พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ “เสธ.ไก่อู” ยอมรับต่อศาลว่า เผยแพร่ “แผนผังล้มเจ้า” หลังมีการใส่ร้าย “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์” ว่า โทร.มาสั่งการ ศอฉ. จึงแถลงตอบโต้พร้อมแจกแผนผังเพื่อให้สังคมพิจารณา แต่ที่แจกไปมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารอยู่ในขบวนการล้มล้าง สถาบันฯ แต่ให้สังคมวินิจฉัยเอาเอง (โปรดดูผัง)
อ่านข่าวนี้แล้ว ทำให้นึกถึงคำเตือนของ อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในช่วงแรกๆ ที่มีการเผยแพร่แผนผังดังกล่าว ว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังจะแต่งละครแขวนคอเพื่อล้อมปราบคนเสื้อแดง” ซ้ำรอยเหตุการณ์ปราบนักศึกษา 6 ตุลา 19
แต่เสียงเตือนดังกล่าวกลับไม่มีใครฟัง สื่อเสื้อเหลือง เอ็นบีที ฟรีทีวี ฯลฯ คนชั้นกลางที่มีการศึกษาดีทั้งหลาย ต่างเชื่อ “นิทานเด็กเลี้ยงแกะผังล้มเจ้า” อภิสิทธิ์ สุเทพ พรรคประชาธิปัตย์ก็นำมาใช้เป็น “ใบสั่ง” ล้อมปราบคนเสื้อแดงอย่างได้ผล
ที่ จริงนิทานเด็กเลี้ยงแกะเรื่องเดิมๆ นี้ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ทำให้คนเชื่อเสมอ และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างได้ผลเสมอมา
หากไม่มีการประโคมข่าวแผนล้มล้างสถาบันในปฏิญญาฟินแลนด์ ไม่มีการสร้างวาทกรรม “เราจะสู้เพื่อในหลวง” หรือ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทหารของพระราชา รัฐประหาร 19 กันยาไม่มีทางเกิดขึ้น ความผิดพลาดต่อๆ มา จนกระทั่งถึงการใช้ “ผังล้มเจ้า” เป็นใบสั่งฆ่าประชาชนก็คงไม่เกิดขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า “สมองก้อนโต” ของกองทัพ คิดง่ายๆ แค่ว่า จะเผยแพร่ผังล้มเจ้าเพื่อตอบโต้การใส่ร้าย “คนๆหนึ่ง” ทั้งที่รู้แก่ใจว่าผู้มีชื่อในเอกสารไม่ได้อยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบัน คุณกลัว “คนๆหนึ่ง” จะเสียหาย แต่ไม่กังวลแม้แต่นิดเดียวหรือว่าคนบริสุทธิ์อีกหลายคนในผังฯ จะเสียหาย คุณโยนเรื่องซับซ้อน ละเอียดอ่อนเช่นนี้เข้ามาในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างยิ่งเพื่อให้ “สังคมวินิจฉัยเอง” ช่างเป็นความคิดที่ป่าเถื่อนจริงๆ ครับ
เพราะ วิธีคิดที่มักง่ายและป่าเถื่อนเช่นนี้นี้เอง พวกคุณจึงส่งกองกำลังทหารติดอาวุธสงคราม พร้อมรถถัง ใช้เฮลิคอปเตอร์ทิ้งแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงในตอนกลางคืน เมื่อ 10 เมษา 2553
คุณ ใช้ผังหลอกๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้วิธีป่าเถื่อนปราบปรามประชาชนที่จ่ายภาษีเป็น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงให้พวกคุณยังชีพ และมีเกียตริยศยิ่งใหญ่คับแผ่นดินได้อย่างไรไม่ทราบ !
คุณรู้หรือเปล่าว่า การแต่งนิทานเด็กเลี้ยงแกะ “ผังล้มเจ้า” ทำให้เกิดราคาที่ต้องจ่ายเท่าไร?
เกือบ ร้อยศพ และบาดเจ็บร่วมสองพัน หลายคนพิการ หลายคนติดคุกถูกขังลืม หลายคนถูกไล่ล่า ความไม่พอใจต่อสถาบันแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชนทุกระดับ ทุกวัย มีทั้งเด็กมัธยมจนถึงคนชรา มีทั้งคนมีอันจะกิน มีการศึกษา ลงไปถึงคนขับแท็กซี่ กรรมกร ชาวนา มีการเขียนข้อความ แสดงรูปภาพ สัญลักษณ์ต่างๆ ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจทั้งในอินเตอร์เน็ต ผนังห้องส้วมสาธารณะ บนพื้นถนน ฯลฯ
ปรากฏการณ์ เหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะประชาชนในประเทศนี้ (ประเทศซึ่งปลูกฝังให้รักสถาบันอย่างเหนี่ยวแน่นมั่นคง) โง่เขลา หลงผิด ชั่วร้ายลงอย่างฉับพลันกระนั้นหรือ เป็นเพราะถูกล้างสมอง ปลุกปั่นให้เกิดการเกลียดชังชั่วข้ามคืนกระนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไร ที่กองทัพ อภิสิทธิ์ สุเทพ ประชาธิปัตย์ นักวิชาการเสื้อเหลือง หรือบรรดาผู้มีการศึกษาดีทั้งหลายจะไม่มี “ศักยภาพทางปัญญา” พอที่จะเข้าใจได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงของปัญหามันไม่ได้มาจากประชาชนที่เรียกร้องเสรีภาพและ ประชาธิปไตย แต่มันมาจากการสบคบคิดกันทำรัฐประหารด้วยข้ออ้างเรื่อง “สถาบัน”
เราจะเรียกสภาพไร้ศักยภาพทางปัญญานี้อย่างไรดี หากไม่เรียกว่า “วิกฤตทางปัญญา” ดังที่ “ราษฎรอาวุโส” ชอบใช้คำนี้ ซึ่งมันเป็นคำที่สะท้อนด้วยว่าผู้ใช้คำนี้ก็ประสบวิกฤตเดียวกันนี้อย่างหนักเช่นกัน
เพราะราษฎรอาวุโสย่อมรู้ดีว่า การใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำรัฐประหารและทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง มันสร้างประวัติศาสตร์แห่ง “มิคสัญญี” ในประเทศนี้ตลอดมา แต่ท่านก็ไม่ได้ใช้ “ปัญญา” ที่ท่านมีอยู่อย่างล้นเหลือนั้นวิจารณ์ หรือยับยั้งการใช้สถาบันเป็นอาวุธได้แต่อย่างใด
ฉะนั้น ราคาที่ต้องจ่ายแก่นิทานเด็กเลี้ยงแกะ “ผังล้มเจ้า” และ/หรือการอ้างสถานบันทำรัฐประหาร และการรักษาอำนาจทางการเมือง นอกจากชีวิตประชาชนจำนวนมาก ก็คือ “ศรัทธาที่สิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว” และความแตกแยกของสังคมไทย ซึ่งความเสียหายวายป่วงเหล่านี้ “นักเล่านิทาน” อย่างพวกคุณไม่มีทางกู้คืนได้
อย่าไปโทษคนอย่าง ดา ตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร ฯลฯ เลยครับ คนเหล่านั้นไม่มีน้ำยาจะล้มล้างสถาบันได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มี “การสมคบคิด” ทำรัฐประหารโดยใช้ “ธงสถาบัน” คนเหล่านี้คงไม่แสดงออกอย่างนั้น
ปัญหาอยู่ที่ “ความจงรักภักดีอย่างมืดบอด” ต่างหาก อยู่ที่นิทานเด็กเลี้ยงแกะที่นำมาเล่าซ้ำๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำลายล้างฝ่ายที่เห็นต่าง มีอุดมการณ์ต่างกับพวกคุณต่างหาก
คำสารภาพของ “เสธ.ไก่อู” คือคำฟ้องต่อดินฟ้า อากาศ สายลม แสงแดด ทุกอณูของสรรพสิ่งในจักรวาลว่า ใคร หรือพวกไหนกันแน่เป็นฝ่ายทำลายสถาบันและประชาธิปไตยไปพร้อมๆ กัน!
หากไม่เข้าใจความจริงนี้ ไม่ยอมรับความจริงนี้ ประเทศนี้ไม่มีทางพ้น “วิกฤตทางปัญญา” และไม่มีทางหลีกเลี่ยง “มิคสัญญี” ดังที่ท่านราษฎรอาวุโสกล่าวเตือนได้