราะนายธาริตสามารถฟอกทุกอย่างให้รัฐบาลได้หมดทุกเรื่อง
แม้แต่เรื่องกักตุนน้ำมันปาล์มจนประชาชนเดือดร้อนก็สรุปแล้วว่าไม่พบคนผิด” นายพร้อมพงศ์กล่าว

ถูก'เอาคืน'! บุกรื้อเต๊นท์!! ต.ช.ด.-กองปราบ 700 ลุยทันที!!

ที่มา บางกอกทูเดย์



‘ไชยวัฒน์’ หวังลบเหลี่ยม ‘มาร์ค’
เอาหมายศาลแปะหน้าทำเนียบ
เล่นกันแรงและยืดเยื้อ เพื่อวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน??

เพราะแม้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีภูมิคุ้มกันต่อระบบยุติธรรมสูงมาก
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 2 มาตรฐานกระฉ่อนเมืองไทยและก้องโลกไปแล้ว
บรรดานักกฎหมายทั้งหลายต่างต้องหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอด

แต่ทุกเรื่องทุกกรณี ก็เป็นได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักระบบยุติธรรมบ้าง
เป็นการเลี่ยงบาลีแบบด้านๆบ้าง
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ “สีเทา”ในแวดวงกฎหมาย
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เพราะวัคซีนคุ้มกันของรัฐบาล
ได้รับการฉีดมาจากกลุ่ม”ขั้วอำนาจพิเศษ” กลุ่มทหารผลประโยชน์การเมือง

ในขณะที่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็เป็นม็อบที่มีภูมิคุ้มกันทางกฎหมายสูงด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่เพียงยึดทำเนียบ
ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ยึดถนน ได้
โดยที่ฝ่ายกฎหมายอ้ำๆอึ้งๆ ในการที่จะดำเนินคดี
ในขณะที่ระบบยุติธรรมก็ตกอยู่ในสภาพแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา

ดังนั้นทั้งคู่ จึงถือเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างยิ่ง

และเมื่อกลุ่มม็อบพันธมิตรฯใช้ประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา
ออกมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
และทำการยึดถนนประท้วงยืดเยื้อ ทำให้รัฐบาลได้มีการใช้ตัวช่วย
ด้วยการประกาศใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

หวังจะสยบม็อบพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยลืมนึกไปว่า
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯก็มีภูมิคุ้มกันกฎหมายที่สูงเหมือนกัน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ
ก็เลยไม่ระคายผิว

ซ้ำนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ฯ ยังสวนหมัดกลับ
โดยยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต่อศาลปกครองสูงสุด

ว่ากระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ

แน่นอนว่าเมื่อเป็นการยื่นฟ้อง ครม. ทั้งคณะ ย่อมต้องรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย
เพราะอยู่ในฐานะประธานการประชุม

โดยในการฟ้อง ได้ขอให้
1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.
ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.)
ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง
ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 23 ก.พ.

2.เพิก ถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54
ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย
ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพ ฯ
ประกาศเรื่องการห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
เรื่องการห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
และเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ ตามที่ ผอ.กอ.รมน.กำหนด

กลุ่มม็อบพันธมิตรฯระบุว่า
ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ
การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.

งานนี้จึงทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง รวมทั้งยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน
เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าวด้วย

เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.
ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง ฯ จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่าย
ประชาชนหัวใจรักชาติที่ตรวจสอบการบริหาร ราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย

เบื้องต้นศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554
โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่
และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่

แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว
เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม

ภูมิคุ้มกัน และโชคของรัฐบาลยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม

แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่ประเภทหมูกลัวน้ำร้อน จึงลุยต่อ
โดยยื่นฟ้องนายภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกรอบ

แต่ครั้งนี้หันมาฟ้องศาลแพ่งแทน
โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9- 23 ก.พ.นี้ ให้เป็นโมฆะ

เพราะในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าว
ยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ถึงขนาดกับต้องมีมาตราการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้ง
หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง

อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย
เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
เป็นแค่มุ่งที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม
ม็อบพันธมิตรฯ เท่ากับว่าจงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ

แต่รัฐบาลก็ไม่ยี่หระ
เพราะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงประกาศต่อเนื่องออกไปอีก
ลากยาวถึง 25 มีนาคมกันเลยทีเดียว

ประลองกำลังกันสนุก ว่า
ในระบบกฎหมายประเทศนี้ ใครจะแน่กว่ากัน โดยที่มีศาลแพ่งรับบทเหนื่อยหนัก

และที่น่าสนใจก็คือ ชนะหรือแพ้สำหรับกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ อาจจะไม่สำคัญ
แต่สะใจตรงที่ ได้มีการนำหมายศาลไปปิดไว้หน้าทำเนียบ
เพื่อเรียกให้นายอภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร ไปขึ้นให้ปากคำ

ถือเป็นการลบเหลี่ยมลูกกำนันกันตรงๆ

เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าได้รับการอุ้มชูจากหลายๆฝ่ายในกลุ่ม”อำนาจพิเศษ”
เมื่อมาเจอหมายศาลปิดหน้าทำเนียบเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก

มีภูมิคุ้มกันสูงขนาดนี้ โดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบได้อย่างไร

งานนี้แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ไปเองตามหมายศาล
แต่ส่งตัวแทนไป ในขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไปด้วยตัวเอง

การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
ดูแล้วเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริง ว่าใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน
ใครจะมีภูมิคุ้มกันในระบบยุติธรรมมากกว่ากัน!!!

เพราะเมื่อโดนกลุ่มม็อบพันธมิตรฯฟ้องจนเสียหน้า
เนื่องจากโดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบแบบนี้
ทาง ผบ.ตร.ก็เลยมีการจี้ให้เร่งดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
จากกรณีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ให้เร็วขึ้นแล้ว



ซึ่งทางกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เดินหน้าแลกหมัดแล้วว่า
การตั้งข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจรนั้นรุนแรงเกินความเป็นจริง

ฉะนั้นหากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับเช่นกัน!!!

แต่.....ในที่สุด รัฐบาลเส้นใหญ่ ก็ออกมา”สั่งสอน” ม็อบมีเส้นชนิด”ตาต่อตา”อย่างทันทีทันควัน
ซึ่งเป็นไปตามคาด เมื่อ เช้ามืดฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง 05.00 น โดย ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ชุมนุมพันธ
มิตรฯ - ยึดถนนคืน 2 เลน

กรณี”เอาคืน” ทันควัน-ทันตาเห็น ของ อภิมหารัฐบาลเส้นใหญ่ เกิดขึ้น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. 2554 เวลาประมาณ 05.30 น.
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย
ซึ่งเป็นหน่วยของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองปราบปราม
และตำรวจภูธรภาค 1-2-7 และตำรวจสายสืบจากกองบังคับการ 1-9

ศูนย์สืบสวน เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์
พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งยังอยู่บนเทีพันธมิตร ก็ยังปากแข็งประกาศว่า
ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง
“แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา” เพราะเป็นเงินประชาชน

เราใช้ตามความจำเป็น
เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา
จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร
อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น

หลังกำลังตำรวจบุกรื้อเต๊นท์ม็อบมีเส้น
พล.ต.จำลอง ก็ยังไม่ยอมลดรา ฉวยไมโครโฟนประกาศทันทีว่า
ประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี
แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลา”จะเป่านกหวีดเอง”

เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน
แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกัน
จัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ
เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้

สรุปว่า...
กำลังตำรวจตั้ง 700 คนก็สามารถ”ขอพื้นที่คืน” หรือ”กระชับพื้นที่”ได้เพียงเท่าที่เห็น
ม็อบพันธมิตรก็ยังตั้งหลักอยู่ตรงที่เดิมแถวสะพานมัฆวานอยู่เหมือนไม่มีเกิดขึ้นต่อไป

มองอย่างไรเรื่องนี้ ก็หนีไม้พ้น”การเอาคืนของฝ่ายรัฐบาล” เพราะ”เสียหน้า”
ที่ถูก นาย ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บังอาจเอาหมายศาลไปแปะไว้หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
เหมือนจะฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

ก็บอกแล้วว่า เป็นคู่ฟัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
เพราะกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษยังมึนไปเลยว่า แบบนี้จะช่วยฝ่ายไหนดี???

การปกปิดอาชญากรรมที่ถูกทำนายล่วงหน้า from Uncategorized

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

Read more from Uncategorized
http://robertamsterdam.com/thai/?cat=1




ในรายงานของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันนี้ที่ระบุว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษเหมือนจะถูกกองทัพไทยกดดันให้เปลี่ยนข้อสรุปว่า
ใครเป็นคนสังหารนักข่าวช่างภาพรอยเตอร์ นายฮีโรยูกิ มูราโมโตนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจ

แต่สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด

ในคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศของเรา
ซึ่งเป็นเอกสารที่ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์หลีกเลี่ยงที่จะอ่าน
–คำให้การของพยานนิรนามปากที่ 20 (คำให้การดังกล่าวฉบับแก้ไขดังกล่าวแสดงในข้างล่าง)
ทำนายถึงการปกปิดนี้ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

“มันเป็นนโยบายทางการของรัฐบาลไทยที่จะปกปิด
หรือทำลายหลักฐานการกระทำผิดทางอาญาของรัฐบาล
หรือผู้นำทางการทหารเกี่ยวกับการสังหารทั้งหมด
หลังจากความเหตุการณ์รุนแรงในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนเมษายน ปี 2553
ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 24 ราย
ศอฉ. ได้มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลเหล่านั้น
ในวันที่ 16 เมษายน นายธาริตมีอำนาจสอบสวนการสังหารอย่างเป็นทางการ

ในขณะนี้ การสอบสวนถึงการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงทั้งแปดสิบสี่ราย
ในระหว่างการชุมนุมจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการ
และได้มีการสรุปบ้างแล้ว
อย่างน้อยเบื้องต้นพวกเขาถูกสังหารโดยทหารกลุ่มหนึ่งจากกองทัพไทย
ภายใต้คำสั่งของของรัฐบาลไทยและศอฉ.
พนักงานสอบสวนของดีเอสไอบางรายที่สรุปแบบนี้ถูกผู้บัญชาการสั่งให้เปลี่ยนข้อสรุป

อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตมีส่วนร่วมในการพยายามทำให้ผลการสอบสวนของดีเอสไอล้าช้า
และนี่คือหลักฐานความล้มเหลวของเขาในการสั่งให้ทำการสอบสวนโดยรวดเร็ว
และยังเป็นความล้มเหลวของเขาในการเริ่มต้นสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นของเจตนาผู้กระทำ
ความล้มเหลวในการเร่งกระทำการสอบสวนของเขานั้น
เนื่องจากมีแรงจูงใจอย่างน้อยที่สุดคือในเรื่องข้อเท็จที่เขาเป็นสมากชิกศอฉ.
ซึ่งในสถานการณ์ปกติเป็นประเด็นสำคัญในการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังประกอบกับความพยายามของรัฐบาลในการปกปิดหลักฐานอีกด้วย
อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตได้ออกคำสั่งห้าม
พนักงานสอบสวนดีเอสไอเรียกทหารจากกองทัพมาสอบสวน
ซึ่งต่างจากกระบวนการสอบสวนทั่วไปของดีเอสไออย่างสิ้นเชิง
ในส่วนที่ดีเอสไอจะสอบสวนใครก็ตามที่เจ้าหน้าที่สรุปว่ามีส่วนทำให้เกิดการเสียชีวิตนั้น

ในเดือนพฤศจิกายน 2553 รายงานอย่างเป็นทางการของดีเอสไอ
เกี่ยวกับการสังหารในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้รั่วไปถึงมือสื่อมวลชน
แกนนำคนเสื้อแดงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้กล่าวต่อสาธารณชนเกี่ยวกับประเด็นข้อสรุปว่า
ทหารบางกลุ่มมีส่วนร่วมในการสังหารประชาชน
ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นี้ มีรายงานในสื่อไทยว่า
ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันโอชาได้ออกมาเรียกร้องให้ถอดถอนอธิบดีดีเอสไอนายธาริต
รองนายกรัฐมนตีสุเทพ เทือกสุบรรณจึงเรียกอธิบดีดีเอสไอธาริตเข้าพบ

ทันทีหลังจากการประชุม
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้กล่าวสนับสนุนอธิบดีดีเอสไอนายธาริตต่อสื่อมวลชน
นายธาริตไม่ถูกถอดถอน
เพราะเขาจะได้มีอำนาจในการตัดสินชี้ขาดไม่ให้ดำเนินคดีต่อผู้นำทางการทหาร
หรือสมาชิกศอฉ. ในส่วนของนายธาริต เขาได้กล่าวต่อสื่อว่า
คำพูดของนายจตุพรเกี่ยวกับเอกสารรายงานดีเอสไอที่รั่วออกมานั้น
ไม่ตรงกับข้อสรุปของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ซึ่งคำพูดของนายธาริตไม่ใช่เรื่องจริง

ทันทีหลังจากประชุมกับรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ
อธิบดีดีเอสไอ นายธาริตออกคำสั่งภายในดีเอสไอให้เขามีอำนาจในการตัดสินว่า
การสังหารมีเจตนาทางอาญาหรือไม่เพียงคนเดียว
และหากไม่มีการสรุปเรื่องเกี่ยวกับเจตนาทางอาญาแล้ว
จะทำให้ผู้นำทางการทหารหรือรัฐบาลไทยไม่ต้องรับผิดทางอาญา

เป็นเรื่องที่ชัดเจนอย่างมาก
ที่อธิบดีดีเอสไอให้ความเชื่อมั่นนายกรัฐมนตีรอภิสิทธิ์ผ่านทางรองนายกรัฐมนตรีสุเทพว่า
ไม่ว่าพนักงานสอบสวนของดีเอสไอจะสรุปผลของการเสียชีวิตว่าอย่างไรก็ตาม
แต่เขาจะสรุปให้ทหารไม่มีเจตนาทางอาญา
ในเหตุการณ์การเสียชีวิตของพลเรือนและทหารในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
เพื่อแลกเปลี่ยนที่รัฐบาลอนุญาติให้นายธาริตอยู่ในตำแหน่ง”

ก่อนที่ความพยายามของเราจะถูกเพิกเฉยอีกครั้ง
เราขอให้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ใช้เวลาอ่านคำร้องของเรา
เพื่อจะเรียนรู้บางอย่างจากคำร้องดังกล่าว



http://robertamsterdam.com/thai/?p=717

"ณัฐวุฒิ" ซัด "มาร์ค" ล้มการเจรจา 19 พ.ค.53 ไม่สน ปธ.วุฒิ จนเกิดเหตุทำนองเลือด

ที่มา มติชน

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมคนเสื้อแดงช่วงเมษายน-พฤภาคม 2553 ว่าหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน นายอภิสิทธิ์ส่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มาเจรจากับตน 3-4 ครั้ง ต่อมาแต่จู่ๆ นายอภิสิทธิ์ก็สั่งให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้เลิกการเจรจรา ทาง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ต้องหยุด จากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียด แต่ก็มีความพยายามที่จะตั้งโต๊ะเจรจากันอยู่ตลอด โดยตนประสานผ่านนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ที่แม้จะยุติบทบาทไปก่อนหน้านั้น แต่พยายามช่วยประสานการเจรจากับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีขณะนั้น และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า เมื่อปิดล้อมก็เกิดการเผชิญหน้ากัน เหตุการณ์ก็ลุกลามบานปลาย มีคนบาดเจ็บล้มตาย ตนพยายามเจรจากับคนของฝ่ายรัฐบาลหลายครั้ง มีการโทรศัพท์พูดคุยกับคุณกอร์ปศักดิ์ เพราะเพียงแค่อยากอธิบายเหตุผลว่าสาเหตุที่วุ่นวายกันอยู่ก็เพราะรัฐบาลเอากำลังทหารไปปิดทาง คนจะเข้ามา เข้ามาไม่ได้ ก็เกิดการเผชิญหน้าและสูญเสีย จึงเสนอให้นายกอร์ปศักดิ์เปิดทาง เพื่อจะได้พาพี่น้องที่เผชิญหน้าแต่ละจุดเข้ามา ก็ไม่ทราบนายกอร์ปศักดิ์ ไปสื่อสารอย่างไร กลายเป็นไปบอกว่าตนเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย สามารถสั่งคนให้เข้ามาได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไป

แกนนำเสื้อแดงรายเดิมกล่าวต่อว่า เมื่อเห็น ส.ว.ยกมือขอเป็นตัวกลาง จึงโทรศัพท์ไปหาพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ซึ่งได้แจ้งกลับมา ว่านายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภาเห็นด้วยและพร้อมที่จะเป็นคนกลางในการเจรจาให้ ในเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม โดยได้แจ้งไปยังนายอภิสิทธิ์ ซึ่งก็เห็นด้วยเช่นกัน

"ต้องนึกภาพว่าในตู้คอเทนเนอร์เราคุยกันเป็นรูปธรรมระดับนี้ โดยมีประธานวุฒิเป็นคนยืนยันสำคัญว่าจะเกิดการเจรจาในเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม เราจึงมั่นใจว่าวันที่ 19 พฤษภาคม ตอนเช้าจะมีการเจรจา พวกผมส่งคณะ ส.ว.กลับด้วยความเข้าใจนี้ แต่ปัญหาก็คือเช้ามืดวันที่ 19 พฤษภาคม ไม่มีการเจรจา มีแต่การเข่นฆ่าอย่างอำมหิต ปัญหาคือวันนั้นทำไมรัฐบาลไม่คุยอีก จะคุยวันที่ 19 แล้วฆ่าวันที่ 20 ได้ไหม การที่จะคุยกันอีกครั้งเพื่อหาทางคลี่คลายสถานการณ์นี้ด้วยสันติวิธี จะดีกว่าการเข่นฆ่ากันหรือไม่ เสียเวลา 1 วันเพื่อการไม่ต้องเสียชีวิตคนอีกหลายสิบชีวิต รัฐบาลจะเลือกแบบไหน" นายณัฐวุฒิกล่าว

พวกอำมาตย์พยายาม "ทำให้น้ำนิ่ง" บ้านเมืองเลยวุ่นวายไม่รู้จบ เป็นฝรั่งเศสจนได้

ที่มา thaifreenews

โดย ลูกชาวนาไทย

วันหยุดที่ผ่านมา ออกไปคาร์แค้มป์ กับชาว FARED ทั้งหลาย ได้สรรเสริญใครต่อใครสนุกสนานกันมาก เพราะเหมือนเราเตรียมลำโพงกันไป ดังไปทั้งป่า กลับมาน้ำหนักขึ้นเป็นกิโล นี่ขนาดผมไม่ค่อยกินอะไรแล้วนะครับ 55

ได้คุยแลกเปลี่ยนกับคุณเสรีภาพ ทำให้ผมได้สำนวนอันหนึ่งจากคุณเสรีภาพที่ผมสามารถใช้อธิบายสิ่งที่ผมพยายามสื่อมานาน สำนวนที่ว่า "พวกเขาพยายามทำให้น้ำมันนิ่ง" โดยการออกแรงสมอง ทุ่มเทพลังทุกอย่งเพื่อให้น้ำมันนิ่งให้ได้ เช่นพยายามถือภาชนะให้ตรง น้ำมันมันเอียงก็กระดกทางโน้นที ทางนี้ที น้ำมันก็ยิ่งกระฉอกไปมา

อันที่จริงหากพวกเขา "วางมือเสีย" เลิกคิดจะทำให้น้ำมันนิ่ง น้ำมันก็ก็จะนิ่งเอง โดยธรรมชาติของมัน

มีคนถามสถานการณ์ทางการเมืองกับผม ผมเชื่อว่า สถานการณ์จะพัฒนาไปเรื่อยๆ จนเป็นเนปาล ฝรั่งเศสหรืออะไรจนได้ หากฝ่ายอำมาตย์ไม่ยอมหยุด พยายามที่จะใส่ตัวแปรใหม่ๆ เข้าไปในสมการเพื่อให้การเมืองกลับสู่สถานภาพเดิม แต่ยิ่งทำมันก็ยิ่งวุ่นวาย เกิดเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น ทำรัฐประหารทักษิณ ต่อมาก็ยึดทรัพย์ ต่อมาเกิดการสังหารหมู่ และเรื่องก็มีแนวโน้มไป ICC แล้วพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ยิ่งสร้างเหตุการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาก็ยิ่งวุ่นวายไม่รู้จบ

พอดีแต่ก่อนผมหาสำนวนที่อธิบายสิ่งที่ผมคิดนี้ไม่ได้ชัดเจนเสียที คุณเสรีภาพพุดถึง "การพยายามทำให้น้ำนิ่ง" สามารถอธิบายสภาพความวุ่นวายของการเมืองไทยตอนนี้ได้พอดี

ประเทศไทยตอนนี้ มีคนพยายามที่จะทำให้น้ำนิ่งให้ได้ แต่ยิ่งพยายามน้ำก็ยิ่งปั่นป่วนกระฉอกออกไปจากถังมากขึ้นเรื่อยๆ

หากพวกเขา "หยุดขยับถังน้ำไปมาเสีย" พูดตรงๆ คือ ชักมือที่มองไม่เห็นกลับไป อยู่เฉยๆ น้ำมันจะค่อยๆ นิ่งเอง มันจะค่อยๆ ปรับตัวของมันเองตามแรงโน้มถ่วง หรือแรงเฉื่อยต่างๆ ที่ค่อยๆ หมดไป ความวุ่นวายก็ลดลง และค่อยๆ สงบไปในที่สุด

บ้านเมืองจะหายวุ่นวาย หากเลิกคิดจะทำให้น้ำมันนิ่งเสียที

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 28/02/54

ที่มา thaifreenews

โดน blablabla



บุญคุณต้อง ทดแทน แค้นต้องชำระ
ไร้สัจจะ ในหมู่มาร สันดานชั่ว
ดีกูเอา เลวโยนไป จนไกลตัว
เพราะเมามัว อำนาจ ขาดคุณธรรม....

คนอุปถัมภ์ ค้ำชู ผู้ช่วยตั้ง
พวกมันยัง ย้อนยอก คอยตอกย้ำ
ทำไม่ได้ ไล่ออก บอกระยำ
พวกใจดำ ต่ำช้า แถมสามานย์....

เผยทาสแท้ เร็วรี่ อัปรีย์ล้น
ความสับปลับ สัปดน คนกล่าวขาน
หาประโยชน์ คดโกง ให้วงศ์วาน
เพราะสันดาน แหลกเหลว อันเลวทราม....

99 วัน ทำไม่ได้ ไปตายเถอะ
แสร้งเลอะเทอะ ทำเครียด พูดเหยียดหยาม
ชั่วกับเลว ต่ำช้า น่าประณาม
สร้างภาพตาม ตนถนัด คือกัดกัน....

พูดว่าตน ทำดี เป็นที่สุด
จึงเร่งรุด สร้างปม เพื่อข่มขวัญ
รอดูพวก บัดซบ ประจบมัน
เลวทั้งนั้น เลิกสนใจ เลิกใยดี....

สมกับเมือง คนอุบาทว์ ฉลาดน้อย (โง่)
ทำสำออย กอดสนิท ติดเก้าอี้
เพราะพวกมัน คนระยำ ทำอัปรีย์
ประเทศนี้ จมดิ่งเหว คนเลวครอง....

๓ บลา / ๒๘ ก.พ.๕๔
http://3blabla.blogspot.com

หันมาระดมความคิด เพื่อชัยชนะกันดีกว่าไหม

ที่มา thaifreenews



โดย 48บาท

ผมลองจินตนาการณ์ว่าถ้าเป็นผมเป็นแกนนำจริง ๆ ผมจะทำอย่างไรบ้าง

1.รักษาชีวิตของมวลชนไว้ให้มากที่สุดเป็นสิ่งแรก เพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมอุดมการณ์
เดียวกันซึ่งเปรียบเสมือนคนทุกคนคือคน ๆ เดียวกัน ลดการสูญเสียถ้าทำได้ทุกกรณี
เช่น ยอมสลายการชุมนุมถ้าถูกโจมตีด้วยกองกำลัง เนื่องจากมวลชนไม่ได้ถูกฝึกมาให้
ต่อสู้แบบทหาร ยอมให้ถูกจับถ้าสามารถหยุดยั้งการฆ่าได้

2.หายุทธวิธีการต่อสู้เพื่อให้บรรลุจุดหมายแบบไม่สูญเสีย หรือให้น้อยที่สุด ซึ่งก็คือต่อสู้แบบ
สันติวิธี (ย้ำอีกครั้งนะครับ ว่ามวลชนไม่ได้ถูกฝึกการต่อสู้เหมือนทหาร) หลีกเลี่ยงการยัด
ข้อหาที่ทำกันมาช้านานในการทำลายคู่ต่อสู้ คือข้อหาล้มสถาบัน เพราะถ้าติดหล่มนี้ซะแล้ว
ไม่มีทางสำเร็จแน่ ๆ จะต่อสู้จากนอกประเทศเหมือนที่นักพูดหลายท่านทำอยู่ตอนนี้ ถามว่าจะมีวันสำเร็จไหม

3.ผมเชื่อว่าการวิ่งหลบกระสุนที่กำลังสาดเข้าใส่ ไม่ใช่คนขี้ขลาดนะครับ การที่จะเป็นสมอง
เพื่อคิดหาวิธีการเอาชนะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่าลืมว่าคนที่คิดนับได้เป็นหลักสิบหรืออย่างมากหลักร้อย
แต่คนร่วมอุดมการณ์ทั้งหมดเป็นหลักหมื่น หลักแสน หรือเป็นล้าน ๆ ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหนที่
อาจมีบ้างที่ต้องการพักอย่างเต็มอิ่ม หรือบางครั้งที่ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง เพราะคนก็คือคน
ต้องการพักเพื่อให้มีเรี่ยวแรง มีสมองที่สดชื่นไว้ต่อสู้ ซึ่งจะสังเกตว่าคนที่ขึ้นเวทีมีแต่หน้าเดิม ๆ
ผลัดเปลี่ยนกันทุกวันหมุนวนซ้ำ ๆ ถามจริง ๆ เถอะครับถ้าเป็นท่านไม่เหนื่อยกันบ้างหรือครับ
มวลชนก็มีบ้างที่กลับบ้านไปพักผ่อน หรือเช่าโรงแรมเพื่อนอนหรือทำภารกิจส่วนตัว แล้วแกนนำ
ทำไม่ได้เหรอครับ

4.การต่อสู้เพื่อให้บรรลุจุดหมายที่ทุกท่านต้องการ (รวมผมด้วย) ต้องสามารถต่อสู้ได้โดยไม่ต้องหลบหนี
หรือถูกขังลืม สามารถเผยแพร่ความคิดหาแนวร่วมเพิ่มเติมให้มาก รอวันสุกงอมตามวิถีทางประชาธิปไตย
ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น (อาจใช้เวลาสักหน่อย) จึงทำได้โดยไม่สูญเสียมากครับ ไม่ใช่เปิดหน้าสู้ตรง ๆ ทั้งความรุนแรง
หรือพูดโดยไม่หลบวลี มีหวังต้องไปเผยแพร่ความคิดในคุกสถานเดียว อดทนรอกันนิดหนึ่ง
เมื่อยกเลิก 112 แล้ว ค่อยว่ากันใหม่ ถามจริง ๆ เถอะครับว่าถ้า พรรคการเมืองเสนอว่าต้องการ
แก้ไขหรือยกเลิก 112 อย่างเปิดเผย คิดว่าพรรคนั้นจะถูกยุบไหม อันที่จริง อ.สุรชัย ถ้าเป็น
กามิกาเซ จริงอย่างที่ อ.สมศักดิ์ พูดไว้ เวลาปราศรัยผมก็เห็นว่าแกพูดหลบเลี่ยงวลีอยู่ดี
ทำไมไม่พูดตรง ๆ เลยละ เพราะแกรู้ว่ามันไม่ฉลาดเลยถ้าเราต้องถูกขัง หรือต้องหนีไปอยู่ต่าง
ประเทศ และโอกาสสำเร็จแทบไม่มีเลย

เหนื่อยใจ เหนื่อยใจ

ที่พูดมาไม่ได้ต้องการมาแก้ตัวให้แกนนำ เพียงแต่จะบอกกล่าวให้ฟังว่ามีข้อจำกัดมากมาย
ในการต่้อสู้ ถ้าต้องการทำในแนวทางที่ท่านคิดไว้ก็หาแนวร่วมแล้วทำกันได้เลยครับ
ผมว่าคนเสื่อแดงทั้งหมดเอาใจช่วยอยู่แล้ว เพราะจุดหมายเดียวกันครับ

xxx13 xxx13 xxx13

ขออภัยถ้าคำพูดไม่โดนใจครับ

5fc0f220 5fc0f220 5fc0f220

แกนนำเสื้อแดงทำบุญวัดปทุม "ณัฐวุฒิ" ถาม "อภิสิทธิ์" รับได้หรือไม่หาก ปชป.แพ้เลือกตั้ง

ที่มา ประชาไท

แกนนำเสื้อแดงพร้อมสู้คดี ยืนยันเดินหน้าทวงความยุติธรรมให้คนตาย ณัฐวุฒิถามอภิสิทธิ์และผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังรับได้หรือไม่ถ้า ปชป.แพ้เลือกตั้ง

วันนี้ (27 ก.พ.54) ประมาณ 10.00 น. แกนนำคนเสื้อแดงเดินทางมาที่วัดปทุมวนาราม เพื่อทำบุญให้กับผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค.53 มีคนเสื้อแดงมาร่วมแน่นขนัด

แกนนำคนเสื้อแดงทยอยกันเดินทางมา อาทิ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์, นพ.เหวง โตจิราการ, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ, นายยศวริศ ชูกล่อม, นายจตุพร พรหมพันธุ์ โดยมาสบทบกันที่ศาลาชัยสินธพ ซึ่งอยู่ใกล้เต๊นท์พยาบาลที่มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตในเย็นวันที่ 19 พ.ค.53 แกนนำคนเสื้อแดงได้ร่วมกันถวายเครื่องสังฆทานและเลี้ยงภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ส่วนด้านนอกมีคนเสื้อแดงจำนวนมากมารอพบแกนนำจนแน่นขนัดไปทั่วทั้งบริเวณลานจอดรถของวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ไม่มีการขึ้นพูดหรือปราศรัยใดๆ กับคนเสื้อแดง มีเพียงการแถลงข่าวของแกนนำกับสื่อมวลชนที่มาติดตามทำข่าวในตอนก่อนเริ่มพิธีการเท่านั้น

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทุกข้อหาในทุกคดี และจะเดินหน้าให้ถึงที่สุดเพื่อนำความจริงและความยุติธรรมมาให้แก่ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต รวมทั้งจะปรึกษาทนายความเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับหน่วยงานที่มีส่วนสังหารประชาชน และหน่วยงานที่แจ้งข้อกล่าวหาซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงด้วย

“ถ้าพวกผมเผาบ้านเผาเมือง ผมก็สู้คดี ถ้าพวกผมสั่งกองกำลังที่ไหนก็ตามมาไล่เข่นฆ่าประชาชนตาย 90 กว่าศพ ผมก็สู้คดี ปัญหาก็คือผู้มีอำนาจทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังคดีนี้ พร้อมและกล้าเผชิญความจริงแบบผมหรือเปล่า เราจะไม่เดินไปสู่การนิรโทษกรรมใดๆ ถ้าพยานหลักฐานตามกฎหมายระบุว่าผมทำความผิด ผมยินดีที่จะรับโทษทุกกรณี อิสรภาพของพวกผมแลกไม่ได้กับพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตาย แต่ถ้าอิสรภาพของพวกผมจะแลกเปลี่ยนเป็นความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชนได้ พวกผมก็จะทำ” นายณัฐวุฒิกล่าว

ส่วนเรื่องการช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะเร่งทำเรื่องยื่นขอประกันตัวให้กับคนเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังอยู่ โดยจะไม่ยื่นซ้ำซ้อนกับรายชื่อของผู้ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะทำเรื่องขอประกันตัว

ส่วนเรื่องการเลือกตั้ง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะประกาศยุบสภาเพื่อให้เข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้ง ซึ่งตนยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่มีความประสงค์ที่จะทำลายบรรยากาศของการเลือกตั้ง แต่มีคำถามว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะ กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนายอภิสิทธิ์จะทำใจรับผลการเลือกตั้งได้หรือไม่ และหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะ พรรคที่ชนะเป็นอันดับ 1 จะสามารถตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ และกล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่ควรกังวลเกี่ยวกับคนเสื้อแดง แต่นายอภิสิทธิ์ควรประกาศอย่างเป็นทางการว่าถ้าเลือกตั้งแพ้แล้วจะยอมรับหรือไม่ และจะมีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายเคารพในเสียงของประชาชน ก็จะนำประเทศไปสู่การปรองดองในที่สุด

เวลา 12.00 น.เศษ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นพ.เหวง โตจิราการ และแกนนำบางส่วน ออกเดินทักทายพร้อมโบกมือให้กับคนเสื้อแดงที่รออยู่ด้านนอก ก่อนขึ้นรถและเดินทางออกจากวัด

กวีประชาไท: ในประเทศที่มีแต่ละคร

ที่มา ประชาไท

พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ
อ่านในงานเทศกาลฝังความทรงจำ ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์
วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554
หลังเสียงเพลงเคารพธงชาติ

"ในประเทศที่มีแต่ละคร เราถูกสอนว่าตัวละครที่ติดเพชรแวววาว นั่งอยู่บนตั่งสูง ทุกคนประนมกรกราบไหว้ชาบู คือตัวละครพระราชา .."

ในประเทศที่มีแต่ละคร
เราถูกสอนว่าตัวละครที่ติดเพชรแวววาว
นั่งอยู่บนตั่งสูง
ทุกคนประนมกรกราบไหว้ชาบู
คือตัวละครพระราชา

ในประเทศที่มีแต่ละคร
ตัวละครพระราชา
มักจะมีแต่บทพูดจาสั่งสอนตัวละครอื่น
กระทั่งเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้
และไร้บทให้ตัวละครอื่นถาม

ในประเทศที่มีแต่ละคร
แม้จะชั่วช้าสามานย์
หากคุณรับบทพระราชา
ก็ไม่มีใครเกริมเหิม
ทุกคนล้วนแซ่ซ้องสรรเสริญตามบท

ในประเทศที่มีแต่ละคร
ตัวละครพระราชามักจะรวยอย่างไร้เหตุผล
ไม่ต้องทำมาหากิน
มีที่ดินจำนวนมาก
และเก็บเบี้ยบาทจากทาสไพร่

ในประเทศที่มีแต่ละคร
เมีย ลูกสาว ลูกสะใภ้พระราชา
มีไว้ประดับบารมี
บทบาทเพียงเพื่อสร้างสำราญผู้ชม
ในฉากตบตีว่าหมาใครน่ารักกว่ากัน

ในประเทศที่มีแต่ละคร
แม้จะมากทรัพย์สฤงคารมหาศาล
แต่ไม่เคยพอแบ่งให้ลูกหลาน
ตัวละครพระราชามักจะตรอมใจ
เฝ้าดูลูกหลานห้ำหั่นฟันฆ่ากันและกัน

ในประเทศที่มีแต่ละคร
ตัวละครพระราชา
ตรวจสอบความรักของไพร่ทาส
ด้วยการก่อสงครามกับรอบข้าง
แล้วใช้ไพร่ทาสให้ไปตายแทน

ในประเทศที่มีแต่ละคร
ตัวละครทหารเอกชำนาญศึก
มักจะมีสัมพันธ์ล้ำลึก
กับมเหสีแลสนมของพระราชา
ทิ้งให้พระองค์อยู่เหย้าอย่างเดียวดาย

ละครในประเทศที่เจริญแล้ว
ตัวละครพระราชามักน่าหัวร่อ
สะท้อนข้อบกพร่องของสังคม
น่าแปลก...พระราชาเหล่านั้นมักไม่ตายดี
แฮมเล็ต แม็คเบธ ริชาร์ด หลุยส์ ไกเซอร์ ซาร์ ฯลฯ

ละครในประเทศที่เจริญแล้ว
ไม่มีใครอยากเขียนบทพระราชาขึ้นมาใหม่
ไม่มีใครอยากรับบทพระราชาน่าหัวร่อ
เพราะยากที่จะเล่นให้ผู้ชมเชื่อตาม
พระราชาเป็นเพียงบทที่นำมาปัดฝุ่น ไม่ก็หลงยุคทะลุเวลา

ละครในประเทศที่เจริญแล้ว
ตัวละครสามัญชนรวยจนชั่วดี
ครอบครัวร้างรามีสุข
หรือตกทุกข์ได้ยาก
ต่างมีที่มาที่ไป

ในประเทศที่มีแต่ละคร
ร้างไร้ผู้คนบนท้องถนน
ละครขับกล่อมสังคม ให้ลืมความโสมมของชีวิต
เฝ้าลุ้นให้ข่าวฆ่าฟันรายงานจบสิ้น
จะได้เต็มอิ่มกับโลกในละคร.

โสภณ พรโชคชัย: ส่งเสริมการใช้คำว่า “ท่าน” สำหรับสามัญชน

ที่มา ประชาไท

ดร.โสภณ พรโชคชัย
27 กุมภาพันธ์ 2554
sopon@thaiappraisal.org
facebook.com/pornchokchai

เมื่อวันก่อนผมนั่งบนเวทีดำเนินการอภิปรายแนะนำคุณมีชัย วีระไวทยะ ผมให้เกียรติเอ่ยคำนำหน้าชื่อว่า “ท่าน” มีชัย ท่านกลับบอกว่า คำนี้ใช้เรียกราชนิกุลฝ่ายชายชั้นหม่อมเจ้า ให้ใช้คำนำหน้าว่า “คุณ” ก็พอ

แม้ความจริงคุณมีชัยอาจพูดคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย เพราะคําที่ใช้เรียกราชนิกุลฝ่ายชายและฝ่ายหญิงชั้นหม่อมเจ้า คือคำว่า “ท่านชาย” และ “ท่านหญิง” ไม่ใช่คำว่า “ท่าน” โดด ๆ แต่อย่างใด แต่หะแรกผมรู้สึกยกย่องคุณมีชัยว่าเป็นเสรีนิยม (Liberal) เห็นสามัญชนเสมอหน้ากัน ไม่นิยมให้ยกย่อง (ยกหาง) กันเกินงาม

ในความเป็นจริง การใช้คำว่าท่านถือเป็นการยกย่องเท่านั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ระบุไว้ว่า “ท่าน” เป็น “คําใช้แทนผู้ที่เราพูดด้วย เป็นคํากลาง ๆ หรือแสดงความเคารพ เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒, ใช้แทนผู้ที่เราพูดถึงด้วยความเคารพ เช่น ท่านไม่อยู่ คุณพ่อท่านหลับแล้ว หรือโดยไม่เจาะจง เช่น อย่าลักทรัพย์ท่าน เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓. คําที่ใช้ประกอบหน้าชื่อบรรดาศักดิ์หรือตําแหน่งแสดงความยกย่อง เช่น ท่านขุน ท่านอาจารย์ ท่านเจ้าอาวาส”

คำยกย่องสามัญชนในทำนองคำว่า “ท่าน” ของไทย ก็มีใช้กันในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ในลาวก็มีคำว่า “ท้าว” ในเวียดนามก็มี “แอง” ในอินโดนีเซียก็ “บาป๊ะ” หรือ “ป๊ะ” ในกัมพูชา มาเลเซียก็มีการเรียกขานกันในทำนองนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นการใช้คำว่า “ท่าน” จึงไม่ใช่เป็นการตีตนเสมอเจ้า แต่สามัญชนก็มีสิทธิถูกยกย่องและใช้คำนี้ได้

ในทางตรงกันข้ามคำว่า “ท่าน” ก็คงไม่ได้สงวนไว้ใช้กับโจรหรือกังฉิน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมใช้คำว่า “ท่าน” เพื่อแนะนำคุณประสาร มฤคพิทักษ์ ผู้มีอุปการคุณของผม แต่ท่านก็บอกว่าอย่าใช้คำนี้ พวก “ท่าน” มักเป็นพวก “โกงบ้านโกงเมือง” ซึ่งฟังดูดี แต่ออกเป็นการตีโวหาร เพราะในความเป็นจริงคำว่า “ท่าน” ก็สามารถใช้กับคนดี ๆ ได้เช่นกัน
เรามาส่งเสริมการใช้คำว่าท่านเพื่อให้เกียรติสามัญชนด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และโดยเฉพาะผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคมและประเทศชาติส่วนรวม อย่าให้ใครมากีดกันหรือถูกผูกขาดให้ใช้เฉพาะกลุ่มผู้สูงศักดิ์ส่วนน้อย หรือพวกกังฉิน

นปช. ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตที่วัดปทุมวนาราม - แดงสยามปราศรัยอนุสรณ์สถานรังสิต

ที่มา Thai E-News


ขอบคุณภาพข่าวมติชน

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
27 กุมภาพันธ์ 2554

ทั้งเสาร์-อาทิตย์ที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 2554 คึกคักไปด้วยกิจกรรมของคนเสื้อแดง ทั้งงานกอล์ฟการกุศล ที่ไทยอีนิวส์ร่วมกับกลุ่ม Red Cyber เพื่อระดมทุนช่วยเหลือการต่อสู้ทางกฎหมายของคนเสื้อแดงที่สนามกอล์ฟไดนาสตี อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันชื่นมื่น ดูภาพข่าวงานกอล์ฟการกุศลของไทยอีนิวส์ และ Red Cyber

**************


ใน วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เช้าตรู แกนนำ นปช. ร่วมกับคนเสื้อแดงนับหมื่นเนื่องแน่นเต็มวัดปทุมวนาราม จนล้นออกมาสู่ถนนราชประสงค์ เพื่อร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การปราบปรามคน เสื้อแดงเมือเดือนพฤษภาคม 2553 และสำหรับคนเสื้อแดง เพื่อมาพบกับแกนนำที่พวกเขาคิดถึง ที่ถูกคุมขังกว่า 9 เดือน และเพิ่มได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554

มติชน
รายงานพร้อมรูปภาพการรวมตัวครั้งนี้
ที่ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 ก.พ. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ได้รวมตัวทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 โดยมีแกนนำอย่างนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายจตุพร พรหมพันธ์ พร้อมแกนนำที่เพิ่งได้รับการประกันตัว เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นพ.เหวง โตจิราการ นายงิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ฯลฯ โดยทั้งหมดร่วมพิธีทำบุญถวายสังฆทานและภัตตาหารเพล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ผ่านๆมา จำนวน 91 ราย โดยมีสมาชิกคนเสื้อแดงร่วมงานและรอให้กำลังใจแกนนำอย่างคับคั่ง

"ประมวลภาพ"เสื้อแดง"ทำบุญอุทิศส่วนกุศล"ผู้เสียชีวิต"เหตุวุ่นวายเมื่อพ.ค.53 แกนนำ-มวลชนร่วมงานคับคั่ง"
***************

ส่วน ประชาไท พาดหัวข่าว "แกนนำเสื้อแดงทำบุญวัดปทุม "ณัฐวุฒิ" ถาม "อภิสิทธิ์" รับได้หรือไม่หาก ปชป.แพ้เลือกตั้ง"
“ถ้า พวกผมเผาบ้านเผาเมือง ผมก็สู้คดี ถ้าพวกผมสั่งกองกำลังที่ไหนก็ตามมาไล่เข่นฆ่าประชาชนตาย 90 กว่าศพ ผมก็สู้คดี ปัญหาก็คือผู้มีอำนาจทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังคดีนี้ พร้อมและกล้าเผชิญความจริงแบบผมหรือเปล่า เราจะไม่เดินไปสู่การนิรโทษกรรมใดๆ ถ้าพยานหลักฐานตามกฎหมายระบุว่าผมทำความผิด ผมยินดีที่จะรับโทษทุกกรณี อิสรภาพของพวกผมแลกไม่ได้กับพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตาย แต่ถ้าอิสรภาพของพวกผมจะแลกเปลี่ยนเป็นความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชนได้ พวกผมก็จะทำ” นายณัฐวุฒิกล่าว
ส่วนเรื่องการช่วยเหลือคนเสื้อ แดงที่ยังอยู่ในเรือนจำนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะเร่งทำเรื่องยื่นขอประกันตัวให้กับคนเสื้อแดงที่ยังถูก คุมขังอยู่ โดยจะไม่ยื่นซ้ำซ้อนกับรายชื่อของผู้ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะทำ เรื่องขอประกันตัว

ส่วนเรื่องการเลือกตั้ง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะประกาศยุบสภาเพื่อให้เข้าสู่บรรยากาศการเลือกตั้ง ซึ่งตนยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่มีความประสงค์ที่จะทำลายบรรยากาศของการเลือก ตั้ง แต่มีคำถามว่าหากพรรคเพื่อไทยชนะ กลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนายอภิสิทธิ์จะทำใจรับผลการเลือกตั้งได้หรือไม่ และหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะ พรรคที่ชนะเป็นอันดับ 1 จะสามารถตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ และกล่าวอีกว่า รัฐบาลไม่ควรกังวลเกี่ยวกับคนเสื้อแดง แต่นายอภิสิทธิ์ควรประกาศอย่างเป็นทางการว่าถ้าเลือกตั้งแพ้แล้วจะยอมรับ หรือไม่ และจะมีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายเคารพในเสียงของประชาชน ก็จะนำประเทศไปสู่การปรองดองในที่สุด

ขอบคุณภาพจากประชาไท ดูรายละเอียดข่าวประชาไท

****************

แดงสยาม อนุสรณ์สถานรังสิต ในช่วงคำคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์


แม้ จะไม่มีอาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แดงสยามก็ยังมุ่งหน้าจัดกิจกรรม โดยในคำคื่นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554 ได้จัดเวทีปราศรัย ณ อนุสรสถานรังสิต ชูธงปล่อยตัวสุรชัย แซ่ด่านและยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขึ้นเวทีโดยสมยศ พฤษาเกษมสุข นที สรวารี และคนแดงสยามคับคั่งเช่นกัน



ขอบคุณภาพถ่ายโดย Red Intelligence
ดูเพิ่มเติม ไม่เอา 112: โรคระบาดใหม่ทางเฟสบุค ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

*****************

ขอ จบรายงานข่าวด้วยการเตือนความทรงจำของคุณณัฐวุฒิ และแกนนำเสื้อแดงทุกคนว่า ครั้งหนึ่งเคยพูดไว้ว่าอย่างไร และหวังว่าจะยังคงยืนหยัดในสิ่งที่ได้พูดเอาไว้

เสียงจากดินถึงฟ้า - ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ


ภาพงานกอล์ฟการกุศลของไทยอีนิวส์ร่วมกับ Red Cyber

ที่มา Thai E-News



ทนายอานนท์ ขึ้นมาเล่าถึงการทำงานของสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ให้ผู้ร่วมงานฟัง

ดร.สุนัย กับนักข่าวสาว

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
27 กุมภาพันธ์ 2554

ที่มา Internet Freedom
ขอบคุณภาพและรายงานโดย amethyst

ระหว่างที่รอพี่นักข่าวชาวรากหญ้าฟื้นตัวจากการออกรอบกอล์ฟ แล้วมาเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมของงานกอล์ฟการกุศล ทีมข่าวไทยอีนิวส์ ขอรายงานบรรยากาศคร่าวๆ จากการนำเสนอข่าวของ Red Cyber โดย amethyst ร่วมกับกลุ่ม Red Cyber ได้จัดกอล์ฟเพื่อหาทุนสนับสนุนการดำนินงานของสำนักกฏหมาย "ราษฎรประสงค์" ที่สนามกอล์ฟไดนาสตี อ.บางเลน จ.นครปฐม และในช่วงเย็นได้มีการจัดงานเลี้่ยงสังสรรค์บริเวณ Club House ของสนามกอลฟดังกล่าว ซึ่งสามารถระดมทุนได้กว่าห้าหมื่นบาทมอบให้สำนักกฎหมายราชประสงค์ เพื่อใช้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ต้องหาคนเสื้อแดง

พันเอก ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย ในฐานะประธานจัดงาน กล่าวเปิดงาน

คุณสายลมรัก และคุณอหิงสากำลังชี้แจงการจัดงาน



ดร.อภิวันท์ ที่ท่านขอให้เรียกท่านว่า "พี่เปีย" เพื่อความสนิมสนม

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker