บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 10 :การเดินทางต่อไปของต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน

ที่มา Thai E-News



โดย วิสา คัญทัพ


สิ่งที่อาจลืมคิดไปอย่างหนึ่งก็คือ การเกิดขึ้นของแกนนำ นปช. (ก่อนนั้นคือ นปก.) ไม่ได้เกิดโดยการแต่งตั้งจากฟ้าจากสวรรค์หรือกระทั่งนรกที่ไหน

ไม่ได้เกิดจากทักษิณ ไม่ได้เกิดจากพรรคการเมืองใด หากเกิดขึ้นจากธรรมชาติของคนที่เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อต้านรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เข้าร่วมและมีบทบาทไปตามสถานะภาพที่ผูกพันกันทำงาน แล้วพัฒนาขึ้นจากสภาพความเป็นจริงในแต่ละระยะ ค่อยๆก่อรูปเป็นองค์กรจากการปฏิบัติที่เป็นจริง

ถ้าถามว่าใครผ่านเข้ามาเป็นแกนนำได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่า “เวลา” การทุ่มเทเวลาให้กับการต่อสู้ของแต่ละคนที่เป็นเงื่อนไขอันแท้จริงอันทำให้เกิดการประชุมเพื่อทำงานและสร้างตั้งองค์กรในแต่ละระยะ

เพราะฉะนั้น เราจึงมาจากธรรมชาติ ควบคุมกันได้ด้วยมติที่ประชุม แต่ก็อาจถูกแทรกแซงได้โดยภาวะที่การนำส่วนมากเห็นไปในทางเดียวกัน ซึ่งอาจจะถูกชี้นำโดยพลังศรัทธานอกองค์กรในบางครั้ง

ทว่าเรื่องอย่างนี้ ท่ามกลางการต่อสู้ที่เป็นจริง ผิดถูกเห็นได้ไม่นาน การปรับแก้ไขของ นปช.จึงค่อนข้างจะกระทำได้โดยรวดเร็ว เนื่องด้วย การตอบโจทก์ถูกผิดอยู่ที่ประชาชนผู้ต่อสู้เป็นจริงในสมรภูมิการสู้รบ และแกนนำไม่ได้ห่างเหินจากมวลชนในการต่อสู้ ไม่คิดเอาเอง ไม่จินตนาการ ไม่อัตวิสัย

อารมณ์ความรู้สึกของแกนนำ นปช.ต้องสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนอยู่เสมอ ถ้าไม่สอดคล้องก็ไปไม่รอด เรื่องนี้สำคัญ นั่นคือการที่ไม่ก้าวเร็วไปกว่ามวลชน ขณะที่จะต้องไม่ก้าวช้าไปกว่ามวลชน หากต้องก้าวไปพร้อมๆกันกับมวลชน โจทก์ข้อนี้ย่อมเป็นข้อสอบวัด การสอบผ่านหรือไม่ผ่านขององค์กรคนเสื้อแดงทุกขบวน

บันทึกของผม คงดำเนินมาถึงจุดที่น่าจะจบลง ณ ตรงนี้ ตรงฉบับที่ 10 ตรงที่ได้เห็นว่า นปช. ได้พิสูจน์การต่อสู้แนวทางสันติวิธีจนถึงที่สุด ประสบชัยชนะเป็นลำดับขั้นด้วยความยากลำบาก ล่าสุดได้ประกันตัวแกนนำ นปช. และต่อไปต้องคืนอิสรภาพให้กับคนเสื้อแดงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ทั้งนี้มีความหมายว่า ประการแรก เพราะ นปช. ได้ประกาศการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงตามรัฐธรรมนูญ ประการที่สอง นปช.ยึดมั่นสันติวิธีโดยบริสุทธิ์ ความรุนแรงและการแทรกซ้อนในการเข่นฆ่า เผาทำลาย ตลอดจนวิธีการรุนแรงอื่นใด ล้วนมาจากองค์กรนอกขบวน นปช.

ถึงที่สุดแล้วความรุนแรงขั้นสูงสุดของ นปช. ก็แค่วาทกรรมบนเวทีที่กล่าวไปด้วยอารมณ์แค้นคลั่งจากการที่ต้องสูญเสียเพื่อนพ้องน้องพี่ไปเท่านั้น สิ่งนอกเหนือไปกว่านั้น ความรักความภักดีตลอดถึงความศรัทธาที่มีต่อสถาบันสูงสุดเป็นเรื่องแห่ง ”สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” ทั้งสิ้น นั้นคือประโยคที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” ปรากฏเป็นจริงในการปฏิบัติหรือไม่อย่างไร

เมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง อันเห็นว่า นปช.คือผู้บริสุทธิ์ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ได้ล้มเจ้า สำหรับผมถือว่านี้เป็นประเด็นหลักสำคัญที่เสื้อแดง นปช.ส่วนใหญ่ร่วมสำแดงพลังกันมาในทิศทางนี้ นอกเหนือจากต้องขอบคุณมหาประชาชนผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแล้ว ยังต้องขอบคุณอดีตประธาน นปช. วีระ มุสิกพงศ์ ที่เดินหน้าทำตัวเป็น ”ต้นไม้ที่โตก่อน” ทำงานสร้างความเข้าใจอย่างหน่วงหนัก โดยไม่เห็นกับการด่าประณามจาก “ต้นไม้ที่ยังไม่ทันโต”

นี้นับเป็นเรื่องราวของ “ต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน” อันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

สิ่งที่หงายไพ่ แบกระจ่างกับคนเสื้อแดงเวลานี้คืออะไร

1.คือยืนยันยันว่า พวกเขามิอาจรอคอยต่อไปให้ถึงวันครบรอบหนึ่งปีของการชุมนุม 12 มีนาฯ ที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ได้อีกแล้ว หากไม่ให้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดงและพี่น้องเสื้อแดงเราทั้งหมด คนจะมามหาศาลเพิ่มขึ้นเรื่อย และเขาเข้าใจกฎ “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกับที่เขาเข้าใจ นปช. ว่าสู้ด้วยแนวทางอย่างไร เขาจึงแบ่งแยกแสดงภาพของคนเสื้อแดงที่แตกต่างด้วย กรณีจับ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ลึกๆก็หวังจะก่อให้เกิดการแตกแยกในเสื้อแดง (ซึ่งส่วนหนึ่งเขาปล่อยคนเข้ามาขยายความขัดแย้งในประเด็นเหล่านี้ในนาม”แดงเนียน”อยู่แล้ว)

ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของผู้นำ “แดงสยาม” ว่าจะอ่อนหัด หรือจัดเจน เดินเข้าทางของพวกเขา หรือสามัคคีพวกเรา นั่นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไป เท่าที่เห็น การรีบออกแถลงการณ์อย่างบุ่มบ่ามด้วยท่าทีประชดประชันในนาม จักรภพ เพ็ญแข ว่า นี่ไม่ใช่อรุณรุ่งแห่งความยุติธรรม แต่เป็นอัสดงคตของประชาธิปไตย และการเขียนบทความโดยกาหลิบ เรื่อง “ขอโทษที่ไม่ยินดี” ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะสามัคคีสักเท่าไร

2.หนทางการต่อสู้ข้างหน้าแหลมคมและอันตรายทุกขณะ ท้าทายวุฒิภาวะของการนำ แน่นอนว่าจะต้องมีสติ คิดทัน รู้ว่ากำลังสู้กับอำนาจพิเศษที่ฝังปลูกลุ่มลึกในเชิงวัฒนธรรมมายาวนาน ต้องสู้แบบสั่งสมชัยชนะไปเรื่อยๆ อย่าทำอะไรที่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้เขาใช้กำลังเข้าปราบปราม เราควรเข้าใจคำว่า “สุกงอม” เมื่อผลไม้สุกงอมได้ที่ก็จะร่วงหล่นจากลำต้นเอง อย่าบ่มด้วยแก๊สเพราะรสชาติจะไม่อร่อย และควรเข้าใจคำว่า “เสื่อม” เมื่อเสื่อมถึงที่สุดก็จะหมดสภาพไปเอง

ณ เวลานี้ แท้จริงเป็นอัสดงคตของพวกเขาต่างหาก ไม่ใช่ของเรา เราเดินทางไกลมาตั้งแต่ 2475 จนใกล้ถึงปลายอุโมงค์แล้ว เรื่องที่คิดไม่ยากแต่ทำยากก็คือว่า ไม่มีสถาบันใดที่จะอยู่ได้หากถูกปฏิเสธโดยประชาชนส่วนใหญ่ รักและศรัทธามิได้เกิดจากการหลอกลวงสร้างภาพ หากต้องเกิดจากสัจจะความจริง

เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่เป็นการนับหนึ่งใหม่อย่างแน่นอน นับหนึ่งใหม่คือกลับไปเริ่มใหม่อย่างไม่รู้อะไร ทว่าวันนี้เรารู้ซึ้งถึงขั้นเหตุผลแล้วว่า อะไรเป็นอะไร สถานการณ์จึงเดินมาถึงขั้น จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม เคารพสิทธิเสรีภาพ แบ่งปันทรัพยากรให้คนจนส่วนใหญ่ได้บริโภคบ้าง ดัง อ.สุรชัย แซ่ด่าน ได้ปราศรัยอยู่บ่อยๆ สุรชัยเองก็ต้องการ “ประชาธิปไตยแบบญี่ปุ่น อังกฤษ” ซึ่งก็หมายถึง “ประชาธิปไตยที่มีนามสกุลต่อท้าย” นั่นเอง

3.ถ้าคนเสื้อแดงมีล้านคน เราต้องพิสูจน์ให้คนเสื้อแดงอีกหกสิบกว่าล้านคนเห็นว่า เสื้อแดงสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมอย่างแท้จริง พิสูจน์ทราบเบื้องต้นที่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เห็นก็คือคำที่ อ.สุรชัย แซ่ด่าน มักย้ำอยู่เสมอว่า “ไม่อยากให้มีการนำสถาบันเบื้องสูงมากลั่นแกล้งทำลายกันทางการเมือง” ซึ่งที่สุดรูปธรรมกำลังนำไปสู่กฎหมาย 112 ที่กำลังรณรงค์กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆในขณะนี้ หาก นปช.ปัดความรุนแรงที่บรรดาอำมาตย์และบริวารทั้งลับและเปิดเผยโยนร้ายป้ายเลวให้พ้นไปได้ ประชาชนหกสิบกว่าล้านคนรับทราบความจริง ทั้งสองข้อนี้ พลังแนวร่วมก็จะยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ถึงเวลานั้นก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะผลไม้สุกคาต้นแล้ว รอรับการร่วงหล่นไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นก็คือเวลาที่พวกเขาต้องตกใจที่ประชามหาชนมากมายมหาศาล เพียงเดินออกมาแสดงตนเท่านั้น

ที่พูดนี้คือปัญหา “แนวทาง” ที่ นปช.ยืนหยัดมาตลอด และต้องยืนหยัดยึดมั่นต่อไปอย่างอดทน ตรงนี้ขอเป็นกำลังใจให้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. แม้จะถูกพวก “ทำเนียนเป็นเสื้อแดง” หรือพวก “นิยมโพสต์ตามเว็ป” โจมตีทำร้ายด้วยวาทะกรรมประดิษฐ์สร้างต่างๆนาๆ ก็ขออย่าได้หวั่นไหว

อย่าลืมว่า 6 ตุลา 19 โมเดล ที่นักศึกษาเป็นผู้บริสุทธิ์ และความรุนแรงมาจากฝ่ายรัฐ ถึงวันนี้ 35 ปีมาแล้วคนในสังคมบางส่วนเพิ่งจะเข้าใจ เมื่อพวกเขาได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ 19 พ.ค.53 ด้วยตัวเอง ขณะที่อีกหลายส่วนยังไม่เข้าใจ

4.ความหมายในทางกลับกัน หากแม้ นปช.เป็นผู้บริสุทธิ์ ใครเล่าคือผู้ไม่บริสุทธิ์ที่ใช้ความรุนแรงฆ่าเผาทำลายหากแม้นักศึกษา 6 ตุลาฯเป็นผู้บริสุทธิ์ ใครเล่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เรื่องนี้ต้องถูกจำแนกแยกแยะออกมาด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ว่าอาการแทรกซ้อนของโรคความรุนแรงนี้มาจากไหน

พูดภาษาวรรณกรรมอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ คงต้องถามว่า “หนี้เลือดเดือดแดงทารุณของเผด็จการ หลายปีที่ผ่านทับถมตลอดมา” ใครเป็นคนก่อจะต้องชดใช้กันอย่างไร การที่คนบางคนพร่ำเพ้อก่นด่าแกนนำ นปช.ว่าปรองดองคือการยอมจำนน น่าจะเป็นวาจาของพวก “ไร้เดียงสา” ด่วนสรุป เพราะเท่าที่ฟัง นปช.แถลง คือการเดินหน้าสู้ต่อไป ดังที่ จตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่าจะเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดงทั้งหมด เดินหน้าหาประชาธิปไตยที่แท้จริง

5.พวกที่อ้างตัวว่าจะ “ปฏิวัติ” ขอให้เดินทางของท่านไป ท่านสามารถเดินทางโดยนำเสนอแนวคิดและปฏิบัติการชุดปฏิวัติเฉพาะของท่านเพื่อเคลื่อนไหวมวลชน จะมีผู้คนเข้าร่วมกับท่านมากน้อยเพียงใดก็ว่ากันไป แต่ขอให้ยึดหลักแนวร่วม “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” อะไรที่ร่วมกันได้ก็ร่วม ร่วมไม่ได้ก็ไม่ต้องร่วม เพราะ นปช.ประกาศแนวทางต่อสู้แจ่มชัดอยู่แล้ว ว่าต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยแบบที่มีนามสกุลต่อท้าย นั่นคือ แนวทางปฏิรูปสังคมไทยเพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียม คือเลือกตั้ง คือรัฐสภา แท้แล้ว นปช.ควรสรุปให้ได้ด้วยว่า ที่เรียกร้องให้ยุบสภา เมื่อเมษาฯ-พฤษภาฯ ปี 53 เราสูญเสียมากไปหรือไม่ การเดินทางต่อจากนี้ต้องรอบคอบ รัดกุม ระมัดระวัง ตั้งสติ เคลื่อนไหวด้วยความรู้และภูมิปัญญา

6.คุณจักรภพ เพ็ญแข เคยเขียนไว้คราวหนึ่งว่า

“มวลชนเขารู้ว่าใครเป็นใครในแกนนำและองค์กรนำ วันนี้เขายังยอมเดินตามก็เพราะเราอยู่ในขั้นตอนแบบ นปช.ฯ แต่วันหนึ่งเมื่อเงื่อนไขยกระดับขึ้น เขาก็จะเดินแนวปฏิวัติอย่างมั่นใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครชี้นำ ส่วนจะเป็นแดงสยามหรือไม่ขึ้นอยู่กับมวลชนในวันนั้น โดยไม่มีใครบอกได้”


อันที่จริงจักรภพก็ยอมรับว่า เวลานี้ “อยู่ในขั้นตอนแบบ นปช.” มวลชนเดินตามเพราะแนวทางถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อเงื่อนไขยกระดับขึ้น คนก็จะเลิกเดินตาม นปช. คำถามคือ วันไหนเล่า ภาพฝันการปฏิวัติของจักรภพเป็นเช่นไรหรือ ต้องอธิบายภาพฝันให้เป็นรูปธรรมหน่อย ว่าจะสอดคล้องกับลักษณะพิเศษของสังคมไทยหรือไม่ ชุดความฝันของจักรภพหยิบยืมมาจากการปฏิวัติของประเทศไหน จะเป็นการ “ตัดตีนให้เข้ากับเกือก” หรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องซักถามกันอีกมาก

การปฏิวัติไม่ใช่เรื่องพร่ำบ่นไปตามอัตตาส่วนตัว และการปฏิวัติก็ไม่ใช่สินค้าส่งออกหรือนำเข้า การปฏิวัติก่อนอื่นต้องมีมวลชนปฏิวัติ ประชาชนหกสิบกว่าล้านคนของประเทศไทย มีมวลชนปฏิวัติของจักรภพสักกี่คน นี่ยังไม่ได้ถามว่า “คณะนำ” การปฏิวัติเป็นใครด้วยซ้ำ

ในบทความชื่อ “ขอโทษที่ไม่ยินดี” จักรภพยังกล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า

“การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยเป็นเรื่องยากลำบาก ไม่มีทางที่จะทำสำเร็จได้โดยคนเพียง ๗ คน หรืออดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน เราต้องขอความช่วยเหลือมวลชนจำนวนมากที่สุดให้เข้าร่วมในกิจกรรมที่หลากหลายที่สุด บนดิน ใต้ดิน ในเวทีชุมนุม นอกเวทีชุมนุม ทั้งงานที่มีองค์กรนำควบคุมชี้นำ และกิจกรรมธรรมชาติของมวลชน การส่งสัญญาณใดๆ ในขบวนจะต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ”


ก็อยากจะถามว่า ทำไมต้องไปฟาดงวงฟาดงาเอากับเพื่อน ๗ คน ซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพ โดยการประกันตัวออกมา หลังจากต้องติดคุกฟรีถึงเก้าเดือน แถมต่อเนื่องไปคุกคามเอาอดีตนายกรัฐมนตรี ๑ คน ซึ่งคงหมายถึงท่านทักษิณ ชินวัตร อาการก้าวร้าวกระแทกแดกดันเช่นนี้น้องนุ่งอย่างจักรภพควรต้องระวังบ้าง เหมือนที่ท่านเขียนเอาไว้เองว่า “ในขบวนต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมเช่นนี้เป็นสำคัญ” ท่านคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นหรือไม่

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องแนวทางการต่อสู้ในขบวนการประชาธิปไตยมีมาโดยตลอดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน จะไม่พูดเสียบ้างคงไม่ได้ คนเสื้อแดงอย่าได้คิดว่าเป็นการทะเลาะวิวาทหรือแตกแยก ควรเข้าใจว่า นี่เป็นการถกเถียงกันเพื่อความก้าวหน้าของ “ต้นไม้ที่โตไม่พร้อมกัน”

ขอจบบันทึกฉบับที่ 10 ด้วยข้อเขียนของ อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่เขียนบันทึกชื่อ “เสียใจกับกาหลิบ” และปิดท้ายด้วยคอมเม็นท์สั้นๆของ ลูกไฟ ประภัสสร นามแฝงของอดีตผู้แทนราษฎรฝ่ายก้าวหน้าคนหนึ่งในอดีต ดังนี้.. (กาหลิบเป็นนามแฝงของ จักรภพ เพ็ญแข)

“ผมไม่เชื่อในคัมภีร์อะไร แต่ผมปลื้มนักปฏิวัติอย่าง เลนิน หรือ โรซา ลัคแซมเบอร์ค ที่เคยมีส่วนในการนำมวลชนเป็นล้านไปสู่การปฏิวัติจริง เขาพูดเสมอว่านักปฏิวัติต้องทำแนวร่วมกับนักปฏิรูป ต้องสนใจการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน ต้องร่วมรบในเวทีรัฐสภาถ้าจำเป็น ต้องพิสูจน์ต่อหน้ามวลชนท่ามกลางการจับมือร่วมกันสู้ ว่าแนวทางปฏิวัติเป็นไปได้และดีกว่าแนวปฏิรูป ไม่ใช่แอบไปสู้ในอินเตอร์เน็ทหรือในเขตป่าเขา หรือรวมศูนย์การต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์กับคนเดียว คุณสุรชัยไม่ใช่คนขี้ขลาด เขายอมติดคุก ถ้าเป็นผม ผมจะหลีกเลี่ยงการติดคุกเพื่อต่อสู้เต็มๆ ข้างนอก แต่นั้นเป็นการตัดสินใจเรื่องยุทธวิธี และบางยุทธวิธีจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะในกรณีที่หันหลังให้มวลชนและไม่รู้จักทำแนวร่วมกับนักปฏิรูป แต่ขอถามหน่อยเถิด..... อำมาตย์จะมองว่าคุณสุรชัยที่มีมวลชนแค่สองสามพัน สำคัญเท่ากับแกนนำ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน 7 คน ที่มีมวลชนเป็นล้านจริงหรือ? หัดตาสว่างกันหน่อย !

ทุกวันนี้เราชาวเสื้อแดงจะต้องให้ความสำคัญกับการต่อสู้ในรูปธรรม เราต้องทันอำมาตย์ที่พยายามจะโกงการเลือกตั้งในอนาคต เราต้องเสนอวาระปฏิรูปสังคมไทย เพื่อสร้างประชาธิปไตยและความเท่าเทียม และที่ครองใจคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่มานั่งอยู่บ้าน หน้าจอคอมพิวเตอร์ และฝันในนิยายหลอกเด็ก”


และจาก ลูกไฟ ประภัสสร Luugfai Praphatsorn


“จักรภพยังต้องเรียนรู้อีกมาก ต้องเรียนรู้การต่อสู้ที่มีรุก มีถอย มีชนะนิดชนะหน่อย รู้จักสะสมชัยชนะ อย่างการที่เอาเพื่อนออกมาอีกได้ 8-9 คนนี่ ต้องถือว่า เราได้มาอีกคืบหนึ่งแล้ว( ในด้านตรงข้าม ศัตรูก็อ่อนตัวลงนิดหนึ่ง)เราพวกเดียวกันก็ต้องยินดี แสดงความคิดแบบจักรภพที่ว่าไม่ยินดีด้วย เพราะมีการจับสุรชัยและยังมีคนเสื้อแดงติดอยู่อีกร้อยกว่าคน ใช่-นั่นเราก็ต้องต่อสู้เพื่อช่วยพวกเขาต่อไป ไม่มีใครคิดทิ้งพวกเขาหรอกครับ ดา ตอปิโด ก็มีพวกเราคอยดูแลอยู่ สุรชัย ก็ไม่ใช่ไม่มีใครดูแล มีแต่จักรภพเท่านั้นแหละที่ไม่ได้มาดูแลสุรชัย

คือจักรภพถือทฤษฎี " absolute" หรือ "ทฤษฎีสมบูรณ์แบบ" ซึ่งประธานเหมา ต้องต่อสู้ทางความคิดกับพวกแบบนี้มามากในการปฏิวัติจีน พวกทฤษฎีด่วนได้ พวกใจร้อน พวกสมบูรณ์แบบ พวกนี้แหละ จะมีส่วนทำให้ขบวนปฏิวัติของประชาชนปั่นป่วนมากทีเดียว

ดังนั้น ความคิดอย่างนั้น ต้องกวาดล้างออกไป ก่อนที่มันจะกลายเป็นหญ้าพิษ ระบาดใส่ขบวนการของประชาชน”





(บันทึกเขียนเสร็จ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554)

************
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

บันทึกของ วิสา คัญทัพ ฉบับที่ 9 และฉบับที่ 1-8

-ขอโทษที่ไม่ยินดี โดย กาหลิบ

-ใจ อึ๊งภากรณ์:เสียใจกับกาหลิบ

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker